[CR] บันไดสู่ฝัน การเป็นช่างแต่งหน้าทำผมมืออาชีพ

สวัสดีค่ะเราชื่อใบฟาร์มนะคะ หรือที่บางคนอาจจะรู้จักในชื่อ BAIFARM MAKEUP (ใบฟาร์ม เมคอัพ) ใช่ค่ะ เราเป็นช่างแต่งหน้าทำผมนอกสถานที่ อาชีพที่เรานั้นแสนจะรักและภูมิใจ เรามีความสุขทุกครั้งที่ได้เสกปั้นความสวยให้ลูกค้า สร้างรอยยิ้ม และความสุขให้พวกเขาและผู้พบเห็น เส้นทางการเป็นช่างแต่งหน้าของเรามันเริ่มขึ้นได้ยังไงน่ะเหรอ...จะเล่าให้ฟังค่ะ


        เมื่อก่อนเราเป็นพนักงานบริษัทค่ะ แม่เราเป็นช่างเสริมสวย เราเลยพอจะซึมซับเรื่องความสวยความงามจากแม่มาบ้าง เรามีอาชีพบริการ ในทุกๆ วันเราก็จะแต่งหน้าอยู่เสมอ เพื่อนๆ ที่ทำงานก็ชอบทักว่าแต่งหน้าสวย แรกๆ ก็ไม่คิดอะไร พอมีงานบริษัทเพื่อนๆ กับหัวหน้าก็ให้ช่วยแต่งหน้าทำผมให้ เราก็ทำ เค้าก็บอกว่าเราทำได้ดี น่าจะไปเป็นช่างแต่งหน้า นั่นก็เลยจุดประกายสู่การเป็นช่างแต่งหน้าทำผมมืออาชีพของเราค่ะ



            ถ้าใครอยู่ในวงการ จะรู้เลยว่าการเรียนแต่งหน้า ไม่ใช่ราคาถูกๆ เลยค่ะ ดังนั้น เราจะต้องมองหาคุณครูที่ดูเก่ง เป็นมืออาชีพ พร้อมจะมอบความรู้ให้เราอย่างคุ้มค่ามากที่สุด เราหาข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเยอะมากจริงๆ ค่ะ มองหาครูที่มีแนวการแต่งหน้าในแบบที่เราชอบ จากนั้นก็ inbox ไปสอบถามราคา จนสุดท้ายคนที่เราเลือกเรียนด้วยก็คือครูไก่ หรือMinimaru Make Up By Kai Kosolsatit  สาเหตุที่เลือกเรียนกับครูคนนี้นั่นก็เพราะเราชอบแนวการแต่งหน้าที่ดูสวย หวานอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งครูไก่ตอบโจทย์ได้ตรงใจมาก นอกจากนี้ ในเว็บพันทิป ยังมีเจ้าสาวหลายท่านใช้บริการของครูแล้วมีการมารีวิวให้ด้วยว่าครูไก่น่ารัก ให้คำปรึกษาได้ดี แต่งหน้าก็สวย เราก็คิดแล้วแหละว่า ‘เลือกคนนี้แหละ!’


ความประทับใจแรก
            จำได้ว่าตอนแรกเรา inbox  ไปหาครู เพื่อสอบถามราคาเรียนแต่งหน้าสำหรับประกอบอาชีพ ครูเลยขอดูผลงานของเก่าๆ ของเราคร่าวๆ ก่อนค่ะ จากนั้นครูก็แจ้งเรื่องค่าเรียนมาให้ ในช่วงนั้นเราทำงานประจำอยู่ค่ะ เวลาว่างยังไม่ตรงกับครู เราเลยผลัดไปก่อน แต่ก็ยังไม่ล้มเลิกความตั้งใจค่ะ หลายเดือนผ่านไป(เกือบปีแน่ะ) เรา inbox กลับไปหาครูไก่อีกรอบค่ะ ตั้งใจแล้วว่าจะต้องเรียนให้ได้ จริงๆ ตอนนั้นครูปรับราคาค่าสอนขึ้นแล้วค่ะ แต่ครูอาจจะเห็นความตั้งใจจริงที่เราจะเรียนกับครู ครูเลยให้เราเรียนในราคาเดิม นาทีนั้นคือแบบโอ๊ยดีใจมากๆ

เป็นศิษย์มีครูแล้วนะ
การเรียนของครูแบ่งออกเป็น 2 วันค่ะ

วันที่ 1
          ครูจะสอนเรื่องการวิเคราะห์ผิว การบำรุงผิวก่อนแต่งหน้า สภาพผิวของแต่ละบุคคลกับการเลือกใช้รองพื้น เชื่อมั้ยคะ เมื่อก่อนเราคิดว่าเราแต่งหน้าเป็น แต่พอมาเรียนเข้าจริงๆ มันทำให้เรารู้สึกว่า ที่ผ่านมาคือเราไม่รู้อะไรเลย ก่อนหน้านี้เราศึกษาด้วยตัวเอง ดูจากแม่ ดูจากยูทูป อ่านบทความเกี่ยวกับการแต่งหน้า แต่พอได้มาเรียนจริงจัง มันทำให้เรารู้สึกว่ามีอะไรอีกหลายอย่างมากๆ ที่เรายังไม่รู้เกี่ยวกับเครื่องสำอางและการแต่งหน้า พอเรียนเสร็จส่วนนี้ ครูให้เราเลือกรองพื้นให้กับน้องนางแบบที่มาเป็นแบบแต่งหน้าให้เรา เรานี่เกร็งเลยค่ะ  กลัวผิด 55 แต่ทุกอย่างก็ผ่านไปด้วยดีค่ะ ถ้าผิดครูก็จะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดมากๆ เรียกว่าไม่ปล่อยผ่านเลยค่ะ นอกจะวิเคราะห์ผิวแล้ว เราก็ยังจะต้องดูสถานที่ที่ลูกค้าของเราไปอยู่ด้วยเช่น ถ้าเจ้าสาวผิวแห้งแต่แต่งงานในสวนก็ต้องเลือกรองพื้นที่ต่างจากการแต่งงานในโรงแรม เป็นต้น เห็นมั้ยล่ะค่ะ ว่าต้องอาศัยความใส่ใจล้วนๆ
           ต่อมาคือแปรงชนิดต่างๆ เรื่องการใช้แปรงแต่งหน้าใครคิดว่าไม่สำคัญคะ เราเคยซื้อแปรงแต่งหน้าเป็นเซ็ตจากในอินเตอร์เน็ต เซ็ตนึงมีสิบกว่าอัน ซื้อมาก็ใช้ไม่กี่อันเพราะใช้ไม่เป็น ฮาาา พอมาเจอครู ครูอธิบายให้ฟังใหม่ทั้งหมดเลยค่ะ ฟังครูพูดไปใจก็คิด “อ๋อออ แปรงแบบนี้ที่เรามีทำแบบนี้ได้ด้วยหรอ” คือเหวอมากจริงๆ บางอันมีประโยชน์มากแต่ใช้ไม่เป็นเลยตั้งไว้เฉยๆ ซะอย่างงั้น ปั้ดโธ่!
           ในการมาเรียนนั้น ครูไก่ก็มีอุปกรณ์ของครูให้ได้ทดลองใช้อย่างครบครันเลยนะคะ แต่ครูก็จะให้เราเอาเครื่องสำอางที่เราใช้ประจำไปด้วยค่ะ สาเหตุก็คือครูอยากรู้ว่าปกติเราใช้เครื่องสำอางตัวไหนบ้าง เพื่อที่จะให้คำแนะนำเพิ่มเติมต่อไป เราจำได้ติดหูมาทุกวันนี้เลยค่ะ คือมีเบสตัวนึงที่เราซื้อมาเป็นของญี่ปุ่น อย่างที่บอกว่าเราไม่เคยเรียนแต่งหน้ามาก่อนเลย เราก็เข้าใจมาตลอดว่า ก่อนลงรองพื้นเราต้องลงเบสนะ เบสอะไรก็เหมือนๆ กันแหละ(ทีหลังอย่าคิดไปเอง) เราก็เลยลงตัวนั้นที่ผิวลูกค้าก่อนลงรองพื้นเพราะเชื่อว่ามันทำให้เมคอัพติดทนนานยิ่งขึ้นค่ะ พอครูเปิดมาเจอตัวนี้ก็ลองที่แขนแล้วก็ถามเราว่าเบสตัวนี้มีประโยชน์อะไร ทำไมถึงเลือกใช้ตัวนี้ เราก็บอกไปด้วยเหตุผลข้างต้น แต่สิ่งที่ครูบอกกลับมาคือ “บางอย่างเราไม่ต้องลงไปบนหน้าลูกค้าก็ได้ อย่างเช่นเบสตัวนี้ถ้าหนูทาลงไป นอกจากจะไม่ช่วยอะไรเท่าไหร่แล้ว ยังจะเป็นการไปเพิ่มเลเยอร์ให้ผิวลูกค้าดูหนาขึ้นไปอีกต่างหาก” เราก็แบบ...อ้าวหรอ? เราคิดมาตลอดว่ายิ่งใส่อะไรเข้าไปเยอะๆ ยิ่งดี ยิ่งปิด ยิ่งสวย อืม...บางอย่างไม่จำเป็นคือไม่ต้องใส่ก็ได้นะใบฟาร์ม!


นี่คือโต๊ะเครื่องแป้งในห้องสอนแต่งหน้าของครูค่ะ ทั้งแปรงและเครื่องสำอางเยอะมาก จะบอกว่าจริงๆ แล้วมีมุมที่เก็บสต็อคของของครูอยู่อีกด้านด้วยค่ะ (ซึ่งบางครั้งนักเรียนก็แอบมาขอซื้อต่อจากครู บางชิ้นใจดีครูก็แถมๆ ให้ อิอิ)  ห้องของครูคือเป็นห้องสีขาว มีไฟแต่งหน้าติดหน้ากระจก เห็นรายละเอียดเมคอัพได้ชัด สถานที่สะอาดตา แอร์เย็นสบายมากค่ะ

         พอช่วงบ่ายเราก็เราก็เริ่มแต่งหน้าน้องนางแบบ ครูให้เราลองแต่งเองในแบบของเราไปก่อน เมื่อเสร็จครูก็เข้ามาช่วยวิจารณ์ให้ฟัง เชื่อมั้ยคะ ว่าสิ่งที่เราคิดและเข้าใจมาตลอดในการมาเรียนแต่งหน้าคือการที่เราจะต้องแต่งให้เป็น แต่งให้ได้แบบครูและเหมือนครู แต่สิ่งที่ครูพูดกับเราสิ่งแรกเลยคือ “หนูเขียนคิ้วได้สวยเป็นเอกลักษณ์แล้วนะ เพราะฉะนั้นครูจะไม่สอนหนูเพิ่มในส่วนนี้ ไม่งั้นหนูจะเขว” ตอนแรกก็ไม่ค่อยเข้าใจค่ะ แต่พอทำงานนี้มาเรื่อยๆ ก็ได้รู้ว่า การเป็นช่างแต่งหน้าเราควรมีแนวเป็นของตัวเอง เพราะการที่มีคนติดตามผลงานของเรานั่นก็เพราะเราแต่งหน้าแบบนี้ แนวนี้ หากเราแต่งหน้าเหมือนช่างคนอื่น เหมือนคนทั่วไป ลูกค้าจะเลือกใครมาแต่งหน้าให้พวกเขาก็ได้ ไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเรา นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมลูกค้าบางคนจึงยอมจ่าย3,000+ หรือ 10,000+ เพื่อการจ้างให้ช่างแต่งหน้าคนนั้นๆ มาแต่งให้ในวันสำคัญ นั่นเพราะไม่มีใครทำได้เหมือนเขานั่นเอง
        การสอนของครูไก่จะเป็นการคงไว้ซึ่งจุดเด่นและแก้ไขข้อบกพร่องของลูกศิษย์ค่ะ ในส่วนของดวงตาที่ฟาร์มแต่งหน้าให้น้องนางแบบในวันนั้น จำได้ว่าครูถอยหลังมองไกลๆ กับเดินเข้ามาดูในระยะใกล้ คือใกล้แบบจับเปลือกตาดูเลยค่ะ สิ่งที่ครูบอกคือ “ใบฟาร์มเป็นคนมีพรสวรรค์นะ แต่งตามองรวมๆ แล้วดูดี แต่ถ้าดูใกล้ๆ คือเละมาก” ฮาาา อันนี้คือเราขำหนักมาก ใช่ค่ะ เรามีปัญหาเรื่องการแต่งตามาตลอด คือเราจะรู้สึกกับตัวเองว่าเวลาเราแต่งหน้าโทนส้ม โทนชมพู หรืออะไรก็ตาม สุดท้ายจะผลักมาที่น้ำตาลตลอด พอปรึกษากับครูเลยพบว่าเราแบ่งโซนผิด ทำให้เวลาคัดเบ้าด้วยสีน้ำตาล สีมันล้นออกมา จึงทำให้ตาดูเป็นสีน้ำตาล ดูสโมคกี้ไปหมด นอกจากนี้การที่เราใช้แปรงไม่เป็นก็ทำให้เกลี่ยสีไม่ดี มันเลยออกมาแบบมองไกลๆ โอเค แต่มองใกล้ๆ แล้วเละอย่างที่ครูว่านั่นแหละค่ะ พอครูรู้จุดบกพร่องของเราครูก็ทำการสอนทฤษฎีใหม่ให้ทันที พร้อมทั้งบอกเทคนิคแต่งตาตามรูปตาต่างๆ อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นคนตาตก คนหนังตาเหี่ยว คนตาชั้นเดียว คนตาตูบ คนตาสองชั้นหลบใน คนหางตาชี้ (โอ้ย เห็นมั้ยคะ ใครว่าการเป็นช่างแต่งหน้าจะง่ายคะ)
         คำวิจารณ์ของครูยังไม่จบนะคะ ครูบอกว่าแต่งหน้านางแบบดูรวมๆ แล้วเหมือนจะรอด พอเราเลือกสีลิปสติกปุ๊บ...เท่านั้นแหละ พังเลย! เลย 55 นี่สินะที่เค้าเรียกว่า ‘ตายตอนจบ’ คือช่วงนั้นแฟชั่นสีปากนู้ดแจ่มๆ กำลังมาแรงไงคะ เราเลยทาบ่อยมาก หารู้ไม่ว่า บางทีสิ่งที่เราชอบก็ไม่ได้เข้ากับโทนการแต่งหน้าของลูกค้าในวันนั้นเล้ย ซึ่งทุกวันนี้พอย้อนกลับไปดูรูปที่ตัวเองเคยแต่งหน้าให้คนอื่นๆ ก็รู้สึกว่า อืม... เป็นอย่างที่ครูพูดนั่นแหละ ครูสอนเพิ่มในเรื่องการเลือกสีลิปสติกให้เข้าลูกค้า ให้งานดูเป็นงานผิว งานแพง งานที่จะไม่ทำให้ลูกค้าดูสูงอายุ รายละเอียดยิบย่อยเยอะมากค่ะ


นี่คือสีปากนีออนที่ว่าค่ะ 55

      ตามมาติดๆ ด้วยเรื่องขนตาปลอมค่ะ เมื่อก่อนเราคิดว่าขนตาเยอะๆ ฟูๆ ดูน่ารัก (เอาความมั่นใจมาจากไหน ฮือออ) อย่างวันนั้นเราเลือกขนตา 3D ให้น้องนางแบบ เพราะคิดว่าขนตาฟูสวย ดูมีมิติดี แต่ครูก็อธิบายให้ฟังว่า ขนตาบางอันติดกับคนโน้นสวย แต่ติดกับคนนี้ไม่ใช่ว่าจะสวย เราต้องเลือกให้เหมาะกับรูปตาของแต่ละคน อย่างน้องนางแบบคนนี้การติดขนตาในแบบที่ฟาร์มเลือกมันดูหนักเกินไป ขนตา 3D รุ่นนี้สวยก็จริง แต่พออยู่กับน้องแล้วตาน้องดูเศร้าและดูง่วงไม่สวยสดใส จากนั้นครูก็เอาขนตาของครูอีกตัวมาให้ลองซึ่งแบบ เอ้ย! ทำให้ตาน้องนางแบบดูกลมโตสวยขึ้นมาทันทีค่ะ ดังนั้นกว่าจะแต่งหน้าเสร็จและออกมาสวยนี่ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยมากเลยค่ะ
      ความประทับใจอีกอย่างคือ ถ้านักเรียนที่มาเรียนกับครูเป็นคนที่เรียนรู้อะไรได้ช้าอย่างฟาร์ม ครูจะไม่ปล่อยผ่าน ครูจะอธิบายจนกว่าจะเข้าใจ ต่อให้เย็นมากๆ เกินเวลาแค่ไหน ถ้าเราไม่เข้าใจ ครูไก่ก็สอนต่อค่ะ

วันที่ 2
      วันที่สองจะเป็นเหมือนการทบทวนความรู้ที่เรียนมาในวันแรกค่ะ วันนี้ครูให้นำนางแบบมาเองค่ะ เป็นใครก็ได้ เราเลยขอให้พี่ที่บริษัทมาเป็นแบบให้ในวันนี้ค่ะ วั้นนั้นเราแต่งหน้าทำผมพี่เค้าด้วยตัวเองทั้งหมด มีครูไก่คอยสังเกตการณ์อยู่ตลอดว่าเราเลือกใช้โปรดักตัวไหน เหมาะสมกับสภาพผิวนางแบบหรือไม่ ในส่วนนี้ครูค่อนข้างจะเน้นหนักมากค่ะ ส่วนในเรื่องการลงสี เขียนคิ้ว ตา ปาก ครูจะปล่อยให้เราคิดเอง ดูว่าหลังจากที่เราเรียนกับครูไปแล้วผลงานของเราออกมาเป็นอย่างไรบ้างค่ะ เช่นเคยค่ะ ที่ระหว่างการแต่งหน้า (ที่ไม่ใช่การทำผิว) ครูจะไม่ยุ่งกับงานเราเลย ครูจะรอจนเราทำเสร็จแล้วค่อยชี้แนะภายหลังว่าเรายังบกพร่องจุดไหนบ้าง
       เมื่อทุกขั้นตอนของการเรียนจนกระทั่งการทดลองปฏิบัติจริงเสร็จเรียบร้อย คิดว่ามันจะจบใช่มั้ยคะ แต่กับครูไก่...ไม่ค่ะ! ครูสอนถ่ายรูปนางแบบค่ะ! อึ้งในอึ้ง งงในงงไปเลยใช่มั้ยล่ะคะ ก่อนหน้านี้เราถ่ายรูปลูกค้าได้แย่มาก คือเพื่อนเราเคยบอกว่าถ่ายเหมือนถ่ายบัตรประชาชน 55 ครูไก่สอนการจัดวางท่าทางของนางแบบ องศาที่จะทำให้หน้าและเมคอัพดูสวย การบิ้วท์ให้เค้าดูมีความสุขเวลาอยู่ในภาพ ซึ่งมันทำให้งานเราดูมีชีวิตชีวามากขึ้น พระเจ้า! ใครจะไปคิดว่านอกจากเป็นช่างแต่งหน้าแล้วก็จะต้องเป็นตากล้องด้วย
       ยังไม่จบอีกเช่นกันค่ะ ครูยังสอนเรื่องการตลาดออนไลน์คร่าวๆ และสื่อต่างๆ ที่เราใช้โปรโมทผลงานอีกด้วยค่ะ ครูไล่ดูเพจและ IG ของเรา และช่วยวิจารณ์ผลงานเก่าๆ ของเราใหม่ทั้งหมด อันไหน ผ่านไม่ผ่าน อันไหนควรโชว์อันไหนควรเอาออก วันนั้นกว่าจะเรียนจบและล่ำลาครูก็เกือบค่ำเลยทีเดียวค่ะ

ด้านล่างคือผลงานบางส่วนหลังจากที่เราไปเรียนแต่งหน้ากับครูไก่มาแล้วนะคะ


เดี๋ยวมาต่อนะคะ
ชื่อสินค้า:   เรียนแต่งหน้ากับครูไก่ Minimaru Make Up By Kai Kosolsatit
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่