ดินแดนของแดน

แดน-วรเวช ดานุวงศ์ อยู่ในวงการบันเทิงและมีผลงานออกมาเรื่อยๆ กว่า 17 ปีแล้ว

จากวันแรกในฐานะสมาชิกวงบอยแบนด์ D2B ที่สร้างปรากฏการณ์ความโด่งดังทั่วประเทศ สิบกว่าปีที่ผ่านมา เราเห็นแดนเติบโตจากจุดแรกที่เขาเริ่มต้นไปไกลมาก จากเด็กหนุ่มวัยรุ่นนักร้อง ปัจจุบันแดนกลายเป็นทั้งศิลปิน นักแสดง ผู้กำกับ และโปรดิวเซอร์ ที่มีผลงานมากมาย แฟนคลับยังคงติดตามงานของเขาได้เสมอไม่หายไปไหน

กุมภาพันธ์นี้ก็เช่นกัน แดนกำลังมีผลงานใหม่ในฐานะโปรดิวเซอร์ละครทีวีซีรีส์ I.Sea.U ฉันรักทะเล…ที่มีเธอ ที่ดัดแปลงมาจากนิยายภาพลายเส้นอันโด่งดังของมุนิน การผสมผสานของศิลปะทั้งสองด้านเกิดเป็นทีวีซีรีส์เรื่องแรกที่ดัดแปลงมาจากนิยายภาพของไทย ซึ่งทุกคนจะได้รับชมตอนแรกกันในวันที่ 20 กุมภาพันธ์

เราคิดว่านี่เป็นโอกาสดีที่จะได้สำรวจตัวตนของแดนอีกครั้ง ประสบการณ์ทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลังของเขาคือสิ่งที่เราอยากรู้ว่าเพราะอะไรที่ทำให้เด็กหนุ่มวัย 16 ทำงานในวงการนี้มาได้จนถึงวัย 33 ปีแล้ว ประสบการณ์เหล่านี้ทำให้โลกปัจจุบันของเขาเป็นอย่างไรบ้าง

คำตอบของแดนจะพาเราเข้าไปสัมผัสดินแดนนั้น

คุณเป็นโปรดิวเซอร์มาหลากหลายทั้งงานเพลง ภาพยนตร์ และละคร งานในปัจจุบันยังท้าทายคุณอยู่มั้ย
มันท้าทายในแง่ของตัวเราเองครับ เราคิดมาตลอดนะว่าเราไม่เก่ง ความท้าทายมันอยู่ตรงที่ว่าเราจะทำยังไงให้เต็มที่และงานออกมาดีที่สุด ณ เวลานั้น บ่อยครั้งที่เราเอางานที่เสร็จแล้วในวันก่อนหน้ามาดูอีก ไม่ใช่เพื่อชื่นชม แต่ดูเพื่อหาข้อติ ทีมงานของเราทุกคนทำงานกันแบบนี้เสมอ เรารู้สึกว่าถ้ามันดี ก็ปล่อยให้คนอื่นชม แต่ถ้าติ เราต้องติด้วยตัวเอง ติเองแล้วมันจะเก่งเองครับ

การคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ฟังแล้วย้อนแย้งกับประสบการณ์การทำงานของคุณ ความคิดแบบนี้เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไหร่
ตั้งแต่เด็กเลยครับ ทุกอย่างที่เราเริ่มทำ เราคิดกับมันแบบนี้เสมอ ตอนเราเป็นนักร้อง เราก็คิดว่าเรายังร้องเพลงไม่ดี เรายังเล่นกีตาร์ไม่เก่ง เราคิดว่าเรายังทำเพลงไม่ได้ ไม่เก่งพอ ซึ่งพอคิดแบบนี้ไม่ได้ทำให้เราท้อนะ แต่ผลักดันเราให้ไปเรียนเพิ่มและใช้ชั่วโมงมากกว่าคนอื่นในการฝึกซ้อม สุดท้ายมันพิสูจน์มาตลอดระยะเวลาสิบกว่าปีว่าสำเร็จน่ะครับ ความเชื่อแบบนี้เลยติดตัวเรามาเรื่อยๆ

เริ่มต้นจากการเป็นนักร้อง ต่อมาเป็นนักแสดง และพัฒนาบทบาทมาเป็นโปรดิวเซอร์ คุณเติบโตในหลายๆ ด้านมาก สิ่งเหล่านี้เกิดจากความคิดนี้ด้วยหรือเปล่า
เราว่าเราเป็นคนโชคดี ได้เจอสิ่งที่เราชอบขึ้นเรื่อยๆ โดยที่มันยังแวดล้อมอยู่รอบตัวเรา สิ่งสำคัญคือเราเป็นคนไม่แอนตี้กับโอกาส ในทุกโอกาสที่เราเคยทำมามีทั้งโอกาสที่เราชอบและไม่ชอบนะ อย่างตอนเราเป็นนักร้องศิลปิน ตอนนั้นมีหลายโอกาสที่เข้ามาแล้วเราไม่ชอบเลย ไม่อยากทำ แต่เราเป็นคนที่คิดว่า ‘เอาวะ’ เสมอ เราคิดว่าถึงจะไม่ชอบ แต่ถ้าไม่ลองทำจริงๆ เราคงไม่รู้หรอก เราไม่เก่งก็เรียนรู้กับมันไปทั้งที่ไม่ชอบนั่นแหละ ซึ่งสุดท้ายเราก็เจอว่าบางอย่างที่เราเคยไม่ชอบ จริงๆ เราชอบมันนะ

