bloggang.com mainmenu search
หุบเขาบามิยัน : Bamiyan Valley


ภูมิทัศน์วัฒนธรรมและโบราณคดีใน Bamiyan Valley เป็นส่วนที่น่าสนใจและท่องเที่ยวอีกจุดหนึ่ง ของบรรดาพุทธศาสนิกชนทั่วโลก ในหุบเขาที่สวยงามแห่งนี้ มีประวัติการพัฒนาศิลปะและพุทธศาสนามาตั้งแต่ ศตวรรษที่ 1 ไปจนถึงศตวรรษที่ 13 ก่อนการเข้ามาของ ศาสนาอิสลาม ที่นี่มีหลักฐานโบราณที่เป็นศิลปเบคเทรีย (Bakhtria) รวมถึงอิทธิพลทางวัฒนธรรมต่างๆของคันธาระ (Gandhara) และศิลปะพุทธ จึงเป็นพื้นที่ ที่มีความหลากหลายของศิลปะ ที่สำคัญคือการทำลายพระพุทธรูปยืนขนาดใหญ่ 2 องค์ที่ช็อคผู้คนไปทั่วโลก (ไม่เพียงเฉพาะชาวพุทธ) โดยการยิงถล่มของพวก Taliban ในเดือนมีนาคม ปี 2001





















หุบเขาบามิยัน ตั้งอยู่บนเส้นทางสายไหม ระหว่าง จีน อินเดีย ตะวันออกกลาง และ ยุโรป ตั้งอยู่ห่างจากกรุงคาบูลไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ ประมาณ 145 ไมล์ (230กิโลเมตร) มีการค้นพบศาสนสถานทางศาสนาพุทธ และฮินดู เป็นจำนวนมากกว่า 1,000 แห่ง เป็นหนึ่งในจุดศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนาในบริเวณนั้นมาก่อนที่จะมีการมาของ ศาสนาอิสลามในช่วงพุทธศตวรรษที่ 13 หรือกว่า 1200 ปี






















ศาสนสถานที่สำคัญที่สุดในบริเวณนี้คือพระพุทธรูปองค์ใหญ่ 3 องค์ 2 องค์แรกสร้างในช่วงปีพ.ศ. 1050 (ค.ศ. 507) มีความสูง 37 เมตร และองค์ที่ 3 สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 1097 (ค.ศ. 554) สูง 55 เมตรเป็น "พระพุทธรูปแกะสลักหน้าผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก" ซึ่งทั้งหมดนี้คาดกันว่าสร้างโดยพระเถระและราชวงศ์คุปตะแห่งอินเดีย ตามฝาผนังถ้ำที่ได้ขุดเจาะกันไว้นั้น มีการวาดภาพ ซึ่งบ่งบอกถึงการผสมผสานของศิลปะคุปตะ ศิลปะคันธาระ และ ศิลปะเปอร์เซียได้อย่างชัดเจน และเมื่อพระถังซำจั๋งได้เดินทางไปชมพูทวีปในปี พ.ศ. 1173 (ค.ศ. 650)นั้น ท่านได้เล่าว่าพระพุทธรูปได้เหลืองอร่ามไปด้วยทองคำ และมีพระกว่า 1,000 รูปจำวัดอยู่






















ในบันทึกยังกล่าวว่า ที่นี่มีอารามมากกว่า 10 แห่ง มีพระสงฆ์หลายพันรูป ล้วนเป็นฝ่ายโลกุตตรวาท (โลกุตตรวาทิน) สังกัด นิกายมหายาน พระสงฆ์ที่มีชื่อเสียงของเมืองนี้ คือ พระอารยทูต (Aryaduta) และพระอารยเสน (Aryasena) มีความรู้ในพระธรรมวินัยเป็นอย่างดี ที่เนินเขาของนครหลวง มีพระพุทธรูปยืนซึ่งจำหลักด้วยศิลา สูง 150 เฉี๊ยะ (มาตราวัดจีน) ถัดจากนี้ไปเป็นอาราม และพระปฏิมาจำหลักด้วยแก้วกาจ สูง 100 เฉี๊ยะ อารามนี้ มีพระพุทธไสยาสน์ความยาว 1,000 เฉี๊ยะ บรรดาพระพุทธรูปเหล่านี้ล้วนเป็นฝีมือที่ปราณีต สวยงาม นอกจากนี้ยังมีอารามประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว พระทันตธาตุของพระพุทธเจ้าอีกด้วย






















ระหว่างช่วงประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า 1,600 ปี ของพระพุทธรูปแห่งบามิยันนี้ ได้พบเจอกับสงครามและการจู่โจมมาโดยตลอด ถึงแม้จะมีชนพื้นเมืองชาวมุสลิมกลุ่มหนึ่งคือชาวฮาซารัส ได้ปกป้องศาสนาสถานแห่งนี้มาก็ตาม เริ่มต้นด้วยการเสื่อมถอยของศาสนาพุทธในบริเวณนี้และการเข้ามาของศาสนาอิสลาม การทำลายและการบุกรุกโจรกรรมวัตถุต่างๆจากถ้ำภายในตั้งแต่ 900 ปีที่แล้ว จนมาถึงปี พ.ศ. 2522 (ค.ศ. 1979) เมื่อสหภาพโซเวียต นำทหารเข้าบุกเข้าโจมตีอัฟกานิสถาน ตามมาด้วยสงครามอัฟกัน และสิ้นสุดลงด้วยการระเบิดของกลุ่มตาลีบันเมื่อวันที่ 9 มีนาคม ในปี พ.ศ. 2544 จากการสำรวจ ได้มีรายงานว่ากว่า 80% ของภาพตามฝาผนังถ้ำได้ถูกทำลายลงไปแล้ว





















เกี่ยวกับภาพเขียนที่นี่ ตั้งแต่ปี 2003 เป็นต้นมา นักวิทยาศาสตร์ ทั้งญี่ปุ่น ยุโรป และอเมริกา ได้ร่วมกันทำงาน เพื่ออนุรักษ์บรรดาภาพเขียนเหล่านี้ ภายใต้การสนับสนุนค่าใช้จ่ายจาก UNESCO ที่ได้ประกาศขึ้นทะเบียนมรดกโลก ในบริเวณหุบเขาบามิยันนี้










การค้นพบภาพเขียนผนังโบราณ ที่เกี่ยวกับพุทธประวัติ ฯในถ้ำบริเวณ หุบเขาบามิยัน นับเป็นภาพเขียนเก่าแก่ที่สุด ที่ใช้สีน้ำมัน อายุราวประมาณ ศตวรรษที่ 7 เก่ากว่าภาพเขียนในยุคกลางของยุโรป และเมดิเตอร์เรเนียน หลายร้อยปี











ภาพเขียนยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับเส้นทางสายไหม ที่เชื่อมต่อระหว่างตะวันออก กับเอเชียตะวันตกในสมัยนั้น นอกจากภาพเกี่ยวกับพุทธประวัติแล้วนั้น ยังมีภาพวาดผนัง เป็นภาพสัตว์ต่างๆ ที่เขียนประดับภายในถ้ำมากกว่า 50 ถ้ำ ในบริเวณนี้ ที่มีมากนับพันถ้ำ นับย้อนไปได้ราวค.ศ.5-7











น่าเสียดาย ที่ UNESCO ส่งเฉพาะนักวิทยาศาสตร์กลุ่มนี้มาทำการสำรวจและบูรณะภาพวาดเหล่านี้ ในเชิงประวัติศาสตร์ และความเก่าแก่ของเทคนิคการใช้สีน้ำมัน แต่ไม่มีทีมวานองนักโบราณคดี ที่จะมาศึกษารายละเอียดของภาพ ในด้านพุทธศาสนาอย่างละเอียดบ้าง










คำให้การของนายชีค มีร์ซา ฮุสเซน มือระเบิดทำลายพระพุทธรูปบามิยัน ตามคำสั่งของรัฐบาลตาลีบัน กล่าวว่า “ถ้าเขาไม่ระเบิดพระพุทธรูป พวกตาลีบันจะฆ่าเขาทิ้ง เพราะก่อนหน้านั้น ตาลีบันฆ่าลูกชายสองคนของเขาเหมือนสุนัขข้างถนน เขาจึงต้องทำเพื่อการอยู่รอด เขามีความเชื่อว่าด้านหน้าของพระพุทธรูปที่ถูกทำลายลง มีพระพุทธรูปปางไสยาสน์องค์หนึ่ง เป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่มีพระพักตร์อมยิ้ม ฝังอยู่ใต้ดิน ซึ่งเป็นความเชื่อที่ได้ยินมาจากบรรพบุรุษสืบขานกันต่อหลายชั่วอายุคน สอดคล้องกับ คำบอกกล่าวของพระถังซัมจั๋ง ที่ได้เห็นพระพุทธรูปปางไสยาสน์นี้เช่นกัน ซึ่งนักโบราณคดีได้ขุดพบ ส่วนพระบาทของของพระนอน เมื่อปี พ.ศ. 2548 แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าขององค์พระส่วนที่เหลือ




















ปัจจุบัน รัฐบาลของอัฟกานิสถานมีแนวคิดที่จะพัฒนา หุบเขาบามิยัน ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งน่าจะได้รับความสนใจมาก เพียงแต่ว่า การรักษาความมั่นคง และความปลอดภัยภายในนั้น ยังเป็นปัญหาที่แก้ไขไม่ได้ เพราะฝ่ายตาลีบันที่สูญเสียอำนาจไปนั้น ยังมีศักยภาพในการก่อการร้ายได้อย่างดี และต่อเนื่องอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่ออเมริกาถอนตัวออกจากอัฟกานิสถานแล้ว รัฐบาลของเขาจะสามารถรักษาความสงบและปลอดภัย ให้อยู่ในระดับปกติได้หรือไม่ ยังเป็นคำถามที่ทุกคนเฝ้ารอดูคำตอบอย่างกระวนกระวาย


TraveLArounD




ปล. ท่านที่เพิ่งเข้ามาชมบล็อกใหม่ ผมได้จัดทำเป็นสารบัญ แบบหนังสือให้ค้นดูหัวเรื่องได้ง่ายที่ group : นานา สาระ๑๐๐๐ เพราะเรื่องต่างๆ เขียนไว้ 1380 กว่าเรื่องแล้ว

หมายเหตุ : ขณะได้มี website อื่นๆหลาย website ได้นำเอาเรื่องที่ผมเขียนไว้ ไปลงต่อในลักษณะของเนื้อหา โดยไม่ได้รับอนุญาตใดๆ ถ้าต้องการบทความใดไปใช้ ขอให้ติดต่อขออนุญาต ก่อนทาง Email : nana_sara1000@ymail.com มิฉะนั้น จะต้องถูกดำเนินคดีตามกฎหมายลิขสิทธิ์

ส่วนผู้ที่ต้องการนำเรื่องไปโพสต่อ เพื่อเผยแพร่ โดยมิใช่ทางการค้า ขอให้ติดต่อขออนุญาตให้ถูกต้องก่อนโพส

ข้อมูลจาก
//th.wikipedia.org/
ภาพจาก
//my.opera.com/bachkien/albums/showpic.dml?album=4359692&picture=65476902#bigimg
Create Date :02 กรกฎาคม 2554 Last Update :2 กรกฎาคม 2554 17:08:41 น. Counter : Pageviews. Comments :0