มหัศจรรย์กัมพูชา:ตอน6 อัปสรา นางฟ้าที่ไม่เคยมีตัวตน
โดยอึ้งเข่งสุง -เรื่อง//ภาพ-ธงชัย เปาอินทร์
ตำนานของอินเดียมีเรื่องเล่าขานกันถึงนางอัปสรมากมาย ในความเชื่อของชาวฮินดู เชื่อกันว่า พระพรหมเป็นผู้สร้างนางอัปสร 26 ตน ให้เป็นนางบำเรอในราชสำนักของพระอินทร์ คัมภีร์นาฏยศาสตร์เล่าขานถึงนางอัปสรหลายชื่อเช่น มัญชุเกศี, สุเกศี,มาคธี,สุมุขี ฯลฯ
บางตำนานก็ว่านางอัปสรเป็นทั้งเมียและนางรำของคนธรรพ์ซึ่งบรรเลงเพลงดนตรีให้นางร่ายรำไปตามจังหวะของเพลง บางตำนานว่านางอัปสรมีอิทธิฤทธิ์แปลงกายได้ และเชื่อกันตามมหากาพย์มหาภารตะของอินเดียว่า นางอัปสรเป็นเพศหญิง เป็นนางฟ้า เกิดจากการกวนเกษียรสมุทรของพระอินทร์และอสูร
ภาพแกะสลักนางอัปสราที่ปราสาทนครวัต
ส่วนนางอัปสราของชาวกัมพูชาเกิดแต่การแกะสลักเสลาอย่างปราณีตบรรจงบนแผ่นศิลาปรากฎอยู่ทั่วไปในปราสาทขอมสำคัญๆเช่นปราสาทนครวัด ปราสาทนครธม ปราสาทบันทายสรี ฯลฯ หลากรูปลักษณ์ หลากลีลา หลากเครื่องทรงบนศีรษะของแต่ละนาง ส่วนรูปร่างช่างอรชรอ้อนแอ้น มีอกมีเอว มีสะโพกที่ผึ่งผายและกลมกลึง เห็นแล้วอดจินตนาการไม่ได้เลย ช่างงดงามเหลือใจ
นางอับปสราที่ปราสาทตาพรหม
ส่วนว่าภาพสลักเสลานางอัปสราในปราสาทขอมประเทศกัมพูชาจะมีมากน้อยเพียงใด น่าจะนับจำนวนได้ไม่ถ้วน แต่ที่ปราสาทศีขรภูมิ จังหวัดสุรินทร์ ประเทศไทย มีสองนาง ว่ากันว่า ปราสาทศีขรภูมิและนางอัปสรา เป็นศิลปะพุทธศตวรรษที่ 17 แต่ผมก็ยังไม่เคยได้ไปเห็น จึงไม่มีรูปของสองนางมาฝากแฟนๆ หากมีโอกาสจะพยายามลากสังขารไปถ่ายมาให้ชมนะขอรับ ครั้นจะไปขอใช้รูปจากเว็บอื่นๆ ก็เกรงใจ รูปอาจมีลิขสิทธิ์ หรือมีเงื่อนไข เอาเป็นว่าอดใจไว้ดีกว่าครับ
นางอัปสราที่ปราสาทบายน
ครับ อารัมภบทมาเสียยืดยาวก็เพียงอยากจะเล่าให้พี่น้องผองเพื่อนได้รู้ว่า ในการไปท่องเที่ยวประเทศกัมพูชานั้น ผมได้มีโอกาสไปชมการแสดงนาฏลีลาของระบำรำฟ้อนสวยๆหลายบทหลายตอน การแสดงฉากที่ผมต้องรีบลุกจากที่นั่งไปถ่ายรูปใกล้ๆ ก็ฉากนางอัปสรากำลังร่ายรำด้วยความอ่อนช้อย การวาดวงแขน การขยับเท้า การเยื้องย่าง การหมุนตัว ดูแล้วก็รู้สึกเหมือนว่าได้ดูละครชาตรีหรือการฟ้อนรำของนาฎศิลป์ไทย
ระบำนางอัปสรา