บางอย่างที่ว่าคือการแสดง
ตอนแรกเราโฟกัสไปแค่อย่างเดียวว่าเราจะร้องเพลง ไม่ทำอย่างอื่น พอวันนึงที่ได้โอกาสไปแสดง เราก็เจอรุ่นใหญ่เลย เราแบบโห…อะไรเนี่ย มันไม่ใช่เรา แต่สุดท้ายก็ ‘เอาวะ’ เริ่มเรียนรู้ ศึกษา ตอนนั้นเราแทบไม่ได้หลับในกองเลย นั่งมองว่าเขาเล่นยังไง เดินยังไง ผู้กำกับกำกับยังไง ตั้งใจมาก พอกลับบ้านมาก็ดูทุกอย่าง หนัง ละคร สักพักก็รู้สึกว่าเฮ้ย เราเริ่มเพลิน เริ่มสนุก เริ่มสังเกตไปถึงผู้กำกับว่าเขาสามารถกำหนดให้คนเดินแบบนี้ พูดด้วยความรู้สึกแบบนี้ได้ ซึ่งที่ผ่านมาเราเคยแต่ดูหนัง เราจะมีคอมเมนต์เสมอว่าถ้าเป็นหนังของฉันเองจะให้เป็นแบบนี้ๆ ซึ่งตอนนั้นเราอยู่ใกล้มากแล้วกับการทำแบบนั้นได้ เรามีโอกาสที่จะทำมันได้เลยเริ่มศึกษามา เช่นเดียวกับงานทำเพลง เราคิดว่าเรายังร้องได้ไม่ดีและคิดว่าเรายังทำอะไรไม่ได้บ้าง เราไปนั่งดูโปรดิวเซอร์เขาประชุมงานกัน ดูเขาคิด ดูเขาวางแผน อะไรพวกนี้มันก็ตกมาถึงเรา สิ่งที่เราทำได้คือการเรียนรู้อย่างมหาศาลจากสิ่งเหล่านี้

หลายคนน่าจะนึกไม่ออกว่าคำว่า ‘เรียนรู้มหาศาล’ ของคุณเป็นยังไง
ถ้าเป็นส่วนของเพลง ช่วงเริ่มต้นเราก็อาศัยครูพักลักจำ เล่นกีตาร์ไปเรื่อยๆ พอถึงวันนึงที่เราแต่งเพลง เราไม่รู้พื้นฐานของดนตรีเราก็ไปต่อไม่ได้ ส่วนเรื่องหนัง หนัง 2 เรื่องแรกของเราเขียนบทและกำกับด้วยประสบการณ์ล้วนๆ ไม่ได้เรียน ซึ่งสุดท้ายมันก็ออกมาได้นะ แต่เราไม่สามารถตอบได้เลยว่ามันดีหรือเปล่า เพราะเราไม่ได้มีโครงสร้างความรู้ในการประเมินมันเลย ดังนั้นเราเลยพัฒนาตัวเองโดยการลงเรียนออนไลน์ มหาวิทยาลัยไหนมีสอนเกี่ยวกับเรื่องนี้เราก็ไปเอาหนังสือเขามาอ่าน ช่วงก่อนหน้านี้ที่เราหายไปพักนึงเพราะเหตุนี้เลย เราบอกตัวเองว่าเรายังไม่พร้อม อย่าทำอีกเลยถ้ายังไม่รู้จริงว่าสิ่งที่เราทำคืออะไร เราเลยไปศึกษา อัดความรู้เข้าตัวเองแบบหนักมาก ทุกวันนี้ก็ยังคงเรียนรู้ตลอดเวลา

ถ้าอย่างนั้นซีรีส์ I.Sea.U ฉันรักทะเล…ที่มีเธอ ที่กำลังจะออนแอร์เกิดขึ้นได้ยังไง
มันเกิดจากวันหนึ่งเราเดินเข้าไปในร้านหนังสือแล้วสะดุดกับวิธีการเขียนแบบนี้มาก วิธีการเล่าเรื่องด้วยภาพที่ไดอะล็อกน้อยๆ มันมีเสน่ห์จังเลย เราคิดว่ามันท้าทายดีถ้าเราดึงความคิดตัวละครออกมาเป็นคำพูด ออกมาเป็นเหตุการณ์ต่างๆ ได้ ซึ่งต่างกับการเอานิยายเล่มหนามาทำ เพราะแบบนั้นวัตถุดิบที่ให้เราหยิบจะมีเยอะมาก แต่กับนิยายภาพจะต่างไป วัตถุดิบจะน้อยจนไม่มีใครกล้าจับเท่าไหร่ แต่เรารู้สึกตั้งแต่แวบแรกเลยนะว่าอยากทำ วันนั้นเราเลยซื้อนิยายชุดนี้ทั้งหมดกลับมาให้ทีมงานอ่านและบอกกับทีมงานเลยว่าเราจะทำเรื่องนี้

การเป็นโปรดิวเซอร์ละครซีรีส์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายภาพแตกต่างกับบทบาทก่อนหน้านี้อย่างไรบ้าง
แน่นอนว่าเรื่องภาพเราต้องถูกคาดหวังสูงอยู่แล้ว ทุกคนที่เคยอ่านจะเคยเห็นแล้วว่าหน้าตาตัวละครประมาณไหน ผมทรงอะไร ใส่เสื้ออะไร โลเคชั่นอยู่ไหน งานยากเลยเป็นการทำทุกอย่างให้เป๊ะเท่าที่จะทำได้ เพราะเราต้องเคารพต้นฉบับให้ได้มากที่สุด ซึ่งตรงนี้เราคุยกับมุนินตลอด รวมถึงเรื่องบทที่เราจะต้องเติมแต่งลงไปบ้างให้เข้มข้นและดึงคนได้ ซึ่งสิ่งที่เราเติมลงไป เราก็เติมมาจากแบบที่เราเห็นว่าฉากนี้มีกลิ่นประมาณไหน ปรึกษากับมุนินตลอดจนแฮปปี้นะครับ

อีกอย่างที่ทำให้เราดีใจมากๆ เพราะตอนแรกนิยายเรื่องนี้ยังไม่มีเล่มจบ เราก็ไปคุยและแชร์ไอเดียมุนินรวมถึงมุนินก็มาดูที่เราเริ่มถ่ายทำกันไปประมาณหนึ่ง พอมุนินเห็นโลเคชั่นเรา เขาก็เอาไปเขียนจริงในเล่มจบด้วย เราเลยรู้สึกว่าเหมือนการแลกเปลี่ยนร่วมกัน เป็นการทำงานร่วมกันโดยสมบูรณ์

เทียบกับยุคก่อน การทำงานในวงการบันเทิงวันนี้สำหรับคุณมันแตกต่างกันมั้ย
ต่างนะ ต่างตั้งแต่วันที่เรารู้สึกว่าชิ้นงานของเรามันมีค่า เรามีความรู้สึกว่างานของเราตรงนี้เปลี่ยนโลกได้ มันเปลี่ยนอารมณ์ เปลี่ยนชีวิตคนได้ถ้าชิ้นงานของเราไปทัชใจของใครคนหนึ่งมากพอ ยกตัวอย่างง่ายๆ อย่างเพลงที่มักจะถูกใช้เวลาให้กำลังใจคน หรือหนังที่ทำหน้าที่แบบเดียวกัน เรารู้สึกว่าเฮ้ย นี่เรากำลังทำสิ่งนี้อยู่นะ มันคงมีความสุขมากเลยถ้าสิ่งที่เราทำสามารถเป็นเพื่อนใครสักคนแล้วทำให้เขามีความสุขได้

วันที่เรารู้สึกว่าสิ่งที่เราทำมันเปลี่ยนโลกได้คือวันไหน
วันที่ออกเพลง นายเจ็บ ฉันเจ็บ ครับ (นิ่งคิดนาน) เพลงนี้อาจจะช่วยเหลือพี่บิ๊กไม่ได้ แต่อย่างน้อยมันทำหน้าที่รวบรวมขวัญกำลังใจ วันนั้นเรารู้สึกว่าเพลงนี้ทรงพลังมาก เราตั้งใจตั้งแต่วันนั้นว่าเราจะเดินทางนี้แหละ เราจะเขียนเพลง เราจะอยู่ตรงนี้ไม่ไปไหน เราเคยมองหาอย่างอื่นทำเหมือนกัน แต่สุดท้ายสิ่งเหล่านั้นก็ไม่ใช่เรา

เราเกิดและโตมา เขาให้เรามาอยู่ตรงนี้แล้วเราจะหนีไปไหน ก็ทำมันให้ดีที่สุดเพราะเราไม่อยากเป็นเป็ด วันนี้เราทำเป็นหลายอย่าง แต่เราก็อยากทำให้ได้ดีทุกอย่าง เราไม่อยากบินเตี้ยในเมื่อเราสามารถบินได้สูงอย่างนก เราไม่อยากว่ายน้ำได้นิดหน่อยในเมื่อเราสามารถว่ายได้คล่องแบบปลา

วันนี้เราอาจยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก แต่เราก็อยากเป็นแบบนั้นท่ามกลางคนที่รักและติดตามผลงานเรา มันเพียงพอแล้ว

ภาพ ธนวัฒน์ อัศวชุติพงศ์

AUTHOR