วันที่สอง เราออกเดินทางกันแต่เช้า เพื่อไป อักรา ค่ะ จากเดลี ใช้เวลาประมาณ 4 ชั่วโมงกว่าจะมาถึงอักรา ที่นี่เราพักกันที่ The Coral Court Home Stay ซึ่งเป็นบ้านน่ารักมาก สีสันสดใส และอยู่ใกล้ทัชมาฮาลแค่ไม่กี่ร้อยเมตร สามารถเดินไปได้เลย ถ้าใครนอนด้านนอก รถจะมาส่งได้แค่จุดที่กำหนด แล้วต้องเดิน หรือนั่งรถรับส่งของทางการต่อเข้ามา ทั้งนี้เพื่อลดมลภาวะที่ไปทำให้หินอ่อนหมองค่ะ มาถึงก็เจอสาวน้อยที่เป็นกึ่งๆญาติกึ่งๆพนักงานมาชวนเพ้นท์เฮนน่า (ที่นี่เค้าเรียก ฮีนน่า หรือว่า เมนดี้ - Mehndi) ... เรากับเพื่อนก็เลยจัดไปคนละมือ ข้างละ 100 rp เราว่าไม่แพงนะ แต่หลังจากนั้นมีพวกร้านค้าและเจ้าหน้าที่ขายตั๋วถามว่าเพ้นท์มาเท่าไหร่ ทุกคนบอกว่าราคานี้แพง >.< เซ็งเลย เค้าบอกว่าปกติถ้าเพ้นท์แค่นี้ ราคาประมาณ 50rp เท่านั้นแหละ (จดไว้นะคะ ว่าราคาประมาณนี้) ในรูปนี้เป็นตอนที่เพิ่งเพ้นท์เสร็จ พอทิ้งไว้สักพักสีจะค่อยเข้มขึ้นและตัวเฮนน่าจะแห้ง สามารถแกะออกมาได้เป็นสะเก็ด แล้วหลังจากนั้นสีจะเข้มขึ้นอีกหน่อย แล้วก็ค่อยๆจางลง ทั้งหมดอยู่ได้ประมาณ 7-10 วันค่ะ ตอนท้ายๆที่เหลือแค่บางส่วนจะมีความน่าเกลียดมาก เหมือนเป็นด่างๆ หย่อมๆ เราทานอาหารกลางวันกันในที่พักนั่นเอง โดยมื้อนี้เป็นมังสวิรัติเพราะเจ้าของเป็น vegetarian ดังนั้นเลยเป็นอาหารจำพวกแป้ง และแกงถั่วค่ะ แล้วก็ถึงเวลานัดกับไกด์ .... จริงๆตามแผน เราจะไปทัชมาฮาลตอนเช้าตรู่ของวันถัดไป เพื่อให้คนน้อย แต่เนื่องจากอากาศช่วงที่เราไปเต็มไปด้วยหมอกควัน โดยเฉพาะช่วงเช้าจะหมอกหนามาก เราจึงกลัวว่า ถ้าไปทัชมาฮาลตอนเช้า เราจะมองอะไรไม่เห็นเลย ก็เลยบอกไกด์ว่าขอเปลี่ยนเป็นไปตอนบ่ายวันนี้เลยแล้วกัน ผลคือ .... คนเยอะมหาศาลค่ะ แต่นั่นคือข้อดีของการมีไกด์ เพราะเค้าพาเราไปซื้อตั๋ว แบบไม่ต้องมะงุมมะหรา ถ้าใครดูงงๆ ก็จะถูกคนขายของแถวนั้นเข้ามาเสนอขายสินค้าและกวนใจอยู่ตลอดเวลา เข้าแถวตรวจกระเป๋าถูกต้อง (แถวนักท่องเที่ยวกับชาวอินเดียจะแยกกันค่ะ ซึ่งวันที่เราไปแถวของนักท่องเที่ยวสั้นกว่ามาก) ทั้งนี้มีของหลายอย่างมากที่ห้ามเอาเข้าทัชมาฮาล ถ้าเราพกไป จะต้องนำฝาก ซึ่งก็จะเสียเวลาอีก ดังนั้นพกไปแค่เงินกับกล้องถ่ายรูปและพาสปอร์ตก็พอค่ะ สำหรับชาวไทยอย่างเรา ใช้พาสปอร์ตลดราคาค่าเข้าทัชมาฮาลได้นะคะจะเหลือแค่ 540 rp ค่ะ แล้วถ้าไป baby taj ต่อ ก็สามารถแสดงตั๋วทัชมาฮาล ไม่ต้องเสียค่าเข้าเลย แต่ถ้าไปคนละวัน โชว์พาสปอร์ตไทย ก็เสียค่าเข้า baby taj แค่ 20 rp เท่านั้นค่ะ Taj Mahal ครั้งแรกในชีวิตของเรา .... เราว่ามันเฉยๆนะ >.< คือมันก็สวย แต่ก็สวยงั้นๆแหละ หรือเพราะว่าคนเยอะก็ไม่รู้ และไกด์ก็ดูรีบมาก เดินเร็ว และไม่ได้อธิบายอะไรมากมาย จากจุดที่เดินเข้าไป เดินไปตามทางจนถึงทางขึ้นทัชมาฮาล ให้เดินไปทางฝั่งซ้ายมือนะคะ จะเป็นทางเข้าของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งเราจะต้องใส่ถุงคลุมรองเท้าที่เค้าให้มาพร้อมกับตั๋ว แต่ถ้าไปทางขวาจะเป็นจุดฝากรองเท้าสำหรับชาวอินเดีย เราก็ไม่ต้องฝากกับเค้านะ นอกจากจะมีทางขึ้นพิเศษสำหรับนักท่องเที่ยวแล้ว ไกด์ยังพาเราลัดคิวไปอี๊กกก ทางเข้าไปด้านในทัชมาฮาลตอนนั้นคิวยาวมาก แบบขดรอบทัชเลยล่ะ เราก็ไม่รู้เหมือนกันว่าที่ไกด์พาไปแทรกข้างหน้า คือเป็นคิวของต่างชาติ หรือว่าเค้าพาลัดคิว แต่ก็เอาเถอะ ที่อินเดียนี่ไม่มีอะไรเป็นระเบียบอยู่แล้ว ด้านในเป็นสุสานจำลองของมุมตัช มาฮาล โดยฉากกั้นรอบๆจะฝังด้วยอัญมณี ไกด์เอาเงินทิปให้คนเฝ้า เพื่อให้เค้าเอาไฟฉายส่องให้เห็นความแวววาวของพลอย ทุกอย่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว เราเดินออกมาสำรวจรอบๆแล้วก็เดินออก เอาจริงๆแล้วก็เร็วเกินไป เรายังไม่ได้ทันชื่นชมรายละเอียดอะไรเลย แต่ดูเหมือนคุณไกด์จะรีบมาก ระหว่างที่อยู่ในทัช เค้าให้ดูหินอ่อนแล้วบอกว่าเดี๋ยวจะพาไปดูโรงงาน ตอนนั้นก็ไม่คิดไร ไปก็ไป ปรากฏว่า ร้านที่พาไปเป็นพวก tourist trap น่ะแหละ มีสาธิตการทำหินอ่อน แล้วก็ขายของๆๆ เราเสียเวลากันไปเป็นชั่วโมง แต่สุดท้ายก็ไม่เสียตังนะ ร้านหินอ่อนที่ไปนั่นค่อนข้างนอกเส้นทาง เราเลยเสียเวลาไปเยอะพอดู กว่าจะได้ไปต่อที่ baby Taj ซึ่งถึงแม้จะมีขนาดเล็ก แต่ว่ามีรายละเอียดมากมาย ลวดลายที่ผนังและที่พื้น เราอยากค่อยๆเดิน ค่อยๆสัมผัสลวดลายพวกนั้น แต่ไกด์ก็ยังพาเดินจากห้องนู้นไปห้องนี้ แล้วก็บอกไม่มีอะไรๆ จนเรากับเพื่อนหงุดหงิด ก็เลยถ่ายรูปนานๆ ยืนแช่มันอย่างงั้น (ถ้าจำไม่ผิด ตอนนั้นไม่รู้ว่าใช้ตั๋วทัชมาฮาลได้ เหมือนจะจ่ายตังค่าเข้าไปอีก แต่ว่าใช้พาสปอร์ตไทยด้วย เลยเหลือแค่ไม่กี่บาท งงเหมือนกันว่าทำไมไกด์ไม่บอก) จนเริ่มเย็น เราก็ไปกันที่สวนฝั่งตรงข้ามทัชมาฮาลเพื่อชม sunset จริงๆแล้วเราตั้งใจว่าจะล่องเรือ แต่อีท่าไหนไม่รู้ ไกด์ไม่พาไป แล้วพามาที่นี่แทน จริงๆแล้วจุดนี้เป็นชุดที่ชาห์ จาฮาน วางแผนไว้ว่าจะสร้าง black taj แต่ว่าทำไปได้แค่ฐานราก ก็โดนจับไปขังซะก่อน เราปิดท้ายวันกันที่ร้าน Pinch of Spice ซึ่งนับว่าอร่อยทีเดียว แต่เผ็ดกว่าร้านอื่นที่กินๆมา ขนาดเจ้าของที่พัก ยังแซวว่า เค้าว่าไม่ pinch เลย น่าจะเป็น handful of spice มากกว่า วันนี้มีความพิเศษอย่างนึงคือเป็นวันพระจันทร์เต็มดวงค่ะ ดังนั้นจึงมี Taj Mahal night view ซึ่งจะมีเดือนละ 5 วัน คือวันพระจันทร์เต็มดวงและ 2 วันก่อนและหลัง มีวันละ 8 รอบ ตั้งแต่ 20:30 ถึง 00:30 บัตรเข้า night view ต่างชาติคนละ 750 และ ไม่มีส่วนลดใดๆทั้งสิ้น และไม่สามารถจองผ่านเว็บได้ โดยต้องไปซื้อ 24 ชั่วโมงก่อนเวลาเข้าทัวร์ เราจึงขอให้กุหลาบช่วยให้คนไปซื้อให้ ซึ่งเค้าก็คิดค่าอำนวยความสะดวกคนละ 100 rp ก่อนซื้อ เราก็ตัดสินใจอยู่นาน เพราะตามรีวิวจะมีทั้งคนที่บอกว่ามันไม่ worth เพราะได้แค่ถ่ายด้านนอก แต่บางคนก็บอกว่ามันก็เป็น moment ที่น่าประทับใจ เราถามเพื่อนๆแล้วก็เป็นอันว่าตกลงกันหมด ตั๋วของเราเป็นรอบสามทุ่ม แต่ต้องไปขึ้นรถที่ Tourist facilitation center ก่อนเวลาครึ่งชั่วโมงเพื่อตรวจของต้องห้ามก่อน แลจะมีรถบัสพาเข้าไป ตอนกลางคืนนี่เงียบสงบมากค่ะ หนึ่งรอบจะมีประมาณห้าสิบคน ทุกคนก็ยืนชมกันอย่างเงียบๆ พยายามถ่ายรูปทัชมาฮาลใต้แสงจันทร์กันด้วยความทุลักทุเล (เพราะเค้าไม่ให้เอาขาตั้งกล้องเข้า) สุดท้ายเราก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะตั้งค่ากล้องให้ถ่ายกลางคืนไม่เป็น ฮ่าๆๆ เลยยืนซึมซับบรรยากาศเอาดีกว่า แป๊บเดียวก็หมดเวลาครึ่งชั่วโมงค่ะ สรุป เราว่ามันก็โอเคนะ เป็นประสบการณ์ที่ไม่ได้รู้สึกขาดทุนค่ะ วันที่สามของเรา จะเป็นการเดินทางจากอักราไป Jaipur หรือ จัยปูร์ หรือ ชัยปุระ นั่นเอง โดยเราแวะที่ Agra fort กันก่อน ... จริงๆแล้วไกด์เมื่อวานบอกว่าที่นี่ไม่มีอะไร (อีกละ) แต่เราไปถามเจ้าของที่พัก เค้าบอกว่าไปเถอะ ควรไป ... เราก็เลยมา แล้วมันก็ดีจริงๆ Agra fort มีการผสมผสานระหว่างหินทรายสีแดงและส่วนที่เป็นหินอ่อน ทำให้มีความสวยงามต่างจาก fort อื่นๆ ซึ่งลายฉลุต่างๆ ซุ้มประตูโค้งทั้งหลาย งดงามทั้งนั้นค่ะ ถ้าไม่มาคงเสียดายแย่ จริงๆแล้วที่ระเบียงหลายๆมุมของ Agra Fort จะสามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้ นัยว่ามีหอคอยที่ขังชาห์ จาฮาน ที่สามารถมองเห็นทัชมาฮาลได้อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตาม วันที่เราไปทั้งหมอกทั้งควันเป็นเครื่องกีดขวางอย่างหนาจนมองไม่เห็นอะไรเลย ถ้าชาห์ จาฮานอยู่ในยุคนี้คงเศร้าแย่ ระหว่างที่เราเดินใน fort นี้จะมีชาวอินเดียมาขอถ่ายรูปเป็นระยะๆ ส่วนใหญ่เราจะปฏิเสธ แต่เพื่อนเรา (สามีเพื่อน) นางใจดี ไม่กล้าปฏิเสธ เลยโดนรุมตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมี trick กระรอก ที่ควรต้องระวังด้วยค่ะ ในลานของ Agra Fort ตรงแถวๆปืนใหญ่ จะมีต้นไม้เยอะๆหน่อย แล้วเพื่อนเรา นางเป็นคนรักสัตว์มากกกก เห็นกระรอกน้อยวิ่งอยู่ก็เข้าไปจะเอามาเล่น ปรากฏว่ามีผู้ชายโผล่มาจากไหนไม่รู้ บอกว่าค่าถ่ายรูปกับกระรอก 50 รูปี (ประมาณนี้ จำไม่ได้ชัดเจนค่ะ) คือมันไม่ได้แพง แต่ว่าแบบนี้ก็มีด้วย สุดท้ายก็ทำหน้ามึนๆแล้วเดินหนีค่ะ ไม่ได้จ่ายตัง ฮ่าๆ จากอักรา ออกมาประมาณชั่วโมงนึง ก็จะถึงสถานที่ที่เรียกว่า Fatehpur Sikri Fatehpur Sikri นี้ เป็นเมืองที่สร้างโดยจักรพรรดิอักบาร์ ราชวงศ์โมกุล โดยเคยเป็นเมืองหลวงอยู่ช่วงหนึ่ง ส่วนที่เราจะเข้าไปชมก็คือส่วนพระราชวังเก่าค่ะ โดยพอจอดรถแล้วเราต้องขึ้นรถ shuttle ต่อขึ้นไป ใช้เวลาไม่นานค่ะ แต่ระหว่างทางไปบัสก็โดนร้านค้าโดยรอบตื๊ออยู่เป็นระยะๆ และเราตกลงจ้างไกด์ด้านหน้าหนึ่งคนเพื่อให้เล่าประวัติของที่นี่ แต่พลาดไปหน่อย เพราะว่าาเป็นไกด์ที่พูดฟังยากมากที่สุดในทริปก็ว่าได้ วัง Fatehpur Sikri นี้สร้างโดยใช้หินทรายสีแดงก็เลยได้อารมณ์ต่างจากทัชมาฮาลมาก บริเวณวังใหญ่พอสมควร สวยน่าสนใจค่ะ จากนั้นไกด์ก็พาเราไปส่วนของมัสยิดซึ่งบริเวณรอบๆจะมีคนเอาของมาขายเพื่อทำพิธีขอพรต่างๆนานา ไกด์ก็พาเราไปคุยกับเจ้านึง ซึ่งเค้าบอกว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อก็ได้ แต่เราก็ซื้ออันถูกๆมา แล้วก็ไปวางๆตามที่เค้าสอน แต่ว่าไม่ได้ขอพรอะไร จบจากการทัวร์ด้านบน แน่นอนค่ะว่าตอนกลับลงมาเราก็จะเจอคนขายของที่มาตื๊อไว้ตอนก่อนขึ้นไป ต้องใช้ความพยายามในการหลบหลีกพอสมควร การไม่สบตาเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดค่ะ จาก Fatehpur Sikri เราก็มุ่งหน้าไปกันต่ออีกสองสามชั่วโมง แล้วก็แวะอีกแล้ว ...
คราวนี้เราแวะกันที่ Chand Baori หรือว่าบ่อน้ำขั้นบันได อันเป็นสถานที่ถ่ายทำ ฺBatman จริงๆแล้วเวลาดูในแผนที่มันเหมือนระยะทางไม่ไกล แต่เอาเข้าจริง ทั้งสภาพถนนและสภาพการจราจร การแวะครั้งนี้ก็กินเวลาไปโขค่ะ และที่น่าเสียดายคือบ่อน้ำปิดตายไม่ให้ลง คือล้อมด้วยรั้วเหล็กเลย ทำให้ความสวยงามลดลงไปเหมือนกัน แต่ก็แนะนำว่าควรไปค่ะ
0 Comments
Leave a Reply. |
India blogs- India in brief - อินเดียอย่างย่อ : รู้เขารู้เราก่อนไปอินเดีย Archives
March 2020
Categories |