วิถีผ้าชนเผ่าม้ง
ม้งเป็นกลุ่มชนเผ่าที่สืบเชื้อสายมาจากบรรพบุรุษที่อาศัยอยู่ในประเทศจีน ได้อพยพย้ายถิ่นฐานทำมาหากินอาศัยบนดอยสูงในประเทศไทย ปัจจุบันม้งที่พบมากในประเทศไทย อาจแบ่งได้เป็น 2 กลุ่มหลัก คือม้งขาว และม้งลาย วิถีชีวิตชาวม้งตั้งแต่โบราณกล่าวไว้ว่า “ ผู้หญิงปักผ้า ผู้ชายตีมีด”
เสื้อผ้าประจำชนเผ่าม้ง ส่วนใหญ่จะใช้สีดำเป็นหลักนิยมสร้างลวดลายบนเสื้อผ้าของตนด้วยงานปักที่ใช้เส้นด้ายหลากสีสัน
ศิลปะการสร้างสรรค์ลวดลายของชนเผ่าม้งโดยหลักแล้วมีอยู่ 3 เทคนิคด้วยกัน คือการปัก การเย็บติด และการเขียนเทียน
ลวดลายปัก วิถีชีวิตม้ง
นอกจากชาวม้งจะมีฝีมือการเขียนเทียน และการปักผ้าที่เลื่องลือแล้ว ชาวม้งลาย ยังมีความเชี่ยวชาญในการเล่าเรื่องราวที่แสดงออกถึงวิถีชีวิตของชนเผ่า ผ่านงานปักบนผืนผ้าอีกด้วย โดยบนผืนผ้า 1 ชิ้นนั้น อาจมีการปักผ้าบอกเล่าเรื่องราวเป็นลำดับต่อเนื่องกันหลายเรื่องเช่น ภาพปักวิถีชีวิตชาวม้ง ของชายและหญิง การทำสวนไร่นา ปลูกข้าว ปลูกข้าวโพด การทำงานบ้าน ให้อาหารสัตว์ หรือภาพปัก แสดงขั้นตอนการเพาะปลูก
การปักลวดลายลักษณะเช่นนี้ ต้องอาศัยทั้งจินตนาการความอดทน และฝีมือในการปักค่อนข้างสูง ปัจจุบันจึงมีชาวม้งที่ปักผ้าในลักษณะนี้ได้ เหลืออยู่ค่อนข้างน้อยมาก
การสร้างสรรค์ลวดลาย และทักษะงานฝีมือของชนเผ่าม้ง
การปัก
หญิงชาวม้งมีทักษะความเชี่ยวชาญในด้านการปักผ้าเป็นอย่างมาก โดยจะใช้เข็มเล่มเล็กๆ ค่อยๆปักลวดลายลงจนเต็มผืนผ้า ซึ่งศิลปะการปักผ้าของผู้หญิงชาวม้ง แบ่งเทคนิคออกเป็นหลายรูปแบบด้วยกัน เช่นเทคนิคการตัดผ้าเป็นลวดลาย แล้วนำมาเย็บติดซ้อนกับผ้าพื้นอีกชั้นหนึ่ง ที่เรียกว่าเจี๋ย ความยากของเทคนิคนี้ อยู่ที่ความละเอียด โดยต้องใช้เข็มเย็บผ้าเบอร์เล็กสุด ปักด้วยเส้นด้ายที่เล็กบางที่สุด โดยนำเส้นด้ายธรรมดามาแยกเป็น 3 เส้น เช่น การปักลายก๊ากื้อ ( ก้นหอย) ซึ่งนับเป็นลายที่ยากมาก ต้องมีทักษะความเชี่ยวชาญใช้ความละเอียด และความอดทนสูงเป็นพิเศษจึงจะปักลวดลายนี้ได้สำเร็จ ถือเป็นเทคนิคที่เก่าแก่ และยากที่สุด
การเขียนเทียน
เป็นศิลปะการสร้างลวดลายบนผืนผ้าที่มีเฉพาะในกลุ่มหญิงชาวม้งลายเท่านั้น ผู้หญิงชาวม้งลาย จะใช้เทคนิคนี้วาดลวดลายลงบนผืนผ้าที่เตรียมไว้ตัดเย็บ เทคนิคการเขียนเทียนมีลักษณะคล้ายการทำผ้าบาติก โดยจะใช้อุปกรณ์แท่งเล็กๆ ทำจากไม้ กับทองแดง ที่เรียกว่า หลาจัง จุ่มลงบนเทียนหรือขี้ผึ้งร้อนๆแล้วนำมาวาดลวดลายบนผ้าใยกัญชง หรือผ้าฝ้ายเมื่อเสร็จแล้วก็จะนำผ้าไปย้อมเย็น ด้วยสีน้ำเงินธรรมชาติ เมื่อผ้าทั้งผืนกลายเป็นสีน้ำเงินเข้มตามต้องการแล้ว จึงนำผ้าไปต้มด้วยความร้อนให้เทียนละลาย ก็จะได้ผ้าสีน้ำเงินมีลวดลายเขียนเทียนเป็นสีขาว กระจายสวยงามอยู่ทั่วทั้งผืน เสร็จสรรพจึงนำไปพับอัดกลีบเป็นกระโปรง แล้วจึงนำมาสวมใส่เป็นชุดประจำชนเผ่าที่งดงาม