เครื่องแต่งกายละม้ายคล้ายคลึง บทบาทลีลาคล้ายคลึง เพียงแต่ว่าผิดเพี้ยนไปบ้าง ส่วนลีลาการร่ายรำก็รำเนิบๆหรือว่าช้ากว่ารำไทย รูปร่างหน้าตานางรำหรือนาฎศิลป์ก็คล้ายคลึง(ถ้าไม่พูดออกมา) แทบว่าจะถอดแบบมาจากต้นกำเนิดเดียวกัน
แต่มีข้อสังเกตเล็กๆ 3 ประการคือ นางรำหรือนางอัปสราเหล่านี้เมื่อวาดวงแขนและข้อมือ ปลายนิ้วมือไม่มีการจีบอย่างนาฎศิลป์ไทยประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งสำคัญมากๆ คือการคัดเลือกนางรำของนาฎศิลป์กัมพูชานั้น ตัวเอกของนางอัปสราต้องมีก้นที่งอนงาม นอกจากต้องมีอกมีเอว พูดกันบ้านๆก็คือว่ามีก้นงอนเช้งกระเดะ ว่างั้นเถอะ โปรดสังเกตในรูป ส่วนประการที่สาม ผมอาจผิดก็ได้ กล่าวคือผมไม่เห็นนาฎศิลป์กัมพูชายิ้มเหมือนนาฎศิลป์ไทย
งอนงามเหลือใจ ยิ้ม..อยู่ไหน
บอกตามตรง เมื่อผมถ่ายรูปนี้ พยายามมองว่า ทำไมก้นนางรำช่างงามงอนเหลือแสน ในใจคิดว่า น่าจะก้นเสริมตามสมัยนิยม แต่เมื่ออดใจเก็บความสงสัยไว้ไม่อยู่ผมก็ถามไกด์โอภาส จริยพฤต์ว่า "จริงหรือเสริม" ได้รับคำตอบพร้อมย้ำหนักแน่นตามประสาคนทำงานในกัมพูชามานานว่า "จริง" ถ้าก้นไม่งามงอนดังที่เห็นเขาจะไม่ให้รำเป็นนางอัปสราตัวเอกเด็ดขาด อันนี้เป็นกติกาการคัดเลือกทีเดียว เชื่อหรือไม่ ก็ลองตามไปดูกันเอาเองนะครับ
ทศกัณฑฐ์พญายักษ์
หลังจากการแสดงฉากแรกจบลง เสียงปรบมือกึกก้อง ตากล้องก็คืนสู่ที่นั่ง ฉากถัดมาเป็นการสู้รบกันระหว่างพระรามกับพระลักษณ์ สู้กับทศกัณฐ์เหมือนการแสดงโขนพากย์หรือโขนสดบ้านเราอีก ซึ่งเป็นเรื่องราวในรามเกียรติ์ นาฎศิลป์ที่แสดงเป็นพระรามและพระลักษณ์ใช้ผู้หญิงแสดง ส่วนทศกัณฑ์และเหล่ายักษาใช้ผู้ชาย เครื่องแต่งกายก็คล้ายคลึงกับโขนบ้านเรา ลีลาการขยับเอวองค์ก็เหมือนๆกัน ดนตรีประกอบการแสดงหรือก็คล้ายคลึงกันอีก
พระรามรบกับทศกัณฐ์
ฉากสุดท้ายเป็นระบำสวิง ระบำจับปลา แต่ว่ากันว่านาฎศิลป์กัมพูชามีอีกหลายลีลาเช่น ระบำเก็บกระวานอันแสดงถึงความอุดมสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ประเภทเครื่องเทศ(กระวาน) จึงได้หยิบจับเอาวิธีชีวิตมานำเสนอในรูปแบบการแสดงนาฎลีลา เช่นเดียวกับระบำนกยูงก็คงจะด้วยว่ากัมพูชาเคยมีป่าดงดิบหนาแน่น สัตว์สำคัญเช่นนกยูงน่าจะมีมากมายเหลือคณา เมื่อคราที่เขารำแพนหางจะสวยสมเพียงใด ท่านที่เคยเห็นจะรู้แจ่มแจ้งแดงแจ๋
ระบำจับปลาด้วยสุ่มเหมือนบ้านเรา
ระบำชาวจาม ระบำชาวพนอง ระบำชาวส่วย ล้วนสื่อถึงชนชาติที่อยู่อาสัยร่วมกันฉันมิตร ในพื้นที่เดียวกัน และมีความผูกพันซึ่งกันและกัน นี่คือการแสดงถึงวิถีชีวิตวัฒนธรรมของชาวกัมพูชาทั้งมวล หนุ่มสาวที่แสดงหน้าตาสวยงามสมวัย ลีลาการรำก็คล้ายๆกับระบำสวิงบ้านเรา พื้นเพของชาวกัมพูชาผมว่าถ้าจะแตกต่างกับบ้านเราก็อยู่ที่ภาษา นอกนั้นก็เกือบจะเหมือนๆกัน อันที่จริงกัมพูชากับคนไทยถ้าไม่พูดก็แทบไม่รู้เหมือนกันเป็นเชื้อชาติใด
ระบำรำฟ้อนของเหล่านาฎศิลป์กัมพูชาทุกกระบวนท่า ไม่ยิ้มแย้มเยือนเหมือนนาฎศิลป์ไทยเลย สงสัย สงสัย ใครรู้ช่วยเม้นท์เข้ามาเล่าสู่กันบ้างนะครับ
ผมตัดสินใจเปิดอินเทอร์เน็ต ค้นหาเรื่องราวที่เกี่ยวข้องกับระบำรำฟ้อนของกัมพูชา ได้เนื้อหาสาระมาเล่าสู่กันว่า
ยุคก่อนเมืองพระนคร ได้มีการค้นพบรูปปั้นดินเหนียวสมัย Angkorborei พร้อมกับจารึก "คนรำ" เป็นภาษาเขมร
ยุคเมืองพระนคร ได้ค้นพบคำว่า "ภาณิ" ในภาษาสันสกฤตที่มีความหมายว่าเป็นการแสดงแบบเล่าเรื่อง ซึ่งจะแสดงตามศาสนสถานเป็นสำคัญ
ยุคหลังเมืองพระนคร ปีพ.ศ.1974 สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2(เจ้าสามพระยา) ทรงยกทัพไปตีเมืองพระนคร ณ เมืองเสียมเรียบ หรือเสียมราฐ อันเป็นเมืองหลวงของกัมพูชา จนแตกพ่ายย่อยยับ ได้เกิดการเผาเมืองและกวาดต้อนผู้คน รวมทั้งศิลปะหลากชนิดกลับมายังกรุงศรีอยุธยาจนสิ้น เมืองพระนครล่มสลาย กัมพูชาจึงได้ถอยร่นลงไปตั้งเมืองหลวงใหม่ที่กรุงพนมเปญ
ดนตรีไทยในกัมพูชา
ศิลปะกัมพูชาขาดตอนลงไปตรงนี้ แต่หลังจากพ้นยุคที่ต้องเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยาแล้วก็เกิดการฟื้นฟูศิลปะวัฒนธรรมดั้งเดิมขึ้นใหม่
ข้อมูลเพิ่มเติมคือ เขมรเคยเสียกรุงให้กับกรุงศรีอยุธยาถึง 3 ครั้งกล่าวคือ ครั้งที่หนึ่งเมื่อปีพ.ศ.1912 เขมรได้เสียกรุงให้กับพระเจ้าอู่ทอง ครั้งที่สองเมื่อปีพ.ศ.1931 เขมรก็ได้เสียกรุงให้กับพระราเมศวร และครั้งที่สาม ปีพ.ศ.1974 เขมรก็ได้เสียเมืองพระนครจนย่อยยับให้กับสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2(เจ้าสามพระยา)
มิน่าเล่า ชาวกัมพูชาจึงมีความรู้สึกที่ไม่ดีนักต่อชาวไทย โดยเฉพาะ 7 คนไทยที่มีนายวีระ สมความคิด แกนนำกลุ่มเสื้อเหลือง และนายพณิช วิกิตเศรษฐ์ สส.พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งชมชอบกับการสร้างมิตรให้เป็นศัตรูตามอย่างต้นแบบไม่ผิดเพี้ยนเลยสักเม็ด
แต่ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า นางอัปสราที่ถูกสลักเสลาไว้ตามปราสาทต่างๆ ตามแบบฉบับของศิลปะกัมพูชานั้น เป็นหนึ่งเดียวที่คงเอกลักษณ์และสื่อความหมายได้ว่า ต้นแบบคือกัมพูชา ต่อมาสมเด็จพระมหากษัตริยานีกุสุมะนารีรัตน์ อันเป็นพระราชมารดาของพระเจ้าสีหนุ ได้ทรงฟื้นฟูศิลปะการร่ายรำระบำนางอัปสราจนเป็นที่ยอมรับว่า พระองค์คือ มารดาแห่งนาฎศิลป์กัมพูชา
นาฎศิลป์ของกัมพูชาแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ
ประเภทที่1 ระบำพระราชทรัพย์(เหมือนละครวังหลวง) เป็นการแสดงในพระราชวัง เพื่อให้กษัตริย์ทรงชมพร้อมข้าราชบริภารได้ชม ค่าใช้จ่ายเป็นพระราชทรัพย์ของพระมหากษัตริย์
ประเภทที่2 ระบำประเพณีเขมร อันเป็นการแสดงแบบพื้นบ้านทั่วไป
ประเภทที่ 3 ระบำประชาปรีย์ แสดงทั่วไปไม่เลือกที่ ใครจะว่าจ้าง หรือใครจะเป็นสปอนเซอร์ก็ได้ไม่ว่ากัน ขอเพียงมีเงินมาจ้างก็ยินดีรำ
เรื่องราวของนางอัปสรามาโด่งดังมากๆ และถือกันว่าเป็นการเปิดโลกนางอัปสราสู่สายตาชาวโลกด้วยเจ้าหญิงบุพผาเทวี พระราชธิดาของสมเด็จพระเจ้าสีหนุ ทรงเข้าฉากระบำนางอัปสราในภาพยนตร์เรื่อง The Bird oF Paradise
ความผูกพันระหว่างนาฎศิลป์กัมพูชาและนาฎศิลป์สยามนั้น สำแดงได้จาก ปีคศ.1904 พบว่ามีศิลปการินีจากสยามเกินกว่า 300 คน เรื่องเล่าจากเรื่องโครงกระดูกในตู้ ของ
ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ได้เขียนว่า หม่อมเจ้าฉวีวาด ได้ยกโรงละครหนีขึ้นเรือสำเภาไปเมืองเขมร จึงไม่แปลกอะไรที่ศิลปะสยามและกัมพูชาจะคล้ายคลึงกัน หรือแทบว่าจะเหมือนกัน น่าจะเป็นการผสมผสานกันจนกลมกลืน
มหัศจรรย์กัมพูชาตอนนี้เขียนด้วยความรู้สึกว่า จากศิลปะการแสดง เครื่องแต่งองค์ของนักแสดง ดนตรีประกอบการการร้องรำทำเพลง ตัวตนของเหล่านักแสดง ล้วนละม้ายคล้ายคลึงกันอย่างกับพี่น้อง มีความแตกต่างกันบ้าง แต่เหมือนกันเป็นส่วนใหญ่
กัมพูชากับสยามไม่ใช่อื่นไกล เราน่าจะเป็นพี่น้องกัน ถ้ารวมด้วยลาว กล่าวได้ว่าเป็นประเทศสามพี่น้องได้หรือไม่