Okonomi
Tanisorn Vongsoontorn / Time Out Bangkok

ร้านอาหารและคาเฟ่ในซอยสุขุมวิท 36 และ 38

รวมร้านอาหารและคาเฟ่ในซอยสุขุมวิท 36-38

Top Koaysomboon
Written by
Top Koaysomboon
Advertising

ซอยที่อยู่อาศัยเงียบสงบในย่านซอยสุขุมวิท 36 และ 38 กลายเป็นแหล่งกินและคาเฟ่ฮิปสุดหนึ่งในย่านสุขุมวิท

  • Shopping
  • Design and interiors
  • Khlong Toei

ไลฟ์สไตล์สเปซแห่งใหม่ของย่านทองหล่อ หากใครเคยแวะมานั่งชิลจิบกาแฟที่ Blue Dye Cafe ในซอยสุขุมวิท 36 ตอนนี้ถ้าเดินไปไม่ไกลกันนั้นเอง จะมีร้านรวมของแต่งบ้านสไตล์ selected shop เปิดอยู่ในชื่อว่า Blue Wild Space ซึ่งแยกมาจากคาเฟ่ Blue Dye อีกที เพื่อเปิดเป็นพื้นที่สำหรับคนชอบซื้อของแต่งบ้านโดยเฉพาะ

ภายในมีทั้งโซนขายของแต่งบ้าน ซึ่งเป็นสินค้าจากร้าน Oyster and Things ที่หลายคนอาจกดเซฟเฟอร์นิเจอร์ร้านนี้เก็บไว้หลายรูป เพราะแต่ละชิ้นมีความสวยแปลกใหม่และหาซื้อไม่ได้ทั่วไป นอกจากนั้นก็มีห้องสตูดิโอสำหรับเช่าถ่ายภาพ ซึ่งร้านจัดพื้นที่และเฟอร์นิเจอร์ไว้ให้ จะถ่ายมุมไหนก็ดูคูลสุดๆ อีกทั้งยังมีร้านต่อขนตา ร้านขายของวินเทจ ร้านเสื้อผ้าและรองเท้า (จากอินสตาแกรม Oyster Footwear) รวมถึงส่วนคาเฟ่ที่ใช้สูตรเครื่องดื่มเดียวกับคาเฟ่ Blue Dye

สำหรับใครที่ชื่นชอบของแต่งห้องมีสไตล์ หรือของแต่งบ้านที่ไม่เหมือนใคร เราเชื่อว่าต้องรักบรรยากาศและสิ่งของต่างๆ ของร้านนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นโต๊ะ เก้าอี้ แก้ว จาน หรือกระถางต้นไม้ ซึ่งหากใครถูกใจชิ้นไหนก็สามารถสอบถามราคาและพากลับบ้านด้วยได้แทบทุกชิ้นเลย

Blue Wild Space เปิดให้ทุกคนแวะไปได้ทุกวันอังคาร - อาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 11.00-18.00 น. (ปิดบริการวันจันทร์) 

Advertising
H Dining
  • Restaurants
  • Khlong Toei

เชฟต้อยติ่งผู้เคยแสดงฝีมือการทำอาหารที่ภัตคารชื่อดังในกรุงเทพฯ อย่าง Gaa, 80/20 และ Noma มาแล้วก่อนหน้านี้ ได้เริ่มใช้เวลาว่างมาปรุงมื้อสายที่ผสมผสานรสชาติแบบไทยๆ เข้ากับอิทธิพลของอาหารยุโรป โดยเน้นการเลือกใช้ส่วนผสมโฮมเมด อาทิ ขนมปังอบเอง สดใหม่ทุกวัน (อย่าพลาดที่จะลองสั่งขนมปังซาวร์โดมากิน) หรือผักดองที่ทำขึ้นเอง เป็นต้น ณ สถานที่ใหม่ฉบับต่อเติมของร้านกาแฟมือรางวัลอย่าง Hands and Heart

แม้ว่าเมนูอาหารจะมีไม่มากและค่อนข้างเรียบง่าย แต่รสชาติกลับแฝงไปด้วยเซอร์ไพรส์ โดยมีเมนูที่เราคิดว่าน่าสนใจอย่าง Smoked salmon on rye bread with sour cream and seafood sauce ซึ่งมาพร้อมสลัดราดน้ำสลัดรสหวานเปรี้ยวจากมะกรูด และ Pork sandwich ที่มีรสชาติเผ็ดนิดๆ จากกิมจิทำเองรวมอยู่ด้วย

ส่วนของหวานที่ต้องลองเลยก็คือ Parmigiano cheese ice cream ที่มีส่วนผสมของไวน์แดงและน้ำผึ้ง กับโดนัทโฮมเมดเคลือบไซรัปเมเปิ้ลกับเบคอนไบต์ ให้รสชาติหวานมัน ลงตัวทั้งคู่ นอกจากนี้ที่ร้านยังมีเนเชอรัลไวน์ไว้ให้บริการ รวมถึงสามารถพาสัตว์เลี้ยงมาด้วยได้เพราะเขามีพื้นที่เอ้าท์ดอร์ด้านนอกไว้รองรับ

  • Restaurants
  • Japanese
  • Khlong Toei

จุดเริ่มต้นของ Okonomi (โอโคโนมิ) อยู่ในเมืองบรู๊คลิน กรุงนิวยอร์ก เป็นของเจ้าของร้านอาหารชาวญี่ปุ่น ‘ยูจิ ฮารากุชิ’ ที่ตั้งใจเปิดร้านแห่งนี้เพื่อเสิร์ฟอาหารเช้าสไตล์ญี่ปุ่นแบบสำรับ หรือ ‘อิชิจู-ซันไซ’ โดยหากใครแวะไปที่สาขาต้นตำรับที่อเมริกา จะพบว่าต่อจาก Okonomi ที่เสิร์ฟเฉพาะมื้อเช้า ในที่เดียวกันจะมี Yuji Ramen ร้านราเม็งแห้งสไตล์ญี่ปุ่นที่คุณยูจิตั้งใจเสิร์ฟเป็นมื้อค่ำด้วย

สำหรับร้าน Okonomi สาขากรุงเทพฯ ก็นำคอนเซ็ปต์และบรรยากาศที่ใกล้เคียงกันมาให้พวกเราได้สัมผัสอยู่ในซอยสุขุมวิท 38 ด้วยการเป็นทั้งร้านอาหารและคาเฟ่ที่เสิร์ฟเมนูสไตล์ญี่ปุ่นโมเดิร์น ผสมกลิ่นอายตะวันตก ส่วนหน้าร้านก็โดดเด่นด้วยสีเขียวสบายตา หาเจอได้ไม่ยากเลย แถมยังมีพื้นที่นั่งกลางแจ้งจัดไว้ให้หน้าร้านด้วย เผื่อว่าวันไหนใครอยากมานั่งชิลรับลมธรรมชาติ หรือพาสุนัขมานั่งเล่นด้วยกัน

ส่วนเมนูอาหารของร้านจะเน้นใช้ปลาเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งสิ่งที่เป็นเอกลักษณ์ประจำ Okonomi ก็ต้องเป็นสำรับอาหารญี่ปุ่นแบบดั้งเดิม หรือ อิชิจู-ซันไซ ที่หมายถึง “ซุป 1 ถ้วยกับอาหาร 3 อย่าง” ทว่าร้านจะปรับหน้าตาให้ดูทันสมัยและมีลูกเล่น เห็นได้จากเมนูที่เราได้ลอง Misozuke Hamachi (640 บาท) ปลาฮามาจินำไปหมักมิโซะก่อนย่าง บนจานเสิร์ฟพร้อมไข่หวานเนื้อสัมผัสแปลกใหม่ ผักปวยเล้ง บร็อคโคลี่ ส่วนเครื่องเคียงเป็นมิโสะซุป ผักดอง ข้าวหุงธัญพืช สามารถเพิ่มอิกุระ (+90 บาท) ได้ด้วย เวลากินแนะนำให้เทไข่ปลาลงบนข้าว แล้วค่อยๆ กินแต่ละอย่างผสมกันไป

“ผมจะนำเสนออาหารญี่ปุ่นแบบสมัยใหม่ที่มีความเป็นตะวันตก โดยให้ความสำคัญกับวัตถุดิบมีคุณภาพ รวมถึงการใช้วัตถุดิบอย่างคุ้มค่ามากที่สุด” เชฟเดวิค เดล พิลาร์ โพเทส หรือ ‘เชฟเดฟ’ ผู้เคยประจำอยู่ที่ร้าน Okonomi สาขาบรู๊คลิน และเป็นเชฟที่ช่วยดูแลร้านอาหารอีกหลายแห่งของคุณยูจิ เล่าถึงคอนเซ็ปต์การทำอาหารให้เราฟัง ซึ่งเขาตั้งใจนำแนวคิดญี่ปุ่น ‘มต-ไต-ไน (Mottainai)’ ที่แปลว่า ไม่เหลือทิ้ง มาปรับใช้ในร้านนี้ด้วย

อย่างเช่น นำผักที่เหลือจากการทำอาหารไปทำผักดอง นำชิ้นส่วนปลาที่ไม่ได้ใช้ไปต้มเป็นซุป หรือ นำเศษปลาคัตสึโอะมาทำ ‘โอกากะ’ ซึ่งเป็นวัตถุดิบที่ช่วยเติมความอูมามิให้อาหารได้ดีเลย

แต่ถ้าใครมาตั้งแต่ช่วงสายจะมีเมนูเสิร์ฟตลอดวันให้สั่งแทน อาทิ Unagi Kabayaki (550 บาท) ข้าวหน้าปลาไหลย่างซอสซีอิ๊วหวานผสมซิตรัส ถ้าใครตามหาเมนูนี้อยู่แนะนำว่าต้องชิม หรือหากใครอยากลิ้มลองเมนูราเม็งสไตล์ร้าน Yuji ที่นี่ก็มีเสิร์ฟเช่นกัน อาทิ Shiro Shoyu Ramen (300) ราเม็งปลามาไดหมักสาหร่ายคอมบุ หรือเมนูอย่าง Mazemen ราเม็งแห้งสไตล์ญี่ปุ่นก็มี

นอกจากนี้ร้านก็ยังมีเมนูใหม่ที่เพิ่งเริ่มขายหลังจบช่วง soft launch ด้วย ได้แก่ Fish Sando (350 บาท), โฮจิฉะโดนัท (100 บาท) และ คาปูชิโนงาดำ (140 บาท) ถ้าใครกำลังคิดถึงบรรยากาศที่อบอุ่นชวนพักผ่อนของร้านนี้อยู่ล่ะก็ อย่าลืมกลับไปลองชิมเมนูใหม่เหล่านี้ดู

Okonomi เปิดทุกวันตั้งแต่เวลา 8:00 - 18:00 น. (เซ็ตอิชิจู-ซันไซเสิร์ฟถึง 11:00 น. เท่านั้น) และร้านไม่รับเงินสด สอบถามเพิ่มเติมหรือจองที่นั่ง โทร 061 338 8000 หรือ Line: @okonomiofficial

 

Advertising
Recommended
    You may also like
    You may also like
    Advertising