"พยับหมอก" ดอกไม้สิริมงคลสีฟ้า ที่ ร.9 ทรงโปรดฯ..ด้วยเป็นสีเดียวกันกับวันพระราชสมภพของ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ”

วันนี้ผู้เขียนขอเสนอเรื่องราวของ”ดอกพยับหมอก”สีฟ้า ซึ่งเป็นดอกไม้อีกชนิดหนึ่งที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงโปรดมากเป็นพิเศษ และอีกอย่างก็คือสีของ”ดอกพยับหมอก”นั้นเป็นสีของวันพระราชสมภพของ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ”

ซึ่งผู้เขียนได้พบบทความของ”กลุ่มสยามกลการ” ที่ได้บรรยายไว้ในหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งแล้วเกิดมีความประทับใจมากๆจึงใคร่ขออนุญาตยกเอาบทความนี้มาเผยแพร่ต่อเพื่อให้เหล่าพสกนิกรชาวไทยได้มีส่วนร่วมประทับใจใน พระราชจริยวัตร ของ”พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร” ที่ทรงมี
 “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ” อยู่ในพระหทัยของพระองค์ตลอดเวลา ค่ะ

โดยเนื้อหาในบทความดังกล่าวได้มีบรรยายเล่าไว้ดังต่อไปนี้ค่ะ….

“ดอกพยับหมอก” ... สีฟ้าทรงโปรดของในหลวงรัชกาลที่ 9

”กลุ่มสยามกลการ”ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าฯ “ในหลวง รัชกาลที่ 9” เพื่อถวายรายงานเกี่ยวกับโครงการอนุรักษ์ธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม “ธิงค์ เอิร์ธ” (THINK EARTH) และน้อมเกล้าฯ ถวายรถยนต์หลายครั้ง ซึ่ง นายบุญพีร์ พันธ์วร ที่ปรึกษาพิเศษ กลุ่มบริษัท สยามกลการฯ ได้บอกเล่าเรื่องราวแห่งความประทับใจเมื่อครั้งที่ ดร.ถาวร พรประภา ประธานกิตติมศักดิ์ บริษัท สยามกลการ จำกัด พร้อมทั้งผู้บริหารระดับสูงของ บริษัท นิสสันมอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้เข้าเฝ้าฯ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวาย ‘นิสสันเซฟิโร่ เอ 31’ สีม่วงเข้ม

 

 

โดยระหว่างการเข้าเฝ้าฯ “ในหลวง” ทรงมีรับสั่งสอบถามสมรรถนะของรถยนต์รุ่นนี้และทรงมีพระราชดำรัสสอบถามวิศวกรที่ทำหน้าที่ถวายรายงานว่า “ผลิตรถยนต์ที่มีสีฟ้าได้ไหม เพราะยังไม่เคยทอดพระเนตรเห็นรถสีฟ้าวิ่งตามท้องถนนเลย” ... ทุกคนที่อยู่กันบริเวณนั้นถึงกับอึ้ง ไม่สามารถถวายรายงานได้ เวลานั้นเอง วิศวกรได้กราบบังคมทูลถวายรายงานว่า ทรงมีพระราชประสงค์จะทอดพระเนตรสีฟ้าอ่อน หรือ สีฟ้าเข้ม

“ในหลวง” ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มหาดเล็กวิ่งไปในสวนข้างศาลาดุสิตาลัย เพื่อไปเด็ด ‘ดอกพยับหมอกสีฟ้าอ่อน’ มาให้เจ้าหน้าที่ของ บริษัท สยามกลการฯ ดู และทรงรับสั่งว่า สามารถทำสีรถให้เป็นสีฟ้าแบบนี้ ‘สีดอกพยับหมอก’ ได้ไหม ซึ่ง ดร.ถาวร พรประภา รีบกราบบังคมทูลรับด้วยเกล้าฯ จะนำสีของดอกพยับหมอกไปปรึกษากับทีมวิศวกร เพื่อผสมสีให้ใกล้เคียงมากที่สุด

โดยก่อนจะลงมือพ่นสีจะได้ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ ถวายแบบสีให้ได้ทอดพระเนตร ทรงรับสั่งต่อไปว่า สีฟ้าของดอกพยับหมอกเป็นดอกไม้ที่ทรงโปรดอีกชนิดหนึ่ง อีกอย่างเป็นสีของวันพระราชสมภพของ “สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ”

หลังจากนั้น ทางบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น ได้มีการผลิตรถยนต์ ‘นิสสัน รุ่น President ในสีพิเศษ’ ที่เป็นสีเดียวกับดอกของต้นพยับหมอก ซึ่งในขณะนั้นไม่มีรถของนิสสันรุ่นใดที่ผลิตสีฟ้าอ่อนนี้

โดยโรงงานที่ญี่ปุ่นได้มีกระบวนการพ่นสีเฉพาะเป็นพิเศษสำหรับรถรุ่นนี้ โดยจะต้องหยุดไลน์การพ่นสีทั้งหมด ล้างห้องสี ล้างสีเดิมออกให้หมด แล้วผสมสีใหม่ ซึ่งโปรดเกล้าฯ ทรงเลือกและพระราชทานสีที่ถูกต้องมาให้

เมื่อแล้วเสร็จ จึงได้นำมาน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นรถยนต์พระที่นั่งส่วนพระองค์ ซึ่งทาง นิสสัน มอเตอร์ ถือว่า ‘รถ President’ คันนี้ เป็นคันเดียวในโลกที่ผลิตออกมาเป็น “สีฟ้าดอกพยับหมอก”ดังกล่าว

“เมื่อโรงงานได้ดำเนินการพ่นสีเสร็จ จึงขอพระราชทานเข้าเฝ้าฯ เพื่อน้อมเกล้าฯ ถวายรถ Nissan รุ่น President “สีดอกพยับหมอก” ที่มีเพียงคันเดียวในโลก เมื่อเสด็จฯ มาถึงและได้ทอดพระเนตรรถองค์นี้ เป็นที่พอพระราชหฤทัย ทรงชมเชยผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายที่ดำเนินการให้เสร็จสมบูรณ์ ยังความปลาบปลื้มมายังผู้บริหารทุกคน รวมไปถึงบริษัท นิสสัน มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น อีกด้วย”

 

 

ต่อมา เมื่อเดือน ก.ย. 2545 เนื่องในโอกาสครบรอบ 50 ปี ของการดำเนินธุรกิจในประเทศไทย บริษัท สยามกลการ จำกัด ในฐานะที่ บริษัท สยามกลการฯ ได้รับพระราชทานตราตั้ง “ครุฑ” เป็นบริษัทในพระบรมราชานุญาต จึงได้ขอพระราชทานเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 เพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายรถยนต์ “นิสสันเซฟิโร่ เอ 33” ที่ผลิตออกมาเป็นคันที่ 1 ล้าน ของโรงงานผลิตรถยนต์และรถกระบะ นิสสัน ในประเทศไทย ซึ่งดำเนินกิจการมาครบ 50 ปี และสามารถผลิตรถได้เป็นจำนวนมากกว่า 1 ล้านคัน

ค่ะท้ายนี้ผู้เขียนจะนำท่านผู้ชมมารู้จักกับดอกไม้ชนิดนี้ “ดอกพยับหมอก”กันอย่างละเอียดค่ะ และหลังจากจบการเขียนบรรยายบทความนี้แล้ว ผู้เขียนก็จะขอตัวไปร้านต้นไม้เพื่อหาซื้อต้น”พยับหมอก”ที่มี
ดอกสีฟ้ามาปลูกไว้ที่บ้านเช่นเดียวกันค่ะ เพราะถือว่าเป็นต้นไม้ดอกที่มีความเป็นสิริมงคลมากๆอีกชนิดหนึ่งที่เราพสกนิกรชาวไทยสามารถนำมาปลูกดูแลรักษาไว้เป็นที่ระลึกถึง พระองค์ท่าน
”ในหลวง รัชกาลที่ 9”ตลอดไปดังเช่น ต้นดาวเรือง ต้นพุทธรักษาที่มีดอกสีเหลืองค่ะ

พยับหมอก มีชื่อภาษาอังกฤษว่า :cape leadwort, white plumbago
ชื่อพื้นเมือง เจตมูลเพลิงฝรั่ง ในชื่อพื้นเมืองนี้ฟังดูแปลกๆทำให้เราสงสัยมากว่า ทำไมดอกไม้สวยหวานแบบนี้ถึงมีอีกชื่อว่า เจตมูลเพลิงฝรั่ง ฟังดูไม่เข้ากันเลยซักนิด เจตมูลเพลิง คืออะไรหรือ??

ผู้เขียนจึงไปทำการสืบค้นจนได้ความมาว่า เจตมูลเพลิง นั้นเป็นไม้ตระกูลเดียวกับ
“ พยับหมอก”คืออยู่ในวงศ์  Plumbaginaceae เหมือนกัน

“เจตมูลเพลิง” เป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณทางยามากมาย มีดอกที่มีลักษณะคล้ายๆ
กับพยับหมอก ต่างกันที่สีเท่านั้น เจตมูลเพลิงมีทั้งดอกสีแดงและสีขาว อย่างที่เรียก
กันว่าเจตมูลเพลิงแดง Plumbago indica และ เจตมูลเพลิงขาว Plumbago zeylanica

ส่วนพยับหมอกที่เรียกกันอีกชื่อว่า “เจตมูลเพลิงฝรั่ง” เพราะเป็นไม้ที่มีถิ่นกำเนิด
มาจากแถบ ทวีปแอฟริกา นั่นเอง 

ค่ะเมื่อไขข้อข้องใจคลายความสงสัยกันเป็นที่เรียบร้อยแล้วเราก็มาชมความงามกันต่อด้วยภาพ ”พยับหมอก” ... ดอกสีฟ้าครามสวยหวานเย็นตา ซึ่งผู้เขียนเชื่อว่าอาจทำให้ท่านผู้ชมหลายๆท่านคลายความร้อนจากแสงแดดที่แผดจ้ากันได้บ้าง แทบไม่น่าเชื่อเลยด้วยซ้ำไปว่าดอกไม้ที่มีกลีบอันบอบบางสีหวานเย็นตาสวยงามดูน่าทนุถนอมแบบนี้จะชอบแสงแดดที่แผดจ้าแรงปานนี้... แต่พอเรานึกถึงถิ่นกำเนิดของ “พยับหมอก”ที่มาจากแถบแอฟริกาก็โอเคละนะ เพราะเราก็รู้ๆกันอยู่แล้วว่าที่นั่นมีความร้อนสุดหฤโหดขนาดไหน แทบจะนึกไม่ออกเลยด้วยซ้ำไปว่าดินแดนแถบนั้นจะมีที่ดอกไม้สวยๆสีหวานๆสุดบอบบางแบบนี้ด้วย

และจากการสืบค้น ผู้เขียนพบว่า “พยับหมอก”เป็นไม้พุ่มที่โตเร็ว ปลูกง่าย ไม่ต้องดูแลเอาใจใส่มากมายนัก และจะเจริญเติบโต ขึ้นได้ดีกับดินทุกชนิด ชอบที่มีแสงแดดจัด ออกดอกตลอดทั้งปี เป็นไม้ที่ชอบน้ำพอสมควร ชอบที่ชื้น แต่ไม่ชอบอยู่ในพื้นที่ ที่มีความแฉะของน้ำมาก และควรใส่ปุ๋ยสูตรเสมอบ้างเป็นครั้งคราวที่สำคัญจะต้องมัดระวัง ที่สุดก็คือ”โรคราดำตามใบและโรคเน่า”ที่จะเกิดเมื่อมีการเปลี่ยนฤดู และอาจมีเพลี้ยประปราย หลังจากที่หมดดอก ควรมีการตัดแต่ง เพราะดอกจะแห้งคาลำต้นทำให้ดูไม่สวยและเพื่อจะได้แตกยอดใหม่เร็วขึ้นด้วย อีกทั้ง “พยับหมอก”ยังเป็นดอกไ้ม้ที่บานทนทานพอสมควรสามารถตัดช่อดอกใส่แก้วหรือแจกันแช่น้ำไว้อยู่ได้หลายวันเลยค่ะ

 

 

 

ขอขอบคุณท่านผู้เป็นเจ้าของเครดิตภาพที่ผู้เขียนได้นำมาจาก (อินเตอร์เน็ต)เพื่อใช้ในการแสดงประกอบเนื้อหาสาระข้อมูลนี้ค่ะ..และขอขอบคุณแหล่งที่มาของภาพและข้อมูลจาก: (หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 37 ฉบับที่ 3,308 วันที่ 26-28 ต.ค. 2560),คุณบุญพีร์ พันธ์วร ที่ปรึกษาพิเศษ กลุ่มบริษัท สยามกลการฯและข้อมูลเพิ่มเติม
(บางส่วน)จาก :อินเตอร์เน็ตค่ะ
เรียบเรียงโดย:โชติกา พิรักษา และ ศศิภา ศรีจันทร์ ตันสิทธิ์