------------------------------------
ลายก๊ากื้อ ( ก้นหอย) ก๊ากื้อ หมายถึงก้นหอยพบได้ทั้งในงานปักแบบเย็บ 2 ชั้น หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า เจี๋ย
และงานเขียนเทียนของชาวม้งลาย ลายก๊ากื้อ หรือลายก้นหอยนั้น ตามความเชื่อทางศาสนา เชื่อว่า มีที่มาจากหอยสังข์
ซึ่งมักถูกนำมาใช้ในการประกอบพิธีกรรมสำคัญๆทางศาสนา
ลักษณะการ วน รอบ ของก้นหอย เปรียบเสมือนการโคจรของ พระอาทิตย์ พระจันทร์ และดวงดาว
ลายปั้นโต๊วโต่ว ( ฝักถั่ว) ปั้นโต๊วโต่ว หมายถึง ฝักถั่ว เรียกตามลักษณะของงานปักที่คล้ายฝักถั่วแขก
ซึ่งเป็นพืชพื้นบ้านที่ชาวม้งมักปลูกผสมอยู่ในไร่กาแฟเป็นลวดลายบนผ้าสี่เหลี่ยมผืนเล็ก ที่เรียกว่าดั๊กฉ่อ
จะติดประดับอยู่บริเวณด้านหลังปกเสื้อของชุดแต่งกายผู้หญิง ประจำเผ่าม้ง
ลักษณะของผืนผ้าสี่เหลี่ยมนี้ คล้ายปกเสื้อกะลาสี แต่มีขนาดเล็กกว่า
ลายปั้นโต๊วโต่ว หรือลายฝักถั่ว ใช้เทคนิคเย็บผ้าปะติด ผสมกับการปักเดินเส้น คล้ายลูกโซ่
ลายปั้นโต๊วจี่ ( กากบาทหรือไม้กางเขน) ปั้นโต๊วจี่ ใช้เรียกลวดลายที่เป็นลักษณะเป็นกากบาท
หรือสำหรับชาวม้งที่นับถือศาสนาคริสต์บางกลุ่ม จะเรียกลวดลายเอกลักษณ์เช่นนี้ว่า โค้วหลี่ หรือแปลว่าไม้กางเขนลายกากบาท หรือลายไม้กางเขน ยังปรากฏให้เห็นได้ในผ้าของชาวม้ง แทบทุกผืน
โดยจะถูกนำมาออกแบบเป็นศูนย์กลางของลวดลาย หรือใช้เป็นลายเสริมคั่นตรงกลางระหว่างลายหนึ่ง เพื่อเชื่อมต่อไปอีกลายหนึ่ง ทั้งบนล่างซ้ายขวา ลวดลายกากบาทเป็นส่วนสำคัญ ทำให้ลวดลายบนผืนผ้าเกิดความสวยงาม ตามหลักความสมมาตรและสมดุล
ลายป้อนเจ่ยจ๊อ ( หูเสือ) ป้อนเจ่ยจ๊อ หมายถึงหูเสือ เป็นจินตนาการที่เกิดจากลักษณะโค้งงอของใบหูเสือ
นำมาสร้างสรรค์เป็นลวดลายปัก ที่แสดงความโค้งงอของลวดลายที่สวยงาม มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นลายหนึ่งของผ้าชนเผ่าม้ง
ปัจจุบันลวดลายนี้ ถูกประยุกต์ตามยุคสมัย โดยใช้เทคนิคการปักแบบกากบาท คล้ายการปักครอสติชในปัจจุบัน
--------------------------------
ที่มา: การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยสำนักงานเชียงราย