#ลงทุนแนวปัจจัยพื้นฐาน

ประเด็นเรื่องของน้ำมันและการลงทุนในหุ้นกลุ่มน้ำมัน

โดย stock2morrow
เผยแพร่:
765 views

 

ช่วงหลายวันที่ผ่านมา กระแสที่นักลงทุนพูดถึงกันมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้นเรื่อง “ราคาน้ำมัน” ที่ทำจุดต่ำสุดถึง 37 เหรียญต่อบาร์เรล เหมือนหนังคนละม้วนเลยก็ว่าได้จากปีก่อนที่น้ำมันยังอยู่บริเวณ 97 -100 เหรียญต่อบาร์เรลล์ ทำไมสถานการณ์จึงเป็นเช่นนั้น

 

 

สาเหตุหลักที่ผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อย่าง OPEC ที่พยายามให้ราคาน้ำมันต่ำเตี้ยอย่างนั้น น่าจะแยกได้เป็น 2 ประเด็น คือ เรื่องแรกน่าจะเป็นเรื่องของการเมืองภายในกลุ่มโอเปคด้วยกันเอง ส่วนเรื่องที่สองคงเป็นเรื่องของเศรษฐกิจ ที่ต้องการต่อต้าน Shale gas ของอเมริกา

 

ราคาน้ำมันเทียบกับสินค้าโภคภัณฑ์ชนิดอื่น ภาพรวมจะวิ่งไปทิศทางเดียวกัน

 

 

เรื่องแรกนั้น เป็นเรื่องการเมืองภายในกลุ่มกันเองที่ผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อย่างซาอุต้องการจะสั่งสอนอิหร่านที่เป็นตัวตั้งตัวตีในการเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมัน ในเมื่ออิหร่านอยากเพิ่มดีนัก และทางซาอุเองกลัวจะต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้กับอิหร่านไป ซาอุเลยรวมหัวกับเวเนซูเอล่าช่วยกันเพิ่มเพดานการผลิตน้ำมันจาก 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็น 31.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน เป็นปัจจัยกดดันน้ำมันอย่างหนัก โดยให้เหตุผลว่าไม่อยากเสียสูญแบ่งทางการตลาดไป อีกทางหนึ่งก็เป็นการกลั่นแกล้งรัสเซียอีกทางและไม่ยอมให้รัสเซียก้าวขึ้นมาเป็นประเทศนอกกลุ่มโอเปคที่ส่งออกน้ำมันรายใหญ่ซึ่งต้องสูญเสียส่วนแบ่งการตลาดให้ รัสเซียเป็นประเทศผู้ส่งออกน้ำมันและรายได้หลักของประเทศมาจากการค้าน้ำมัน เมื่อน้ำมันราคาต่ำๆแบบนี้ รัสเซียน่าจะเกิดปัญหาทางการเงินและลดการผลิตน้ำมันลง

 

 

เรื่องที่สอง น่าจะเป็นประเด็นหลักที่ทำให้ราคาน้ำมันตกต่ำและราคาขึ้นยากมากๆ นั้นคือการมาของ Shale gas นักวิเคราะห์คาดกันว่าต้นทุนของการขุดเจาะ Shale gas น่าจะอยู่ที่ 60 เหรียญ ถ้าน้ำมันราคาขึ้นไปมากกว่า 60 เหรียญ ผู้ผลิต Shale gas จะพร้อมใจกันขุดออกมาใช้งานทันที และเปลี่ยนโฉมหน้าของอเมริกาจากผู้บริโภครายใหญ่กลายเป็นผู้ส่งออกพลังงานรายใหญ่ทันที ซาอุเห็นดังนั้นแล้วก็พยายามกดราคาน้ำมันของตนเองเป็นระยะเวลาหนึ่งเพื่อให้ผู้ผลิต Shale gas อยู่ไม่ได้จนต้องออกจากอุตสาหกรรมไป หรือพูดง่ายๆ คือ ซาอุเองก็ไม่อยากให้ Shale gas ถือกำเนิดขึ้นมาสักเท่าไรนัก

 

 

ต้นทุนการผลิตน้ำมันของแต่ละสถานที่ ที่ไม่เท่ากัน ต้นทุนของซาอุต่ำที่สุดอยุ่ที่ประมาณ 20 เหรียญ

ต้นทุนการผลิต Shale gas น่าจะอยู่ราวๆ 60 – 100 เหรียญ ขึ้นอยู่กับแต่ละสถานที่

 

 

นี้เป็นภาพแบบย่อๆของสถานการณ์น้ำมันในขณะนี้ คือ จะลงลึกต่ำกว่า 20 เหรียญไม่ได้ (เพราะเป็นต้นทุนของซาอุ) และจะขึ้นไปสูงกว่า 60 เหรียญก็ทำได้ยากยิ่ง (เพราะมีปัจจัยเรื่อง Shale gas มาคอยกดดันราคาอยู่)

 

นักวิเคราะห์ต่าวชาติค่ายหนึ่งให้ความเห็นว่า ราคาน้ำมันไม่น่าจะฟื้นตัวได้เร็วขนาดนั้นและเราจะได้เห็นราคาน้ำมันตกต่ำแบบนี้ไปอีกนาน .. ตอนนี้เราต้องมองหันกลับไปทางประเทศจีนว่าจะฟื้นตัวได้ดีหรือไม่ ถ้าประเทศจีนซึ่งเป็นผู้บริโภคน้ำมันรายใหญ่เศรษฐกิจดี คนกลับมาบริโภคมากขึ้น เราจะได้เห็นราคาน้ำมันฟื้นตัวได้อีกแต่คิดว่าไม่น่าจะไปได้ไกลเพราะยังมีประเด็นเรื่อง Shale gas และ Shale oil มากดดันราคาอยู่ นักลงทุนอย่าหวังจะได้เห็นราคาน้ำมันที่ 100 เหรียญอีกเลย

 

จิม พอลเซ็น นักวิเคราะห์จาก Wells Fargo Asset Management ให้ความเห็นว่า ทุกๆครั้งที่ราคาน้ำมันปรับตัวลง เศรษฐกิจของอเมริกาจะดีขึ้นและเริ่มมีการฟื้นตัว ราคาน้ำมันก็จะกลับไปแพงอีกรอบหนึ่ง แต่กระบวนการนี้ต้องใช้ระยะเวลานานหลายเดือน ถ้าให้เดา ราคาน้ำมันน่าจะดีดตัวไปที่ 75 เหรียญในปี 2016 ซึ่งไม่น่าจะไปได้ไกลกว่านั้นอีกแล้ว

 

โดมินิค ชไนเดอร์ นักวิเคราะห์สินค้าโภคภัณฑ์ของค่าย UBS ให้ความเห็นว่า ราคาน้ำมันน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว (ตอนให้ความเห็น น้ำมันอยู่ที่ 41 เหรียญ) แต่การฟื้นตัวไม่น่าจะไปได้ไกล เพราะทาง UBS ให้ความเห็นว่าความต้องการใช้น้ำมันของจีนน่าจะลดลง เศรษฐกิจของจีนน่าจะยังไม่ได้ดีเท่าที่ควร

 

ในช่วงเวลาที่น้ำมันลงแบบนี้ มีกลุ่มน้ำมันกลุ่มไหนบ้างที่ได้รับผลประโยชน์ และเสียประโยชน์ ..

 

จากบทวิเคราะห์ของต่างชาติ ว่ากันว่า กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากราคาน้ำมัน คือ กลุ่มโรงกลั่น และปิโตรเคมี ซึ่งทั้ง 2 กลุ่มนี้ จะสามารถปรับราคาตามต้นทุนน้ำมันดิบที่ได้รับ ถ้าราคาน้ำมันแพง ก็สามารถขายผลิตภัณฑ์ปลายน้ำราคาแพงได้ แต่ถ้าราคาน้ำมันถูก ก็สามารถขายถูก แต่การขายถูกจะเป็นปัจจัยกดดันผลกำไรให้ลดต่ำลงแม้ว่าจะขายได้มากขึ้น ดังนั้น Earning per share จะลดลง และส่งผลให้ปันผลน่าจะลดลงด้วย

 

ส่วนกลุ่มที่ได้รับผลเสียเต็มๆจากราคาน้ำมันที่ลดลง คือ กลุ่มสำรวจและขุดเจาะ แน่นอนว่าการลงทุนยังคงหนักเท่าเดิม แต่ราคาน้ำมันดิบกลับลดลง บริษัทที่ทำธุรกิจนี้อาจจะรายงานผลประกอบการขาดทุนต่อไปเรื่อยๆตราบใดที่ราคาน้ำมันยังไม่ได้ขึ้น และแน่นอนว่า "ไม่มีปันผล" ถ้าบริษัทขาดทุน

 

 

แหล่งที่มาของพลังงานหลัก น้ำมันกินส่วนแบ่งเกือบ 50% และถูกใช้ในการขนส่งถึง 72%

 

หันกลับมามองที่ตลาดหุ้นไทยกันบ้าง กลุ่มพลังงานตกต่ำมาอย่างต่อเนื่องและดูเหมือนว่าจะ Underperform ตลาดโดยตลอดช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ทั้งกลุ่มที่ได้รับประโยชน์และกลุ่มที่เสียประโยชน์ หน้าที่ของนักลงทุนที่ชื่นชอบกลุ่มน้ำมันและเป็นแฟนคลับอย่างเหนียวแน่น อาจจะหาผลประโยชน์ในช่วงเวลาแบบนี้ หาหุ้นพื้นฐานดีที่ได้รับผลประโยชน์จากน้ำมันดิบตกต่ำ ที่ตลาดตื่นตระหนกตกใจและให้มูลค่าต่ำกว่าความเป็นจริง ซื้อแล้วถือเอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม น้ำมัน ขึ้นชื่อว่าเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ และสินค้าโภคภัณฑ์เกือบทุกชนิดจะมีลักษณะนิสัยเป็น"วัฐจักร" สำหรับนักลงทุนพันธุ์แท้แล้วจะเข้าใจได้เป็นอย่างดี ถ้ามันราคาสูงมากๆ คนจะแย่งกันทำเพราะเห็นว่ากำไรน่าจะดี ในขณะเดียวกัน ถ้ามันตกต่ำมากๆ ก็จะเป็นตัวกดดันให้บริษัทที่มีสายป่านสั้นออกจากอุตสาหกรรมไป จนผู้ผลิตลดน้อยลง แต่ความต้องการซื้อยังเท่าเดิม ราคามันก็จะกลับมา

 

แต่ท้ายที่สุดแล้ว หน้าที่ของนักลงทุนนอกจากจะต้องหาหุ้นที่ต่ำกว่ามูลค่าแล้ว ยังต้องเฝ้าดูอีกด้วยว่า ความต้องการซื้อ หรือ Demand ยังมีอยู่หรือไม่ เพราะถ้าอนาคตมันไม่มีความต้องการซื้ออยู่ สินค้าโภคภัณฑ์ชิ้นนั้นก็จะตกยุคแล้วหายออกไป ดังเช่น อุตสาหกรรมทอพรม และบริษัททำรถม้า ในช่วงยุคปี 80 ที่อุตสาหกรรมนี้ล้มหายตายจากไปแล้วก็ไม่เคยฟื้นขึ้นมาอีกเลย

 


ศูนย์รวมความรู้เรื่องหุ้น ศูนย์รวมนักลงทุนรายย่อย ที่อยากรู้วิธีการลงทุนในหุ้นอย่างถูกต้องและได้กำไรอย่างยั่งยืน ติดตามเราได้ที่

www.stock2morrow.com 

FB: stock2morrow 

LINE@stock2morrow

FacebookInstagramYoutubeLine

บทความอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง