ปราสาทพระวิหาร


“ปราสาทพระวิหาร”

ปราสาทเขาพระวิหารไร้นักท่องเที่่ยว รายได้หลักหายไปเกือบร้อยเปอร์เซนต์!

 

ศูนย์ข้อมูลมรดกโลก (Thai World Heritage Information Centre)

    -ปราสาทพระวิหาร (เขมร: ប្រាសាទព្រះវិហារ บฺราสาทพฺระวิหาร; อังกฤษ: Temple of Preah Vihear) เป็นปราสาทหินตามแบบศาสนาฮินดูที่ตั้งอยู่บริเวณทิวเขาพนมดงรัก (เขมร: ភ្នំដងរែក ภฺนํฎงแรก; "ภูเขาไม้คาน") สูงจากระดับทะเลปานกลาง 657 เมตร ที่ตั้งของศาสนสถานแห่งนี้รู้จักกันในนาม เขาพระวิหาร (เขมร: ភ្នំព្រះវិហារ ภฺนํพฺระวิหาร) ปราสาทพระวิหารนั้นตั้งอยู่ในจังหวัดพระวิหารของประเทศกัมพูชาซึ่งอยู่ใกล้อุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษของประเทศไทย ซึ่งเคยเป็นทางขึ้นสู่ปราสาทที่สะดวกที่สุด

   -ปราสาทพระวิหารมีสถาปัตยกรรมแบบเขมร สร้างตามแนวเหนือใต้ซึ่งผิดแปลกไปจากปราสาทขอมส่วนใหญ่ ไทยและกัมพูชามีประวัติพิพาทเหนือตัวปราสาทเป็นเวลานานแล้ว ใน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษาให้กัมพูชามีอธิปไตยเหนือปราสาท  

   -และวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกในประเทศกัมพูชา

*ชื่อ

   -ปราสาทแห่งนี้มีชื่อเรียกเก่าสุดว่า "ภวาลัย" ตามรายงานของกรมวิชาการ และมีชื่ออื่น ได้แก่ "ศรีศิขรีศวร", "วีราศรม" และ “ตปัสวีนทราศรม”

    นามของปราสาทพระวิหารตามที่ปรากฏในศิลาจารึก คือ "ศีรศิขเรศวร" (ស្រីសិខៈ រិ ស្វារៈ) ประกอบด้วย "ศีร" (ศรี หรือสิริ, เป็นคำนำหน้า) กับ "ศิขเรศวร" มาจาก "ศิขร" (ภูเขา) และ "อิศวร" (ผู้เป็นใหญ่ หรือหมายถึง พระอิศวร) แปลได้ว่า ผู้เป็นใหญ่หรือพระอิศวรแห่งภูเขา

    -เมื่อ พ.ศ. 2442 พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชุมพลสมโภช กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ได้เสด็จไปยังปราสาทแห่งนี้ และทรงขนานนามว่า "ปราสาทพรหมวิหาร" ซึ่งต่อมาเรียกกันทั่วไปว่า “ปราสาทพระวิหาร”

   -บางครั้ง ชาวกัมพูชาเรียกปราสาทว่า "พนมพระวิหาร" (ភ្នំព្រះវិហារ) ขณะที่ชาวไทยมักเรียกว่า "เขาพระวิหาร" และนับแต่ประมาณ พ.ศ. 2551 เป็นต้นมา มีการละคำว่า "เขา" ไว้ในชื่อเพื่อแสดงถึงความแตกต่างระหว่างตัวปราสาทและเนินเขาที่ตั้งปราสาท

-ที่ประดิษฐาน

(ปราสาทพระวิหารมองจากด้านบน (ทางฝั่งไทย)

(แผนที่แสดงเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศกัมพูชา (จุดสีเขียวแสดงตำแหน่งของปราสาทพระวิหาร)

    -ปราสาทพระวิหารประดิษฐานอยู่บนผาเป้ยตาดีของเทือกเขาพนมดงรัก ซึ่งเป็นเส้นเขตแดนระหว่างไทยกับกัมพูชา ณ ละติจูดที่ 104 องศาตะวันออก 41 ลิปดา ในอดีตก่อนที่ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ จะมีคำพิพากษา (คดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505

  -ผาเป้ยตาดีอยู่ในเขตหมู่บ้านภูมิซร็อล ตำบลเสาธงชัย (เดิมขึ้นกับ ตำบลบึงมะลู) อำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ ห่างจากอำเภอเมืองศรีสะเกษ 110 กิโลเมตร

    -และเมื่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาในปี พ.ศ. 2505 นั้นเองจึงเป็นผลทำให้ปัจจุบันปราสาทพระวิหารตั้งอยู่ในจังหวัดพระวิหารของประเทศกัมพูชา อยู่ห่างจากปราสาทนครวัดในเมืองพระนคร ไป 140 กิโลเมตร และห่างจากกรุงพนมเปญไป 320 กิโลมตร

   -ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศไม่เคยชี้ขาดว่าเขตแดนไทย-กัมพูชาดังกล่าวมีเส้นอยู่ตรงจุดใด ศาลฯ ชี้ขาดเพียงว่า กัมพูชามีอธิปไตยทางดินแดนเหนือปราสาทพระวิหาร แต่ก็มีชาวไทยบางคนเข้าใจว่า ศาลฯ ชี้ขาดแต่ตัวปราสาทเท่านั้น ไม่รวมถึงอาณาบริเวณอันเป็นที่ประดิษฐานปราสาทแต่อย่างใด

-การเยี่ยมชม

(ทางเข้าทางด้านหน้าตัวปราสาพระวิหาร)

  -ในอดีตการเยี่ยมชมปราสาทพระวิหารจะใช้ทางขึ้นจากฝั่งไทย โดยทางการไทยและทางการกัมพูชามีรายได้จากการท่องเที่ยวร่วมกัน แต่ปัจจุบันมีความตึงเครียดระหว่างแนวชายแดนประชาชนทั่วไปจึงไม่สามารถขึ้นไปชมประสาทจากทางประเทศไทยได้อีก กัมพูชาได้สร้างถนนคอนกรีตยาว 3 กิโลเมตรไต่เขาขึ้นไปยังปราสาทพระวิหารสำเร็จแล้ว และเป็นทางที่ประชาชนทั่วไปใช้ขึ้นไปชมปราสาทได้ในปัจจุบันผ่านทางประเทศกัมพูชา

-สถาปัตยกรรม

(ทับหลังสลักภาพพระกฤษณะกำลังรบกับอรชุน ที่โคปุระแห่งที่ 3)

  -ปราสาทพระวิหารมีลักษณะเป็นแบบศิลปะบันทายศรี ลักษณะบางส่วนคล้ายคลึงกับพระวิหารของปราสาทนครวัด รูปรอยแกะสลักบนปราสาทสันนิษฐานได้ว่าเป็นศาสนสถานของศาสนาฮินดูลัทธิไศวนิกาย มีพระศิวะเป็นเทพสูงสุดของศาสนา เชื่อกันว่าสร้างขึ้นเพื่อถวายพระศิวะที่ทรงประทับบนยอดเขาไกรลาส ซึ่งเป็นยอดเขาสูงสุดของเขาพระสุเมรุ ศูนย์กลางจักรวาลปราสาทพระวิหารจึงสร้างบนหน้าผาเป้ยตาดี ทำให้ปราสาทแห่งนี้เปรียบเหมือนการค่อย ๆ ก้าวไปสู่ที่ประทับของพระศิวะ ซึ่งแทนด้วย “ยอดเป้ยตาดี” หากมองจากข้างล่างผาจะเห็นตัวปราสาทเหมือนวิมานสวรรค์ลอยอยู่บนฟากฟ้า โดยมีแผ่นดินเขมรต่ำ (ขแมร์กรอม) ประหนึ่งมหาสมุทรรองรับอยู่เบื้องล่าง ตัวปราสาทประกอบด้วยสถาปัตยกรรมต่าง ๆ มากมาย ได้แก่ ปราสาทประธาน ระเบียงคด โคปุระ อาคารรูปกากบาท วิหาร บรรณาลัย และบันไดนาคพร้อมทางเดิน

   -ปราสาทพระวิหารมีลักษณะแผนผังที่ใช้แกนเป็นหลัก โดยจัดวางผังหันไปทางทิศเหนือ ซึ่งแตกต่างจากปราสาทอื่น ๆ ซึ่งตามปกติมักจะหันหน้าไปทางทิศตะวันออก อันเนื่องจากภูมิศาสตร์เป็นเครื่องกำหนดแล้ว ก็น่าจะเกิดจากปัจจัยอื่นบางประการที่แสดงถึงความสัมพันธ์กับดินแดนเขมรสูงในอดีต ตัวปราสาทประธานเป็นจุดศูนย์กลางล้อมรอบด้วยระเบียงคดทั้งสี่ด้าน ปราศจากบรรณาลัยขนาบเบื้องหน้า การวางผังที่กำหนดตำแหน่งอาคารมีความสมบูรณ์ลงตัวตั้งแต่แรกเริ่มของการก่อสร้าง โดยไม่มีการแก้ไขต่อเติมบริเวณลานชั้นในภายหลัง วัสดุตัวปราสาทสร้างด้วยหินทรายและหินดาน โดยเทคนิคการก่อสร้างทำโดยนำก้อนศิลาทรายซึ่งตัดเป็นแท่งสี่เหลี่ยมขนาดไล่เลี่ยกันวางซ้อนกันขึ้นไปตามรูปผังที่กำหนดไว้ โดยอาศัยน้ำหนักของแท่งศิลาทรายแต่ละก้อนกดทับกันเพียงอย่างเดียว มีส่วนยึดจะใช้เมื่อจำเป็นเท่านั้น

*ลักษณะสำคัญ

(แผนผังของปราสาทพระวิหาร)

   -ปราสาทพระวิหารมีความยาว 800 เมตรตามแนวเหนือใต้ และส่วนใหญ่เป็นทางเข้ายาว และบันไดสูงถึงยอดเขา จนถึงส่วนปราสาทประธาน ซึ่งอยู่ที่ยอดเขาทางใต้สุดของปราสาท (สูง 120 เมตรจากปลายตอนเหนือสุดของปราสาท 525 เมตรจากพื้นราบของกัมพูชา และ 657 เมตรจากระดับน้ำทะเล แต่โครงสร้างปราสาทแห่งนี้ก็ยังแตกต่างอย่างมากจากสถาปัตยกรรมปราสาทหินของหินโดยทั่วไปที่พบในพระนคร เพื่อจำลองเขาพระสุเมรุ อันเป็นที่ประทับของเทพเจ้าตามคติความเชื่อของฮินดู

    -ปราสาทพระวิหารประกอบด้วยทางเดินและอาคารเรียงกัน ลานหินต่างระดับมีทั้งหมด 4 ระดับ ทางเข้าสู่ปราสาทประธานนั้น มีโคปุระ (ซุ้มประตู) คั่นอยู่ 5 ชั้น (นับจากชั้นในออกมา ดังนั้นโคปุระชั้นที่ 5 จึงเป็นส่วนที่ผู้เข้าชมจะพบเป็นส่วนแรก) เป็นกลุ่มอาคารรูปกากบาท ซึ่งกรมศิลปากรเรียกว่า “มนเทียร” ชั้นที่สำคัญ คือ โคปุระชั้นที่ 3 และ 4 โคปุระแต่ละชั้นก่อนถึงลานด้านหน้า จะผ่านบันไดหลายขั้น โคปุระแต่ละชั้นจึงเปลี่ยนระดับความสูงทีละช่วง นอกจากนี้โคปะรุยังบังมิให้ผู้ชมเห็นส่วนถัดไปของปราสาท จนกว่าจะผ่านทะลุแต่ละช่วงไปแล้ว

*บันไดหน้า

(บันไดหน้า ทางขึ้นปราสาทพระวิหาร มองจากโคปุระชั้นที่ 5)

   -บันไดด้านหน้าเป็นทางเดินขึ้นลงขนาดใหญ่อยู่ทางทิศเหนือของตัวปราสาท ลาดตามไหล่เขา ช่วงแรกเป็นบันไดหิน กว้าง 8 เมตร ยาว 75.50 เมตร จำนวน 162 ขั้น บางชั้นสกัดหินลงไปในพื้นหินของภูเขา สองข้างบันไดมีฐานสี่เหลี่ยมตั้งเป็นกระพัก (กระพักแปลว่า ไหล่เขาเป็นชั้นพอพักได้) ขนาดใหญ่เรียงรายขึ้นไป ใช้สำหรับตั้งรูปสิงห์นั่ง ช่วงที่ 2 กว้าง 4 เมตร ยาว 27 เมตร มี 54 ขั้น มีฐานกระพักกว้าง 2.5 เมตร 7 คู่ มีรูปสิงห์นั่งตั้งอยู่ บันไดหน้าแบ่งออกเป็นสองช่วง โดยที่ตัวบันไดช่วงที่สองแคบกว่าช่วงแรก มีฐานสี่เหลี่ยมและสิงห์นั่งขนาดเล็กกว่าช่วงแรก หลังจากที่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศพิพากษาให้ปราสาทพระวิหารตกอยู่ในอธิปไตยของกัมพูชา นักศึกษาไทยได้ประท้วงคำตัดสินของศาลฯ และปิดทางขึ้นปราสาทที่อยู่ในเขตแดนไทย ทำให้ชาวกัมพูชาที่ต้องการขึ้นปราสาท จะต้องขึ้นทางช่องเขาแคบ ๆ สูงชันที่เรียกกันว่า “ช่องบันไดหัก

*ลานนาคราช

  -ลานนาคราชหรือสะพานนาค อยู่ทางทิศใต้สุดบันไดหินด้านหน้า ปูด้วยแผ่นหินเรียบ มีขนาดกว้าง 7 เมตร ยาว 31.80 เมตร ขอบลานสร้างเป็นฐานเตี้ย ๆ บนฐานมี นาคราช 7 เศียร จำนวน 2 ตัว แผ่พังพานหันหน้าไปทางทิศเหนือ ลำตัวอยู่บนฐานทั้งสอง ทอดไปทางทิศใต้ ส่วนหางของนาคราชชูขึ้นเล็กน้อย นาคราชทั้งสองตัวมีลักษณะคล้ายงูตามธรรมชาติ เป็นลักษณะของนาคราชในศิลปะขอม แบบปาปวน มีบันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 5 บันไดกว้าง 7 เมตร สูง 11.50 เมตร สองข้างบันไดมีฐานสี่เหลี่ยมตั้งรูปสิงห์

*โคปุระ ชั้นที่ 1

  -โคปุระชั้นที่ 1 ตั้งอยู่บนไหล่เขา มุมทั้งสี่ด้านของลานก่อเป็นขั้นบันไดมิให้พังสร้างเป็นศาลาจตุรมุข รูปทรงกากบาทไม่มีฝาผนังกั้น มีแต่บันไดและซุ้มประตูทั้ง 4 ทิศ สร้างอยู่บนฐานบัวสี่เหลี่ยมย่อมุม ฐานสูง 1.8 เมตร บันไดหน้าประตูซุ้มทั้ง 4 ทิศตั้งรูปสิงห์นั่ง เสาโคปุระสูง 3.5 เมตร เป็นศิลปะแบบเกาะแกร์ ยังมีร่องรอยสีแดงที่เคยประดับตกแต่งตัวปราสาทเอาไว้ หลังคามุงด้วยกระเบื้องดินเผาแบบ "กาบู" ปัจจุบันเหลือปั้นลมและประตูซุ้มที่ยังสมบรณ์อยู่เพียงด้านตะวันออกด้านเดียว หน้าจั่วจำหลักเป็นรูปเทพนั่งชันเขาเหนือเศียรเกียรติมุข หน้าบันเป็นรูปนาคราช 5 เศียร ข้างละ 1 ตัว หางไปประสานกันบนยอด

  -บันไดทางขึ้นโคปุระ ชั้นที่ 1 อยู่ทางทิศเหนือ เป็นบันไดหินมีลักษณะค่อนข้างชัน สูง 5 ขั้น ประมาณ 2 เมตร ทางทิศตะวันออกของโคปุระชั้นที่ 1 มีเส้นทางขึ้นคล้ายบันไดหน้าแต่ค่อนข้างชัน และชำรุดหลายตอน ยาว 340 เมตรถึงไหล่เขา เป็นเส้นทางขึ้น-ลง ไปสู่ที่ราบประเทศกัมพูชา เรียกว่า "ช่องบันไดหัก" หรือ "ถนนบันไดหัก" ก่อนถึงโคปุระ ชั้นที่ 2 มีสระน้ำตั้งอยู่ทางตะวันออกสระหนึ่ง ชื่อว่า “สระทรง”

*สระสรง

   สระสรงอยู่ทางด้านทิศตะวันออกของทางดำเนินจากโคปุระ ชั้นที่ 1 ไปโคปุระ ชั้นที่ 2 ห่างออกไป 12.40 เมตร จะพบสระน้ำรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีขนาดกว้าง 16.80 เมตร ยาว 37.80 เมตร กรุด้วยท่อนหินเป็นชั้น ๆ มีลักษณะเป็นขั้นบันไดปากผายก้นสอบ

*โคปุระ ชั้นที่ 2

   -โคปุระ ชั้นที่ 2 สร้างอยู่บนไหล่เขา มีเขื่อนหินกันพังตามริมไหล่เขา เป็นลานหินกว้างประมาณ 7 เมตร สองข้างจะมีเสานางเรียง ตั้งอยู่ ทั้งสองด้าน แต่ก็มีปรักหักพังไปมาก โคปุระชั้นที่ 2 สร้างเป็นศาลาจตุรมุข มีกำแพงด้านทิศใต้เพียงด้านเดียว ยาว 39 เมตรจากตะวันออกไปตะวันตก กว้าง 29.5 เมตรจากเหนือไปใต้

  -เป็นศิลปะสมัยหลังโคปุระ ชั้นที่ 1 คือ แคลง/บาปวน มุขหน้าแบ่งเป็น 2 คูหา ริมซุ้มประตูด้านนอกตั้งรูปสิงห์ มุขตะวันออกและตะวันตกแบ่งเป็น 3 คูหาริมซุ้มประตูด้านนอกตั้งรูปสิงห์ ห้องใหญ่แบ่งเป็น 5 คูหา มุขใต้แบ่งเป็น 2 คูหาหน้าบันเป็นภาพของการกวนเกษียณสมุทร ถือเป็น “หนึ่งในผลงานชิ้นเอกอุของปราสาทพระวิหาร” ทับหลังเป็นภาพของพระนารายณ์บรรทมสินธุ์อยู่เหนืออนันตนาคราช

   -จากซุ้มประตูด้านใต้มีบันไดทางไปโคปุระชั้นที่ 3 ยาว 148 เมตร กว้าง 11 เมตร คู่ไปกับขอบถนน เป็นคันหินถมดินให้น้ำไหลห่างไปจากโคปุระ ชั้นที่ 3 ทางตะวันออกมีสระรับน้ำ 2 สระ

*โคปุระ ชั้นที่ 3

(ภาพวาดโคปุระที่ 3 โดยปามังติเอร์ นักโบราณคดีชาวฝรั่งเศส)

  -โคปุระชั้นที่ 3 นั้นมีขนาดใหญ่สุด สมบูรณ์ที่สุด และขนาบด้วยห้องสองห้อง ตัวปราสาทประธานนั้นสามารถผ่านเข้าไปทางลานด้านหน้า บันไดกว้าง 3.6 เมตร สูง 6 เมตร สองข้างมีฐานตั้งรูปสิงห์นั่ง 5 กระพัก

  -มนเทียรกลาง มุขเหนือหน้าบันเป็นรูปพระกฤษณะยกภูเขาโควรรธนะ ทับหลังเป็นรูปพระนารายณ์ 4 กรทรงครุฑ มุขตะวันออกและตะวันตกที่ผนังด้านเหนือมีซุ้มประตู 1 ซุ้มหน้าประตูมีรูปสิงห์นั่งตั้งอยู่ ห้องใหญ่มีหน้าต่างซีกเหนือ 6 ช่องซีกใต้ 2 ช่องมุขใต้หน้าบันเป็นรูปพระอิศวรบนหลังโคอุศุภราช

   -ห้องขนาบ ทั้งซ้ายและขวาเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตรงกลางเป็นลานแบ่งเป็น 4 ห้อง ห้องตามขวางด้านหน้ายาว 35.5 เมตร กว้าง 7 เมตรผนังด้านลานมีหน้าต่าง 5 ช่อง ห้องตามยาวซ้ายและขวายาว 15 เมตร กว้าง 6 เมตร ห้องตามขวางด้านหลังยาว 40 เมตร กว้าง 8.5 เมตร ยกฐานสูง 2.4 เมตร ผนังด้านใต้มีหน้าต่าง 5 ช่อง มุขหน้ามีหน้าต่างข้างละ 3 ช่อง เข้าใจว่าบรรณาลัยนี้สร้างเพิ่มเติมภายหลังมนเทียรกลาง ที่ลานหน้าด้านตะวันออกมีปรางค์ศิลา 1 องค์ กว้าง 4 เมตร สูง 6 เมตร

   -จากโคปุระชั้นที่ 3 มีบันได 7 ขั้นขึ้นไปสู่ถนนที่ยาว 34 เมตร มีเสานางเรียงปักรายข้างถนน ข้างละ 9 ต้น ถัดจากเสานางเรียงไปเป็นสะพานนาค 7 เศียร

โคปุระ ชั้นที่ 4

ภาพเขียนแสดงให้เห็นส่วนโคปุระ ชั้นที่ 4 และชั้นที่ 5เมื่อยังสมบูรณ์ 'วารสารสยามสมาคม ค.ศ. 1956

   -มนเทียรหน้า เป็นรูปกากบาท กว้าง 23 เมตร ยาว 23 เมตร มีมุขทั้ง 4 ทิศ ที่มุขเหนือและใต้มีช่องหน้าต่างมุขละ 2 ช่อง มุขตะวันออกและตกมีประตูหน้าหลังมุขละ 2 ประตู กับช่องหน้าต่างมุขละ 1 ช่อง ห้องใหญ่มีหน้าต่างที่ผนังด้านเหนือ 6 ช่อง ด้านใต้ 4 ช่อง ซุ้มประตูส่วนมากจะเป็นซากปรักหักพัง กรอบประตูห้องใหญ่มีจารึกอักษรขอมระบุบปีศักราชตกอยู่ในสมัยพระเจ้าสุรยวรมันที่ 1 ด้านหน้ามนเทียรมีบันไดตรงกับประตูซุ้มทั้ง 3 ประตูและมีชานต่อไปยังเฉลียงซ้ายและขวา

   -เฉลียงซ้ายและขวา เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 6 เมตร ยาว 32 เมตร ผนังด้านนอกทึบ ด้านในเปิดมีเสาราย 10 ต้น ที่สนามด้านหน้ามีภาพจำหลักตกหล่นอยู่หลายชิ้น เช่น รูปกษัตริย์กำลังหลั่งน้ำทักษิโณฑกแก่พราหมณ์

มนเทียรกลาง เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้าง 9 เมตร ยาว 13 เมตร มีมุขหน้าขนาด 8 x 5 เมตรมีหน้าต่างข้างละช่อง ตัวมนเทียรมีหน้าต่างข้างละ 3 ช่องกลางห้องมีเสาราย 2 แถว ๆ ละ 4 ต้น

 -บรรณาลัย (ห้องสมุด) ซ้ายและขวา อยู่ขนาบ 2 ข้างของมนเทียรกลาง กว้าง 6.5 เมตร ยาว 11 เมตร

*โคปุระ ชั้นที่ 5

  -ระเบียงคด ด้านทิศเหนือยาว 22 เมตรกว้าง 5.5 เมตร มีผนังละ 3 ประตูที่ผนังด้านเหนือและใต้ด้านทิศตะวันออกและตก กว้าง 4 เมตร ยาว 52 เมตรผนังด้านนอกทำทึบ ผนังด้านในมีหน้าต่าง ข้างละ 20 ช่อง ด้านทิศใต้ ผนังด้านในมีหน้าต่าง 6 ช่อง ตรงกลางมีประตู

  -ปรางค์ประธาน มีวิหารเชื่อมต่ออยู่ทางทิศเหนือ มีฐานย่อมุม 3 ชั้น ชั้นแรกอยู่เสมอพื้นราบ ชั้นที่ 2 สูง 75 เซนติเมตร ทุกที่ ๆ ตรงกับประตูมีบันได 5 ขั้น กว้าง 70 เซนติเมตร สูง 50 เซนติเมตร ตัวปรางค์ทรุดพังมาครึ่งองค์ เหลือเพียงราว 9 เมตร กว้าง 7 เมตร วิหารที่เชื่อมต่อ ฐานกว้าง 15 เมตร ยาว 17 เมตร สูง 1.5 เมตร มีประตูทั้ง 4 ทิศ บันไดตรงประตูทิศเหนือมี 3 ขั้น กว้าง 70 เซนติเมตร สูง 1.5 เมตร ประตูทิศใต้เชื่อมกับปรางค์ มีหน้าต่างด้านตะวันออกและตก ด้านละ 1 ช่อง กลางวิหารมีแท่งหินรูปสี่เหลี่ยม 1 แท่น

  -มนเทียรตะวันออก กว้าง 16 เมตร ยาว 20.5 เมตรมีมุขด้านเหนือ, ใต้, ตะวันออกแต่ละมุขมีประตู 3 ประตู ภายในแบ่งเป็นห้อง ๆ

มนเทียรตะวันตก กว้าง 18.5 เมตร ยาว 20.5 เมตรมีมุขด้านเหนือ, ใต้, ตะวันตกแต่ละมุขมีประตู 3 ประตู

  *เป้ยตาดี

   -“เป้ยตาดี” มีเนื้อที่กว้าง 44 เมตร ยาว 50 เมตร "เป้ย" เป็นภาษาเขมร ซึ่งแปลว่า ชะง่อนผา หรือโพงผา ตามคำบอกเล่า ว่านานมาแล้วมีพระภิกษุชรารูปหนึ่งชื่อ "ดี" จาริกมาปลูกเพิงพำนักอยู่ที่นี่จนมรณภาพไป ชาวบ้านจึงเรียกลานหินนี้ว่า "เป้ยตาดี" ตรงยอดเป้ยตาดีสูงกว่าระดับน้ำทะเล 657 เมตร ถ้าวัดจากพื้นที่เชิงเขาพื้นราบฝั่งประเทศกัมพูชาสูงประมาณ 447 เมตร ตรงชะง่อนผาเป้ยตาดี จะมีรอยสักฝีพระหัตถ์ของ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ว่า "๑๑๘-สรรพสิทธิ" แต่ก่อนมีธงไตรรงค์ของไทยอยู่ที่ บริเวณผาเป้ยตาดี ในปัจจุบันคงเหลือแต่ฐาน ส่วนรอยแกะสลักพระนามของกรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์นั้นปัจจุบันถูกกระเทาะทำลายไปแล้ว

*ประวัติศาสตร์

-*ภูมิหลังทางสังคม

   -ปราสาทพระวิหารคือมรดกทางวัฒนธรรมของมนุษยชาติ มิใช่ของประเทศหรือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง เพราะมีความเกี่ยวข้องกับชนหลายเผ่าพันธุ์ และหลายคติความเชื่อ ในอดีตนั้น เทือกเขาพนมดงรักเป็นสถานที่ติดต่อสัมพันธ์กันระหว่างที่ราบสูงโคราชกับที่ราบเขมรต่ำ การสถาปนาปราสาทพระวิหารเป็นแหล่งศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคนท้องถิ่นและผู้นับถือศาสนาฮินดูมีขึ้นในรัชสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2

   -ศิลาจารึกที่ปราสาทเขาพระวิหาร เรียกว่า “ศิลาจารึกศิวศักติ” หรือ “ศิลาจารึก K. ๓๘๒” สลักขึ้นด้วยภาษาสันสกฤต ตัวอักษรเทวนาครี เป็นศิลาจารึกที่บอกเล่าเรื่องราวให้ทราบว่าถิ่นที่อยู่อาศัยของ “ชาวกวย” หรือ “ชาวกูย” ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองที่ตั้งหลักแหล่งอาศัยอยู่บนเทือกเขาพนมดงรัก ในดินแดนอิสานประเทศมาตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์จนกระทั่งเข้าสู่ยุคเริ่มต้นประวัติศาสตร์สมัย “อาณาจักรฟูนัน” หรือ “อาณาจักรสุวรรณภูมิ” เรืองอำนาจขึ้นในคาบสมุทรอินโดจีน กษัตริย์ฟูนันได้สร้างปราสาทเทพบิดรไว้บนภูเขาพนมดงรัก มอบหมายให้ชาวพื้นเมืองรักษา

  -ตามจารึกศิวะสักติ พระเจ้าชัยวรมันที่ 2 ทรงกำหนดหลายพื้นที่บริเวณเขาพระวิหารเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ภวาลัยแห่งเขาพระวิหาร เป็นเขตของเจ้าพื้นเมืองของตระกูลพระนางกัมพูชาลักษมี พระมเหสีของพระองค์ ถือเป็นจุดเริ่มต้นของการสร้างศาสนสถานบนเขาพระวิหาร ต่อมา พระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 โปรดให้สถาปนาพระภัทเรศวรแห่งลิงคปุระไว้ ณ ยอดเขาพระวิหารด้วย อันเป็นการให้ความสำคัญแก่เขาพระวิหารในฐานะภูเขาศักดิ์สิทธิ์ที่สิงสถิตของบรรพบุรุษของชนชาติจามและขอม นอกจากนี้ ยังทรงทำให้ปราสาทเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อ พิธีกรรมเกี่ยวกับบรรพบุรุษ และประเพณีสักการบูชาอันพ้องกับเทศกาลของเกษตรกร ความนิยมในการประกอบพิธีกรรมที่ปราสาทพระวิหารนำไปสู่การขยายตัวของชุมชนใกล้เคียง ตามจารึกกล่าวไว้ว่าพระองค์ส่ง "ทิวากรบัณฑิต" มาบวงสรวงพระศิวะทุกปี นอกจากนี้ยังมีชุมชนโดยรอบที่พระมหากษัตริย์ทรงอุทิศไว้ให้รับใช้เทวสถาน ชุมชนที่มีชื่อในจารึกอย่างเช่น กุรุเกษตร, พะนุรทะนง เป็นต้น ต่อมาปราสาทพระวิหารได้กลายเป็นแหล่งจาริกแสวงบุญสำคัญในรัชสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ตาม"เอกสารประวัติกัมพุพงศ์ และองค์กรแห่งพระราชการ พร้อมทั้งพระประวัติของพระเจ้าแผ่นดินองค์อื่น"

*การก่อสร้าง

  -ปราสาทพระวิหารประกอบด้วยหมู่เทวาลัยและปราสาทหินจำนวนมาก เทวาลัยหรือปราสาทหินแห่งแรกสร้างขึ้นเมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 9 ซากปรักหักพังของเทวาลัยที่เหลืออยู่ มีอายุตั้งแต่สมัยเกาะแกร์ ในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 10 ครั้นเมื่อนครหลวงของอาณาจักรขอมอยู่ใกล้ คือ ที่นครวัด นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบบางประการในรูปแบบศิลปะของปราสาทบันทายศรี ตามหลักจารึกที่ค้บพบ 3 หลักคือ จารึกศิวะศักติ จารึกหมายเลข K380 และ K381 เชื่อว่าเริ่มก่อสร้างในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 2 (พ.ศ. 1432-1443) และเป็นรูปร่างเมื่อในสมัยพระเจ้ายโศวรมัน ซึ่งสถาปนาศรีศิขเรศวร ในปี พ.ศ. 1436 แต่โครงสร้างส่วนใหญ่ของปราสาทแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าสุริยวรมันที่ 1 (มีพระนามจารึกที่กรอบประตูโคปุระชั้นที่ 2 ว่า "สูรยวรรมเทวะ" และปีที่สร้างแล้วเสร็จในสมัยของพระองค์ตามจารึกคือ พ.ศ. 1581) และพระเจ้าสุริยวรมันที่ 2 ในครึ่งแรกของคริสต์ศตวรรษที่ 11 และ 12 ตามลำดับ ปราสาทพระวิหารสร้างด้วยศิลาทรายซึ่งสกัดจากบริเวณเทือกเขาพนมดงรักนี้ และวัสดุก่อสร้างอื่น ได้แก่ อิฐเผาและ "ไดทะมะป้วก" (ดินเหนียวคล้ายหิน) ปัจจุบันปราสาทหลงเหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง แต่ทว่ายังมีอาคารปราสาทเหลืออยู่อีกหลายแห่ง

กรณีพิพาทปราสาทพระวิหาร

*คดีความ พ.ศ. 2502

ดูบทความหลักที่: คดีปราสาทพระวิหาร

"แผนที่ภาคผนวก 1" กำหนดเขตแดนไทย–กัมพูชา ซึ่งจัดทำขึ้นอย่างผิดพลาดโดยลากเส้นผิดจากแนวสันปันน้ำซึ่งเป็นหลักสากล แต่ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศวินิจฉัยระบุว่าการไม่คัดค้านความผิดพลาดดังกล่าวถือว่าทางการไทยยอมรับแผนที่นี้มาช้านานแล้ว

   -ผู้ค้นพบปราสาทพระวิหารในสมัยปัจจุบันคือ พระเจ้าน้องยาเธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ พระราชโอรสองค์ที่ 11 ใน พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยทรงพบเมื่อปี พ.ศ. 2442 ขณะทรงได้รับแต่งตั้งให้เป็น ข้าหลวงต่างพระองค์ เสด็จไปรับราชการที่มณฑลลาวกาว (อิสาน) ในสมัยรัชกาลที่ 5 และได้ทรงจารึกปี ร.ศ. ที่พบเป็นเลขไทย ตามด้วยพระนามไว้ที่บริเวณชะง่อนผาเป้ยตาดี เป็นข้อความว่า “๑๑๘ สรรพสิทธิ”ต่อมาเมื่อประเทศฝรั่งเศสเข้าครอบครองอินโดจีนได้ทำสนธิสัญญา พ.ศ. 2447 ในการปักปันเขตแดนกับราชอาณาจักรสยาม โดยมีความตามมาตรา 1 ของสนธิสัญญา ระบุให้ใช้สันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ซึ่งมีผลให้ปราสาทพระวิหารอยู่ในดินแดนไทย ต่อมาใน พ.ศ. 2451 ฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฝ่ายเดียว ส่งมอบให้สยาม 50 ชุด แต่ละชุดมี 11 แผ่นและมีแผ่นหนึ่งคือ "แผ่นดงรัก" ที่ครอบคลุมพื้นที่ปราสาทพระวิหาร และไม่ได้ใช้แนวสันปันน้ำเป็นเส้นแบ่งพรมแดน ทำให้ปราสาทพระวิหารในแผนที่อยู่ในดินแดนของกัมพูชา โดยที่รัฐบาลสยามในขณะนั้นไม่ได้รับรองหรือทักท้วงความถูกต้องของแผนที่ดังกล่าว

   -ต่อมาในปี พ.ศ. 2483 ประเทศฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อประเทศเยอรมนี ทำให้แสนยานุภาพทางทหารลดลง จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้ยื่นข้อเสนอเรียกร้องดินแดนที่เสียไปในสมัยรัชกาลที่ 5 คืนจากฝรั่งเศส ซึ่งฝรั่งเศสปฏิเสธและมีการเคลื่อนไหวทางทหาร ที่ทำให้เกิดสงครามพิพาทอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสขึ้น   ประเทศไทยได้รับชัยชนะในการรบตลอด 22 วัน กระทั่งประเทศญี่ปุ่นที่เป็นมหาอำนาจในขณะนั้นเสนอตัวเป็นตัวกลางไกล่เกลี่ย และฝรั่งเศสได้ตกลงคืนจังหวัดไชยบุรี จำปาศักดิ์ เสียมราฐ และพระตะบองให้กับไทย ตาม อนุสัญญาโตเกียว ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับมาอยู่ในดินแดนไทยอย่างสมบูรณ์ 

  -ต่อมาเกิด สงครามโลกครั้งที่ 2 รัฐบาลไทยประกาศเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่น ประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร และต่อมาญี่ปุ่นเป็นฝ่ายแพ้สงคราม ประเทศไทยต้องรักษาสถานะตัวเองไม่ให้เป็นฝ่ายแพ้สงครามตามญี่ปุ่น และต้องการเข้าเป็นสมาชิกสหประชาชาติ จึงตกลงคืนดินแดน 4 จังหวัดให้ฝรั่งเศส ทำให้ปราสาทพระวิหารกลับไปอยู่บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา

   -ต่อมาในปี พ.ศ. 2497 ฝรั่งเศสแพ้สงครามต่อเวียดนามที่เดียนเบียนฟู ต้องถอนทหารออกจากอินโดจีน ประเทศกัมพูชาได้รับเอกราชตามสนธิสัญญาเจนีวา และไทยได้ส่งทหารเข้าไปรักษาการบริเวณปราสาทพระวิหารอีกครั้ง

   -ภายหลังกัมพูชาได้รับเอกราช เจ้านโรดมสีหนุ กษัตริย์กัมพูชาสละราชสมบัติเข้าสู่การเมือง ได้ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี และประกาศเรียกร้องให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร และไทยไม่ยอมรับ เจ้านโรดมประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทย เมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2501

  -และในปีต่อมา เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2502 เจ้านโรดมสีหนุได้ฟ้องร้องต่อ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice) หรือศาลโลก ให้ไทยคืนปราสาทพระวิหาร ฝ่ายไทยต่อสู้คดีโดยมี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กับคณะรวม 13 คน เป็นทนายฝ่ายไทย และฝ่ายกัมพูชามีนายดีน แอจิสัน เนติบัณฑิตแห่งศาลสูงสุด อดีตรัฐมนตรีต่างประเทศของสหรัฐอเมริกา เป็นหัวหน้าคณะ กับพวกอีกรวม 9 คน

 -กระทั่งวันที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2505 ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ ได้ตัดสินให้ปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชา ด้วยเสียง 9 ต่อ 3 และในวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2505 หลังจากศาลโลกตัดสินแล้ว 20 วัน รัฐบาลไทยโดย ดร.ถนัด คอมันตร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้มีหนังสือไปยัง นายอูถั่น เลขาธิการสหประชาชาติ เพื่อประท้วงคำพิพากษาของศาลโลก และสงวนสิทธิที่ประเทศไทยจะเรียกร้องปราสาทพระวิหารกลับคืนในอนาคต ทั้งนี้คำตัดสินของศาลโลกนั้นเป็นที่สิ้นสุด ไม่มีการอุทธรณ์ การจะนำคดีกลับขึ้นมาพิจารณาใหม่นั้นสามารถทำได้ถ้ามีหลักฐานใหม่และต้องทำภายในสิบปี

    -หลังจากนั้นไม่นาน กัมพูชาเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นภายในประเทศ ปราสาทหินแห่งนี้เปิดให้สาธารณชนเข้าชมเพียงช่วงสั้น ๆ ในปี พ.ศ. 2535 แต่ปีต่อมาก็ถูกเขมรแดงเข้าครอบครอง จากนั้นก็เปิดอีกครั้งจากฝั่งประเทศไทย เมื่อปลายปี พ.ศ. 2541

 *การขึ้นทะเบียนเป็นมรดกโลกของประเทศกัมพูชา

ดูบทความหลักที่: ความขัดแย้งไทย-กัมพูชา

(แผนที่ในแถลงการณ์ร่วมไทย–กัมพูชา พ.ศ. 2551)

  -เมื่อ 8 มีนาคม พ.ศ. 2548 กัมพูชาได้เสนอต่อองค์การยูเนสโกให้ขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลกอย่างเป็นทางการ ปี พ.ศ. 2549 วันที่ 30 มกราคม ศูนย์มรดกโลกของยูเนสโกที่ปารีสขอให้กัมพูชายื่นเอกสารใหม่เกี่ยวกับเขตกันชนของปราสาท และมีคำแนะนำให้ร่วมมือกับฝ่ายไทย                         -พ.ศ. 2550 กัมพูชายื่นเอกสารขอขึ้นทะเบียนปราสาทพระวิหารอีกครั้ง ขณะที่ไทยยื่นบันทึกช่วยจำต่อเอกอัครราชทูตกัมพูชาและเสนอขึ้นทะเบียนร่วม (transboundary property) แต่คณะกรรมการมรดกโลกสากลมีมติเลื่อนการขึ้นทะเบียนออกไป โดยให้ไทย-กัมพูชาร่วมมือกันอย่างใกล้ชิด และในวันที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2551 องค์การยูเนสโกประกาศขึ้นทะเบียนตามคำขอของกัมพูชาให้ตัวปราสาทพระวิหารเป็นมรดกโลก เฉพาะเพียงตัวปราสาทเท่านั้น โดยผ่านเกณฑ์การพิจารณาข้อ (i) เพียงข้อเดียว

   -ในวันที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2551 กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้นำประเด็นนี้มาโจมตีเพื่อขับไล่ นายนพดล ปัทมะ ให้ออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เหตุการณ์นี้พัฒนาไปสู่ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาในที่สุด

   -นับตั้งแต่วันที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554 ทั้งฝ่ายไทยและกัมพูชาได้ใช้ปืนใหญ่ยิงปะทะกัน ซึ่งต่างก็โทษอีกฝ่ายหนึ่งว่าเป็นฝ่ายเริ่มก่อน

  - วันที่ 5 กุมภาพันธ์ กัมพูชาได้ยื่นจดหมายถึงสหประชาชาติ ความว่า “พฤติการณ์ล่าสุดของทหารไทยได้ละเมิดข้อตกลงสันติภาพปารีส พ.ศ. 2534 กฎบัตรสหประชาชาติ และคำพิพากษาของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ พ.ศ. 2505”

*การตีความคำพิพากษา

ดูบทความหลักที่: กรณีการตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร

   -เมื่อวันที่ 28 เมษายน 2554 กัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศเพื่อขอให้ศาลตีความคำพิพากษาคดีปราสาทพระวิหาร พ.ศ. 2505 และในวันเดียวกัน ประเทศกัมพูชาได้ยื่นคำร้องต่อศาล ขอให้ศาลกำหนดวิธีการชั่วคราวเพื่อคุ้มครองสิทธิของตน วันที่ 18 กรกฎาคม 2554 ศาลจึงสั่งกำหนดวิธีการชั่วคราวบางประการ

*โบราณสถานและโบราณวัตถุที่สันนิษฐานว่าเกี่ยวเนื่อง

  โบราณสถานและโบราณวัตถุที่สันนิษฐานว่าเกี่ยวเนื่องกับปราสาทพระวิหาร มีดังนี้

  -ภาพสลักบนหน้าผามออีแดง : เป็นภาพสลักนูนต่ำรูปเทพชายและหญิงในท่าเรียงกัน 3 องค์ และยังมีส่วนที่สลักไม่เสร็จ

  -สถูปคู่ : เป็นสถูปคู่ 2 องค์ สร้างด้วยหินทราย เป็นแท่งสี่เหลี่ยม สูง 4.2 เมตร ยอดมน ข้างในมีโพรงบรรจุสิ่งของ

 -สระตราว : สระน้ำขนาดใหญ่ คาดว่ามีสถานะเทียบเท่าบาราย (แหล่งเก็บน้ำในอารยธรรมขอม มักสร้างใกล้ปราสาทหิน) บริเวณใกล้เคียงพบร่องรอยการตัดหินเพื่อนำไปสร้างปราสาท

สรุปคดีปราสาทเขาพระวิหาร”

   -ปราสาทเขาพระวิหาร  ตั้งอยู่บริเวณชายแดนไทยด้านอำเภอกันทรลักษ์ จังหวัดศรีสะเกษ และชายแดนกัมพูชาด้านจังหวัดพระวิหาร 

   -ปราสาทเขาพระวิหารนี้ เคยเป็นโบราณสถานในจังหวัดศรีสะเกษจนถึงวิกฤติการณ์ รศ. ๑๒๒ ซึ่งไทยได้สูญเสียอำนาจอธิปไตยปราสาทเขาพระวิหารให้แก่กัมพูชา 

   -ซึ่งภายหลังต่อมาฝรั่งเศสได้ขีดเส้นให้ปราสาทเขาพระวิหารตกอยู่ในเขตแดนกัมพูชาซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอินโดจีนของฝรั่งเศสเมื่อมีการทำแผนที่ปักปันเขตแดน ๒๔๕๐​ ซึ่งเป็นเหตุให้กัมพูชาอ้างสิทธิ์เหนือปราสาทเขาพระวิหารในเวลาต่อมา

-ความเป็นมาของกรณีพิพาท

   -สยามได้ลงนามใน “หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ณ วันที่ ๑๓ กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก ๑๑๒ (ค.ศ.๑๙๐๕)”  นั้นเพื่อแลกกับการที่ฝรั่งเศสจะถอนทหารออกจากจันทบุรี หากแต่สยามตั้งสละสิทธิทั้งหมดเหนือดินแดนฝั่งขวาของแม่น้ำโขง ได้แก่ เมืองหลวงพระบาง ไทรบุรี และจำปาศักดิ์ ดินแดนทางใต้ของเทือกเขาดงรัก ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้ยังได้มีการกำหนดเส้นเขตแดนในส่วนนี้ว่า ต้องยึดสันปันน้ำ (Watershed) เป็นเกณฑ์ซึ่งการกำหนดเขตแดนนี้เองที่มีผลต่อพื้นที่ตั้งของเขาพระวิหาร

  - สนธิสัญญานี้จัดตั้งเจ้าหน้าที่จากทั้งสองฝ่าย เรียกว่าคณะกรรมาธิการผสมชุดแรก เพื่อกำหนดเขตแดนระหว่างประเทศ"

   -ต่อมาสยามได้ลงนามใน “หนังสือสัญญาระหว่างกรุงสยามกับกรุงฝรั่งเศส ลงวันที่วันที่ ๒๓ มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก ๑๒๕ (ค.ศ.๑๙๐๗) พร้อมสัญญาว่าด้วยปักปันเขตร์แดนติดท้ายหนังสือหนังสัญญาลงวันที่ ๒๓ มีนาคม ร.ศ. ๑๒๕ “ 

  -ซึ่งสนธิสัญญาฉบับนี้เป็นที่มาของการจัดทำแผนที่ ๑ ต่อ ๒๐๐,๐๐๐ ขึ้น ซึ่งเป็นการตั้งคณะกรรมการปักปันเขตแดนบริเวณเทือกเขาดงรัก ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ฉบับนี้โดยเป็นคำร้องขอของรัฐบาลไทย          เนื่องจากรัฐบาลไม่มีวิธีการทางเทคนิคในการทำแผนที่ของภูมิภาค โดยฝรั่งเศสแต่เพียงฝ่ายเดียวนั้นได้จัดทำแผนที่ขึ้นทั้งสิ้น ๑๑ ฉบับ ซึ่งในแผนที่นี้เองได้มีแผนที่ซึ่งเรียกว่า “แผ่นดงรัก” ซึ่งมีเส้นเขตแดนมิได้เป็นไปตามเส้นสันปันน้ำตามที่ได้ตกลงกันไว้ในสนธิสัญญาก่อนหน้า หากการปักปันเขตแดนดังกล่าวเป็นไปตามสันปันน้ำตามที่ได้ตกลงกกันไว้แต่แรก พื้นทีส่วนใหญ่ของจังหวัดพระวิหารจะอยู่ในอาณาเขตของประเทศไทย 

   -ซึ่งการปักปันเขตแดนดังกล่าวนี้เองที่ส่งผลทำให้พื้นที่บริเวณปราสาทเขาพระวิหารทั้งหมดตกอยู่ภายใต้พื้นที่ของกัมพูชา ซึ่งต่อมากัมพูชาได้ใช้แผนที่ฉบับนี้เป็นข้ออ้างในการฟ้องคดีต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ โดยฝ่ายกัมพูชานั้นได้อ้างแผนที่ดังกล่าวเป็น “แผนที่ภาคผนวก ๑ หรือ Map Annex I”  และได้กล่าวว่า ในแผนที่ดังกล่าวนี้ปราสาทเขาพระวิหารอยู่ในดินแดนภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา โดยพื้นที่ทับซ้อน ๔.๖ ตารางกิโลเมตรนั้นเป็นปัญหาที่ไม่ได้รับการแก้ไขอย่างจริงจังตั้งแต่ครั้งที่มีการทำแผนที่ดังกล่าว

*กรณีพิพาทปี พ.ศ. ๒๕๐๕

   -ต่อมาเมื่อเกิดกรณีพิพาทอินโดจีนขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๘๔ ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศไทยฉวยโอกาสจากการที่ฝรั่งเศสยอมจำนนในปี พ.ศ. ๒๔๘๓ เพื่อทวงคืนดินแดนเขมรและลาวที่สูญเสียไปวิกฤติการณ์ร.ศ. ๑๒๒ ​ไทยได้รับดินแดนที่เสียไปให้แก่ฝรั่งเศสด้วยความช่วยเหลือของรัฐบาลญี่ปุ่น หากแต่เมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามโลก นายกรัฐมนตรีไทยในขณะนั้น นายปรีดี พนมยงค์ ตกลงที่จะคืนดินแดนที่ยึดครองให้ฝรั่งเศส เพื่อเป็นการยืนยันว่าไม่ได้เป็นผู้รุกรานหรือเป็นสมาชิกของฝ่ายอักษะ ทางการไทยจึงส่งคืนดินแดนดังกล่าวทั้งหมดคืนแก่กัมพูชา โดยความกังขาเหนือพื้นที่พิพาทนั้นก็ยังคลุมเครือและไม่มีความชัดเจน

   -ต่อมาทางการไทยได้เข้าครอบครองพื้นที่ปราสาทเขาพระวิหารในปีพ.ศ.๒๔๙๒ ซึ่งในขณะนั้นกัมพูชาตกอยู่ในอาณัติของประเทศฝรั่งเศส รัฐบาลฝรั่งเศสซึ่งอารักขากัมพูชาจึงได้มีหนังสือทักท้วงทางการไทยหลายฉบับเพื่อขอให้ทางการไทยถอนการครอบครองออกไป จวบจนเมื่อกัมพูชาได้เอกราชจากฝรั่งเศสก็ได้มีการตกลงในการเจรจาปัญหาพื้นที่ดังกล่าว แต่การเจรจาดังกล่าวก็ไม่ได้เกิดขึ้น

   -ต่อมาความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาได้ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขั้นกัมพูชาประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับไทยในปี พ.ศ.๒๕๐๑​ จนมีการไกล่เกลี่ยโดยผู้แทนของเลขาธิการสหประชาชาติและสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกันใหม่ อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งระหว่างไทยและกัมพูชาก็ยังไม่หายไป จนกระทั่งวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๐๒​ ได้ยื่นคำร้องต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice หรือ ICJ โดยขอให้ทางการไทยถอนทหารออกจากปราสาทพระวิหาร และขอให้วินิจฉัยว่าอำนาจอธิปไตยเหนือปราสาทเขาพระวิหารเป็นของกัมพูชา โดย ICJ ได้มีคำสั่งประทับรับฟ้องในวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๐๒

 

“ข้อพิพาทระหว่างไทยและกัมพูชา”

     -ทางการกัมพูชาได้ใช้ “แผ่นดงรัก” หรือที่เรียกว่า “แผนที่ภาคผนวก ๑ หรือ Map Annex I”  ในการกล่าวว่าปราสาทเขาพระวิหารนั้นตั้งอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา โดยทางกัมพูชาได้กล่าวว่า แผนที่ดังกล่าวได้รับการยอมรับจากทางการไทยและอีกทั้งไทยยังเป็นภาคีในสนธิสัญญา อีกทั้งไทยยังเข้าร่วมคณะสำรวจในเวลานั้น 

   -ซึ่งในส่วนนี้ทางการไทยได้ปฏิเสธไม่ยอมรับ เนื่องจากตามสนธิสัญญานั้น การปักปันเขตแดนต้องเป็นไปตามเส้นสันปันน้ำ อีกทั้งในขณะรัฐบาลฝรั่งเศสได้จัดทำแผนที่ดังกล่าวแต่เพียงฝ่ายเดียว ทางการไทยอ้างข้อโต้แย้งต่าง ๆ ที่มุ่งแสดงว่าแผนที่ไม่มีลักษณะผูกพัน ข้อโต้แย้งประการหนึ่งคือแผนที่ไม่เคยได้รับการยอมรับจากประเทศไทยหรืออีกทางหนึ่งคือหากประเทศไทยยอมรับแผนที่ก็ทำเช่นนั้นเพียงเพราะความเชื่อที่ผิดพลาดว่าชายแดนระบุว่าสอดคล้องกับแนวสันปันน้ำ ทางการไทยยังได้กล่าวว่า ไทยนั้นได้ครอบครองพื้นที่พิพาทโดยไม่มีข้อโต้แย้ง อีกทั้งลักษะของพื้นที่ดังกล่าวก็เปิดโอกาสให้ขึ้นปราสาทพระวิหารได้จากฝั่งไทยอีกด้วย

   -ทางกัมพูชายังได้กล่าวว่าไทยนั้นมีพันธะต้องถอนทหารที่ได้ส่งไปตั้งประจำ ณ เขาพระวิหารออก รวมทั้งทางการไทยยังต้องส่งคืนปฏิมากรรม แผ่นศิลา ส่วนสลักหักพังของอนุสาวรีย์ รูปหินทรายและเครื่องปั้นดินเผาโบราณซึ่งได้ถูกโยกย้ายไปจากเขาพระวิหารคืนแก่กัมพูชาด้วย

*คำพิพากษาของศาล

   -ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศได้มีคำพิพากษาให้เขาพระวิหารนั้นอยู่ภายใต้อำนาจอธิปไตยของกัมพูชา โดยศาลได้ยืนยันว่า คำพิพากษานั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของแผนที่ที่ทำขึ้นอย่างถูกต้องระหว่างสนธิสัญญาระหว่างสยามและฝรั่งเศส

   -ซึ่งได้แสดงให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่าเขาพระวิหารนั้นอยู่ภายใต้อธิปไตยของกัมพูชา โดยที่ศาลได้กล่าวว่า การที่รัฐบาลฝรั่งเศสได้ส่งแผนที่ฉบับสมบูรณ์มายังทางการสยามและไม่ได้มีการคัดค้านใด ๆ ในเวลานั้น อีกทั้งยังปล่อยผ่านความผิดพลาดนั้นเป็นเวลานานกว่า 50 ปี นั้นกืถือว่าฝ่ายไทยนั้นได้ให้ความยินยอมโดยปริยายแล้ว นอกเหนือไปจากนี้ ทางการไทยยังไม่ได้มีการทำแผนที่สำรองใด ๆ ไว้อีกด้วย

   -ในส่วนของข้อกล่าวอ้างที่ว่า “ไทยไม่เคยยอมรับเส้นแบ่งดินแดนในแผนที่ภาคผนวก ๑ นั้น”

   - ศาลได้หักล้างข้อโต้แย้งดังกล่าวโดยอาศัยหลักฐานที่ว่าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้เสด็จเยือนเขาพระวิหารในปี พ.ศ. ๒๔๗๓ และทรงได้รับการต้อนรับอย่างเป็นทางการโดยข้าหลวงฝรั่งเศสซึ่งมีการเชิญธงชาติฝรั่งเศสขึ้นสู่ยอดเสา โดยที่สมเด็จฯ ก็ไม่ได้ทักท้วงแต่อย่างใด

    -นอกเหนือไปจากนี้ ศาลยังมีคำพิพากษาให้ประเทศไทยคืนพระธาตุและโบราณวัตถุทั้งหมดคืนแก่กัมพูชาอีกด้วย

ท่าทีของประเทศไทย

   -เมื่อศาลมีคำพิพากษานั้น ได้เกิดการต่อต้านอย่างกว้างขวาง มีการเดินขบวนประท้วงในพื้นที่ต่าง ๆ ต่อทั้งรัฐบาลไทยภายใต้รัฐบาลของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ได้ออกแถลงการณ์ซึ่งมีใจความสำคัญเกี่ยวกับการไม่เห็นด้วยต่อคำพิพากษาของศาล โดยกล่าวว่าศาลมิได้ยึดตัวบทสนธิสัญญาหากแต่ไปยึดตามแผนที่ซึ่งขัดแย้งต่อสาระสำคัญของสัญญา หากแต่ไทยก็ยอมรับคำพิพากษาของศาล หากแต่ได้ประท้วงและสงวนสิทธิของประเทศไทยในเรื่องนี้ด้วย

    -อย่างไรก็ตาม คำพิพากษาในปี พ.ศ. ๒๕๐๕ นั้น ศาลวินิจฉัยว่าปราสาทพระวิหารเป็นของกัมพูชาและพิพากษาให้ไทยต้องถอนกำลังเจ้าหน้าที่ออกจากตัวปราสาทและบริเวณใกล้เคียง แต่ไม่ได้ระบุว่า อาณาบริเวณมากน้อยเพียงไรที่จะเป็นของกัมพูชาด้วย       

*กรณีพิพาทปีพ.ศ. ๒๕๕๔

    -ต่อมาในปีพ.ศ. ๒๕๕๔​ ได้เกิดความขัดแย้งขึ้นอีกครั้ง โดยมีการปะทะกันบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา กัมพูชานำประเด็นดังกล่าวไปยังคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์  ปีเดียวกันคณะมนตรีได้มีมติขอให้มีการหยุดยิงถาวรและขอให้อินโดนีเซียเป็นประธานอาเซียนในการบังคับใช้การหยุดยิงและค้นหากลไกทวิภาคีในการแก้ปัญหา หนึ่งสัปดาห์ต่อมา อาเซียนได้จัดการประชุมระดับสูงพิเศษระหว่างประเทศสมาชิกซึ่งรัฐมนตรีต่างประเทศของแต่ละประเทศเข้าร่วมกิจการและเสนอให้ส่งผู้สังเกตการณ์ชาวอินโดนีเซียเข้าไปในพื้นที่พิพาท นอกเหนือไปจากนี้ ประเทศไทยปฏิเสธไม่ให้ผู้สังเกตการณ์อยู่จนกว่าจะบรรลุข้อตกลงทวิภาคีกับกัมพูชาในคณะกรรมการชายแดนทั่วไป (General Border Committee GBC) ซึ่งมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของแต่ละประเทศเป็นประธาน อย่างไรก็ตาม กัมพูชาปฏิเสธที่จะเรียกประชุม GBC ที่ยืนยันว่าข้อพิพาทปราสาทพระวิหารไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยกลไกทวิภาคีใด ๆ อีกต่อไป เนื่องจากไทยยังคงขัดขวางกระบวนการนี้อยู่

   -เนื่องจากดูเหมือนว่าการแก้ปัญหาทวิภาคีเป็นไปไม่ได้ กัมพูชาจึงขอให้ ICJ ตีความคำตัดสินของศาลในปี ๒๕๐๕ และออกคำสั่งห้ามให้ไทยถอนทหารทั้งหมด หยุดกิจกรรมทางทหารทั้งหมดในพื้นที่พิพาท และละเว้นจากการกระทำทั้งหมดที่อาจละเมิดอธิปไตยของกัมพูชาเหนือพื้นที่

   -เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๔  ICJ สั่งให้ทั้งสองประเทศถอนกำลังทหารทั้งหมดออกจากเขตปลอดทหารที่ศาลกำหนดขนาด 17 ตารางกิโลเมตรรอบวัด ซึ่งห้ามไม่ให้ไทยดำเนินการใด ๆ ที่อาจขัดขวางกิจกรรมที่ไม่ใช่ทหารของกัมพูชาในพื้นที่ และสั่งให้ทั้งสองประเทศดำเนินการอำนวยความสะดวกในการมีอยู่ของผู้สังเกตการณ์อาเซียนในพื้นที่และละเว้นจากการกระทำใด ๆ ที่อาจทำให้ความขัดแย้งรุนแรงขึ้น

*ย้อนรอยคดีปราสาทพระวิหาร

คำสำคัญ (Tags): #"เขาพระวิหาร"
หมายเลขบันทึก: 709318เขียนเมื่อ 30 ตุลาคม 2022 00:01 น. ()แก้ไขเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2022 20:58 น. ()สัญญาอนุญาต: สงวนสิทธิ์ทุกประการจำนวนที่อ่านจำนวนที่อ่าน:


ความเห็น (0)

ไม่มีความเห็น

อนุญาตให้แสดงความเห็นได้เฉพาะสมาชิก
พบปัญหาการใช้งานกรุณาแจ้ง LINE ID @gotoknow
ClassStart
ระบบจัดการการเรียนการสอนผ่านอินเทอร์เน็ต
ทั้งเว็บทั้งแอปใช้งานฟรี
ClassStart Books
โครงการหนังสือจากคลาสสตาร์ท