สาระน่ารู้เกี่ยว "ช็อกโกแลต"

​ในช่วงเวลาที่อากาศร้อน ๆ จะมีอะไรดีไปกว่าช็อกโกแลตปั่นสักแก้วมาช่วยให้คลายร้อน ช็อกโกแลตเป็นสิ่งที่ทุกคนคุ้นเคยกันดีเพราะไม่ว่าจะเป็นของหวานแบบไหนก็สามารถเอาช็อกโกแลตไปผสมได้ และนอกจากที่ช็อกโกแลตจะมีรสชาติที่แสนอร่อยแล้ว ยังมีเรื่องราวที่น่าสนใจอีกด้วย ช็อกโกแลตจะมีเรื่องราวอะไรบ้าง ไปตามอ่านกันได้เลย 

ช็อกโกแลตเป็นผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเมล็ดโกโก้ นิยมนำไปเป็นส่วนประกอบในขนม และผลิตภัณฑ์เบเกอรี่ต่าง ๆ ช็อกโกแลตอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต และยังมีสารกระตุ้นอัลคาลอยด์ ฟลาโวนอยด์ ธีโอโบรมีน และคาเฟอีนในปริมาณเล็กน้อย

หลาย ๆ คนอาจจะยังสับสนว่าสรุปแล้วช็อกโกแลตกับโกโก้ต่างกันยังไง พูดง่าย ๆ คือทั้งสองอย่างเกิดจากเมล็ดโกโก้เหมือนกัน แต่ช็อกโกแลตจะมีไขมันโกโก้ และส่วนผสมอื่น ๆ ผสมอยู่ ส่วนโกโก้คือส่วนที่แยกเอาไขมันโกโก้ออกแล้ว 

ประวัติช็อกโกแลตจากหลักฐานชาวมายา โทลเทค และแอซเท็กเริ่มปลูกต้นโกโก้เมื่อกว่า 3,000 ปีที่แล้ว มักจะนำเมล็ดโกโก้ไปทำเป็นเครื่องดื่ม ชาวมายาถือว่าช็อกโกแลตเป็นอาหารของเหล่าทวยเทพ ถือว่าต้นโกโก้เป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ หลังจากที่ชาติในยุโรปค้นพบทวีปอเมริกา สเปนก็เป็นประเทศในยุโรปแรกที่นำช็อกโกแลตมาใส่ในอาหาร มีความเป็นไปได้สูงที่ช็อกโกแลตจะมาถึงสเปนเป็นครั้งแรกใน ค.ศ. 1544 ช็อกโกแลตถูกใช้เป็นเครื่องดื่มร้อน และกลายเป็นที่นิยมอย่างมากในราชสำนักสเปน หลายปีก่อนที่ช็อกโกแลตจะเข้าสู่ประเทศอื่น ๆ ในยุโรป ใน ค.ศ. 1657 ชาวฝรั่งเศสคนหนึ่งเปิดร้านช็อกโกแลตในลอนดอน โดยสามารถซื้อช็อกโกแลตสำหรับทำเครื่องดื่มได้ในราคา 10 ถึง 15 ชิลลิงต่อปอนด์ ซึ่งถือเป็นราคาที่สูงมากมีเฉพาะคนรวยเท่านั้นที่สามารถซื้อได้ ช็อกโกแลตได้รับความนิยมมากในยุโรปจนมีคลับสำหรับช็อกโกแลตโดยเฉพาะ ในลอนดอนคลับช็อกโกแลตหลายแห่งถูกใช้เป็นสถานที่นัดพบของพรรคการเมือง และจุดเล่นการพนันที่มีเดิมพันสูง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Cocoa-Tree Chocolate-House (ต่อมาคือ Cocoa-Tree Club) ค.ศ. 1700 ชาวอังกฤษได้ปรับปรุงรสชาติของช็อกโกแลตโดยการเติมนมลงในช็อกโกแลต ในขณะเดียวกัน การทำช็อกโกแลตก็แพร่หลายไปหลาย ๆ ประเทศในยุโรป การผลิตช็อกโกแลตเริ่มต้นขึ้นในฃอเมริกาในปี ค.ศ. 1765 ในเนเธอร์แลนด์ ค.ศ. 1828 C.J. van Houten ได้คิดค้นกระบวนการเอาไขมันส่วนใหญ่หรือเนยโกโก้จากเมล็ดโกโก้เพื่อให้ได้ผงโกโก้ ค.ศ. 1847 บริษัท Fry and Sons ของอังกฤษได้ผสมเนยโกโก้ โกโก้ลิเคอร์ (Cocoa Liquor) และน้ำตาลเพื่อผลิตช็อกโกแลตรสหวาน ซึ่งเป็นส่วนผสมหลักของช็อกโกแลตมากที่สุด 

การผลิตช็อกโกแลต
การผลิตช็อกโกแลตจะเริ่มจากนำเมล็ดโกโก้มาล้างให้สะอาด แล้วนำหมักเพื่อให้มีรสชาติเข้มข้นมากขึ้น จากนั้นนำเมล็ดโกโก้คั่วด้วยอุณหภูมิ 100-160 องศาเซลเซียส รสชาติ กลิ่น และความเข้มข้นของช็อกโกแลตจะขึ้นอยู่กับอุณหภูมิและเวลาที่ใช้คั่ว เมล็ดที่คั่วเสร็จแล้วจะถูกบดให้กลายเป็นโกโก้ลิเคอร์ (Cocoa Liquor) ในโรงงานจะมีกระบวนการที่แยกเนยโกโก้ออกจากโกโก้ลิเคอร์เพื่อลดปริมาณไขมัน โกโก้ลิเคอร์ที่แยกเนยโกโก้ออกแล้วจะเรียกว่า โกโก้โซลิด (Cocoa Solid) ซึ่งจะนำไปบดให้เป็นผงโกโก้ หรือผสมกับน้ำตาลและเนยโกโก้เพิ่มเติมเพื่อทำช็อกโกแลตที่วางขายทั่วไป
การผลิตช็อกโกแลตที่มีชื่อเสียงและได้รับความนิยมมาก ๆ มักจะผลิตในยุโรปและสหรัฐอเมริกาซึ่งเป็นประเทศที่พัฒนาการผลิตช็อกโกแลตมานานหลายร้อยปี แต่ประเทศที่ผลิตช็อกโกแลตเหล่านี้ไม่ได้สามารถปลูกต้นโกโก้ได้เองเพราะต้นโกโก้จะเติบโตได้ดีในเขตร้อน ทำให้ในแต่ละปีประเทศผู้ผลิตช็อกโกแลตต้องนำเข้าเมล็ดโกโก้จำนวนมากจากทั้งทวีปแอฟริกาและแถบอเมริกากลางเพื่อผลิตเป็นช็อกโกแลต

ชนิดของช็อกโกแลต
Dark chocolate มีส่วนผสมคือ เนยโกโก้, โกโก้ลิเคอร์ (Cocoa Liquor), ผงโกโก้, น้ำตาล มีรสชาติขม
Milk chocolate มีส่วนผสมคือ เนยโกโก้, โกโก้ลิเคอร์ (Cocoa Liquor), นม หรือ นมผง ,น้ำตาล สารให้กลิ่นรส เช่น วานิลา เป็นช็อกโกแลตที่เป็นที่นิยมและพบเห็นมากที่สุด
white chocolate มีส่วนผสมคือ เนยโกโก้, น้ำตาล, นมหรือนมผง ในทางเทคนิคแล้ว white chocolate ไม่ถือว่าเป็นช็อกโกแลต เพราะทำมาจากเนยโกโก้เป็นหลัก ไม่ได้มีส่วนผสมของผงโกโก้เหมือนช็อกโกแลตชนิดอื่น ๆ 
Couverture chocolate คือช็อกโกแลตที่มีส่วนผสมของเนยโกโก้มากกว่า 30 % และมีส่วนผสมของ น้ำตาล น้ำนม เหมาะสำหรับใช้เคลือบขนมต่าง ๆ เพราะมีการแข็งตัวที่เร็วกว่าช็อกโกแลตชนิดอื่น ๆ   

ถ้าพูดถึงเทศกาลที่เกี่ยวกับช็อกโกแลตแล้วก็คงหนีไม่พ้นวันวาเลนไทน์ของญี่ปุ่นที่ฝ่ายหญิงจะให้ช็อกโกแลตกับคนที่ตัวเองชอบซึ่งมักจะเป็นช็อกโกแลตที่ฝ่ายหญิงทำเองหรือเป็นช็อกโกแลตที่มีราคาสูงหน่อย นอกจากให้กับคนรักแล้ว ผู้หญิงยังซื้อช็อกโกแลตให้กับเพื่อนหรือเพื่อนร่วมงานด้วยซึ่งจะเรียกว่าให้ตามมารยาท ส่วนฝ่ายชายที่ได้รับช็อกโกแลตจากฝ่ายหญิงก็ต้องซื้อช็อกโกแลตตอบแทนให้กับฝ่ายหญิงในวันที่ 14 มีนาคม หรือเรียกว่าวันไวท์เดย์ ในปัจจุบันการให้ช็อกโกแลตของผู้หญิงในญี่ปุ่นเริ่มลดลงบ้างแล้ว เพราะบางครั้งผู้หญิงต้องซื้อช็อกโกแลตจำนวนมากให้เพื่อนผู้ชายหลายคนทำให้ต้องใช้เงินเยอะ และผู้ชายเองก็ต้องใช้เงินเยอะเพื่อซื้อช็อกโกแลตคืนให้กับฝ่ายหญิงเหมือนกัน ผู้หญิงบางคนเลยซื้อช็อกโกแลตให้กับตัวเองหรือเพื่อนที่สนิทจริง ๆ เท่านั้นในวันวาเลนไทน์

เครดิตภาพ - Serena Lissy | Dessert & Chocolate Recipes | Food Photography / Retty Thailand / thesacredscience / KRUA.CO / IStock
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่