ชุดป้องกันสำหรับนักดับเพลิงหรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “ชุดดับเพลิง” ประกอบด้วย เสื้อผ้าถุงมือ รองเท้าและหมวก ปัจจุบันได้ก้าวหน้ามาไกลมากจากยุคเริ่มแรกที่เป็นแจ็คเกตหนัง ยุคนี้ออกแบบตัดเย็บด้วยวัสดุสังเคราะห์ บทความนี้จะเสนอข้อมูลเกี่ยวกับชุดดับเพลิงเฉพาะเสื้อผ้า(Clothing) ที่เป็นไปตามมาตรฐานขั้นต่ำซึ่งนิยมใช้ในหน่วยดับเพลิงทั่วโลกชุดดับเพลิงอาคาร (Structural FirefightingGear) ประกอบด้วย 4 ชั้นเรียงตามลำดับ ได้แก่
1. ชั้นนอกสุด (Outer Shell)
2. ชั้นตัวกั้นน้ำ (Moisture Barrier)
3. ชั้นตัวกั้นความร้อน (Thermal Barrier)
4. ชั้นในสุด (Inner Liner)
โดยในแต่ละชั้นดังกล่าวต้องมีคุณสมบัติครบถ้วนตามมาตรฐานกำหนด ทั้งนี้ จะต้องไม่ลืมว่าเสื้อผ้าที่ใส่ไว้ข้างในชุดดับเพลิงจะต้องมีคุณสมบัติในการป้องกันอันตรายได้ด้วย เช่นชุดประจำสถานีที่สามารถต้านทานเปลวไฟหรืออย่างน้อยควรเสื้อผ้าฝ้าย ไม่ควรใช้ชุดที่ทำด้วยใยสังเคราะห์เช่นไนล่อนหรือโพลีเอสเตอร์
ชั้นนอกสุด (Outer Shell)
เป็นชั้นที่มีความสำคัญมากเนื่องจากต้องสัมผัสกับความร้อนโดยตรง รวมทั้ง เป็นส่วนที่แสดงถึงคุณสมบัติและความประณีตในการออกแบบตัดเย็บ โดยทั่วไป จะต้องมีคุณสมบัติหลักสองประการคือ ต้านทานการลุกติดไฟจากการสัมผัสกับเปลวไฟ และสามารถปกป้องการฉีกขาด การเฉือน การสึกของชั้นที่อยู่ข้างใน วัสดุใช้ผลิตผ่านการทดสอบ TPP หรือมีความต้านทานการดูดซับน้ำ อย่างไรก็ดี คุณภาพของชั้นนอกสุดชุดดับเพลิงซึ่งเป็นที่ต้องการจริงๆ และต้องผ่านการทดสอบก็คือ ความสามารถในการต้านทานความร้อนสูงและทนทานต่อการใช้งานที่สมบุกสมบันในพื้นที่อัคคีภัย ข้อมูลต่อไปนี้เป็นคุณสมบัติของวัสดุที่ใช้ผลิตชั้นนอกสุดของชุดดับเพลิงซึ่งได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง (อ้างอิงข้อมูลของผู้ผลิต)
Nomex เป็นเส้นใย Aramid ผลิตโดยบริษัท ดูปองท์ (Dupont) มีโครงสร้างโมเลกุลลักษณะพิเศษซึ่งมีคุณสมบัติต้านทานเปลวไฟในตัวเอง
Nomex III เป็นเส้นใยผสม Nomex 95% และ Kevlar 5%
Nomex IIIa เป็นเส้นใยผสม Nomex 93% Kevlar 5% และแก่นคาร์บอนไฟเบอร์ (ต้านทานไฟฟ้าสถิต) 2% มีคุณสมบัติมีความไวไฟต่ำและมีความแข็งแรงทนทานสูง ชุดที่ผลิตจากวัสดุชนิดนี้จะมีความคงทนในสภาพความร้อนจัด ขณะที่เส้นใย Nomex จะไม่หลอมละลาย ไหลเยิ้มหรือไหม้เกรียมที่อุณหภูมิต่ำกว่า 675-750 องศาฟาเรนไฮต์ (360-400 องศาเซลเซียส) Nomex IIIa จะมีคุณภาพรองลงมาในส่วนนี้ แต่ราคาจะถูกกว่า
Nomex Omega เป็นวัสดุใช้ผลิตชุดดับเพลิงพัฒนาโดย Dupont ให้ความต้านทานความร้อนสูงแต่จะไม่ทำให้ผู้สวมใส่เกิดความร้อนจัดขณะปฏิบัติงาน ใช้เป็นส่วนประกอบของทั้งสามชั้นของชุดดับเพลิง ได้แก่
*ชั้นนอกสุดเป็นเส้นใยไฟเบอร์ Aramid(Z-200 รุ่นใหม่)
*ชั้นตัวกั้นน้ำและชั้นตัวกั้นความร้อนเป็นเส้นใยย้อม Z-200 จะเปลี่ยนสีที่ความร้อน500 องศาฟาเรนไฮต์ (260 องศาเซลเซียส) แต่เส้นใยจะไม่เสื่อมสภาพจนกว่าจะถึง 800 องศาฟาเรนไฮต์ (425 องศาเซลเซียส) ไม่มีคุณสมบัติต้านทานการตัด (Cut Resistant) เหมือนเส้นใยผสม Kevlar ดังนั้น จึงต้องมีการเสริมความแข็งแกร่ง หากจะนำไปใช้เป็นส่วนที่มีการเสียดสีเป็นประจำ เช่น บริเวณหัวเข่า ผู้ผลิตเปิดเผยว่า เมื่อสัมผัสกับความร้อนจัด เส้นใย Z-200จะขยายตัวและมีคุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนชนิดพิเศษขึ้นมา
Basofil เป็นเส้นใยผสมระหว่าง Basofil 40% และ Kevlar 60% นิยมใช้ตามหน่วยดับเพลิงทั่วไปในยุโรป ชั้นนอกสุดที่ผลิตด้วยเส้นใยชนิดนี้จะมีคุณสมบัติพิเศษในการสกัดกั้นความร้อนในหลายระดับที่เปลี่ยนแปลงไปมา ส่งผลให้สามารถเลือกใช้ชั้นในสุด (Inner Liner) ที่มีน้ำหนักเบาได้เนื่องจากไม่ต้องใช้วัสดุหนามากนัก จากผลของการใช้งานพบว่า เส้นใยชนิดนี้มีความทนทานและสวมสบาย แต่ก็ไม่ใช่วัสดุชั้นนอกสุดที่มีคุณสมบัติครบถ้วนเทียบเท่าเส้นใยดีเลิศ (Premium) เช่น PBI และ PBO ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีข้อครหาเรื่องก๊าซฟอร์มาดีไฮด์ซึ่งถูกปล่อยออกมาจากเส้นใย แต่ก็ยังไม่มีหลักฐานยืนยันใดๆ จุดเด่นอีกประการหนึ่งคือ เรื่องราคาย่อมเยาที่ทำให้ผู้ซื้อตัดสินใจได้ทันที
Kevlar 60%/Nomex 40% เส้นใยสังเคราะห์ซึ่งเป็นส่วนผสม Kevlar/Nomex เป็นชั้นนอกสุดของชุดดับเพลิงที่ทนทานที่สุด และมีความต้านทานการไหม้เกรียมสูงถึง 300% ของNomex IIIa มีความยืดหยุ่นสูงและอ่อนนุ่ม แต่จะคงรูปอยู่ได้เมื่อสัมผัสกับความร้อนสูง แม้ว่าKevlar/Nomex จะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเหนือกว่า Nomex ทุกรุ่น แต่ผู้ซื้อจำนวนมากยืนยันว่า เส้นใยดีเลิศเช่น PBI และ PBO มีความแข็งแกร่งกว่า ดังนั้น การเลือกใช้ชั้นนอกสุดที่เป็นKevlar/Nomex จะเป็นไปในลักษณะที่ต้องการขยับระดับจาก Nomex ธรรมดา ไม่ใช่การ
เทียบเคียงกับ PBI/PBO สำหรับในเรื่องราคาKevlar/Nomex จะอยู่ตรงกลางระหว่าง Nomexกับ PBI/PBO เช่นเดียวกับเรื่องคุณภาพ แต่จะให้ความสบายในการสวมใส่และมีความทนทานระดับดีเยี่ยม
PBI เป็นเส้นใยสังเคราะห์ผสม PBI (Polybenzimidazole) 40% และ Kevlar 60% สามารถดับไฟได้ด้วยตัวเอง พัฒนามาจากโครงการ FIREProject ซึ่งทำการค้นคว้าเส้นใยที่ปราศจากการไหม้เกรียม (Non-charring) เมื่อสัมผัสความร้อนจัดที่อุณหภูมิเกินขีดความสามารถในการต้านทานของ Nomex (ราว 750 องศาฟาเรนไฮต์หรือ 400 องศาเซลเซียส) ขณะที่ Nomex ยังมีคุณสมบัติเป็นฉนวนต้านทานการไหม้เกรียมเมื่อสัมผัสความร้อนที่ขีดสุดซึ่งกำหนดไว้ดังกล่าวแต่หากได้รับการสัมผัสซ้ำก็มีแนวโน้มที่เส้นใยจะเกิดการแตก แต่สำหรับ PBI จะไม่ไหม้เกรียมหรือแตกแม้จะสัมผัสซ้ำในสถานการณ์อัคคีภัยลักษณะเดียวกับ Nomex เส้นใยชนิดเดียวที่มีคุณสมบัติต้านทานการไหม้เกรียมเหนือกว่า PBIคือ PBO สำหรับ PBI ที่มีจำหน่ายทั่วไปเป็นเส้นใยสีดำย้อมสีทองแดงเพื่อลดปัญหาการเสื่อม
สภาพจากรังสียูวี เรียกว่า PBI (Black) Gold
PBO เป็นเส้นใยสังเคราะห์ผสม Zylon (Polyphenylenebenzobisoxazole) 40% และ Technora 60% คือชั้นนอกสุดชุดดับเพลิงดีเลิศ (Premium Outer Shell) ชนิดใหม่ล่าสุด มีคุณลักษณะส่วนใหญ่เหมือน PBI แต่ต่างกันตรงที่ PBO ผ่านการทดสอบการต้านทานการสึกหรอ (Taber Abrasion Test) ด้วยคะแนนสูงกว่า แปลง่ายๆ คือ ทนทานกว่า อีกทั้งยังซึมซับน้ำน้อย โครงสร้างแข็งแรง และต้านทานการไหม้เกรียมได้ดีกว่า (ปัจจุบัน PBI เสนอตัวเลือกที่มีอัตรา
ความต้านทานการไหม้เกรียมสูงขึ้น ข้อความนี้อาจมีความคลาดเคลื่อนได้) ทั้งนี้ ตามรายงานการทดสอบการต้านทานการสึกหรอ (Taber Abrasion Test) PBO ได้คะแนนสูงสุดเมื่อเทียบกับวัสดุชนิดอื่นๆ ที่ใช้ทำชั้นนอกสุดของชุดดับเพลิงซึ่งมีจำหน่ายทั่วไป อย่างไรก็ตาม มีข้อร้องเรียนจากบางหน่วยงานว่า PBO ค่อนข้างจะอ่อนไหวต่อรังสี UV โดยมีแนวโน้มจะเสื่อมสภาพง่ายเมื่อสัมผัสกับรังสีชนิดนี้
ชั้นตัวกั้นน้ำ (Moisture Barrier)
เป็นชั้นช่วยรักษาคุณสมบัติการต้านทานความร้อนให้คงอยู่กับชุดดับเพลิงโดยป้องกันไม่ให้น้ำจากภายนอกซึมเข้ามายังส่วนที่เป็นช่องอากาศด้านใน ดังที่อธิบายไปตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า น้ำเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้เกิดการเผาไหม้ภายในตัวเสื้อผ้า ดังนั้น จำเป็นจะต้องให้แห้งอยู่เสมอเพื่อความปลอดภัยและทำให้ชุดมีน้ำหนักเบา โดยทั่วไป ชั้นตัวกั้นน้ำจะทำหน้าที่เก็บน้ำซึ่งซึมผ่านมาจากชั้นนอกสุดของชุดเสื้อผ้าไว้ไม่ให้ผ่านเข้าไปยังชั้นถัดไป ทั้งนี้ จะต้องมีคุณสมบัติอื่นๆ ด้วย เช่น มีความทนทาน กันความร้อน คงคุณภาพได้ในระยะยาว รวมไปถึง การระบายอากาศที่ดี เนื่องจากจะทำให้แห้งเร็วขึ้นส่งผลต่อเนื่องถึงการลดปริมาณน้ำและความร้อนสะสมในร่างกายของผู้สวมใส่ตามหลักการแล้ว ชั้นตัวกั้นน้ำ นอกจากจะป้องกันไม่ให้น้ำซึมเข้าไปในชั้นตัวกั้นความร้อน (Thermal Barrier) แล้ว ยังจะต้องสามารถระบายไอน้ำจากการระเหยของเหงื่อในตัวผู้สวมใส่ออกมาด้านนอกได้ด้วย สำหรับคุณสมบัติทนความร้อนสูงที่ต้องมีอยู่ในชั้นตัวกั้นน้ำนั้นเนื่องจากต้องทำหน้าที่ป้องกันชั้นที่อยู่ถัดไปไม่ให้ถูกเผาไหม้ โดยเฉพาะในกรณีที่จะต้องเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ที่เรียกว่า Flash-over
ชั้นตัวกั้นความร้อน (Thermal Barrier)และช่องอากาศ (Air Layers)
ค่าป้องกันของวัสดุสังเคราะห์จะวัดกันที่ปริมาณอากาศ (ช่องอากาศ) ที่อยู่ระหว่างตัวนักดับเพลิงกับแหล่งความร้อน มากเท่าไหร่ก็ป้องกันความร้อนได้ดียิ่งขึ้นเท่านั้น “อากาศ” จะมีคุณสมบัติเป็นฉนวนความร้อนในตัวเองซึ่งมีอยู่แล้วในชุดเสื้อผ้า ไม่มีน้ำหนัก และไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย วิธีจะทำให้ชุดมีความสามารถในการต้านทานความร้อนได้ดีที่สุดก็คือ ทำชั้นตัวกั้นความร้อนให้มากขึ้นเพื่อเพิ่มช่องอากาศดังกล่าวอย่างไรก็ตาม ชั้นตัวกั้นความร้อนหรือฉนวนที่มีประสิทธิภาพในชุดดับเพลิงมักจะมีช่องอากาศระหว่างชั้นที่บางมาก ที่สำคัญคือความกว้างของแต่ละช่องอากาศดังกล่าวมักจะไม่เกิน 1.8 ซ.ม.ความบางขนาดนี้หากวัสดุระหว่างชั้นสัมผัสกันก็จะปิดช่องอากาศทำให้เกิดการนำความร้อนขึ้นมาทันที ยิ่งไปกว่านั้น หากมีน้ำเข้ามาแทนที่อากาศที่ช่องอากาศนั้น จะทำให้คุณสมบัติการเป็นฉนวนลดลง เนื่องจากน้ำเป็นตัวนำความร้อนดีกว่าอากาศชั้นตัวกั้นความร้อนในชุดดับเพลิงจะทำเป็นระบบ มีหลายชั้นเพื่อเพิ่มจำนวนช่องอากาศที่ทำหน้าที่เป็นฉนวนความร้อนหรือเพื่อป้องกันไม่ให้การรั่วซึมของน้ำเกิดขึ้นอย่างง่ายดาย (น้ำเข้าไปแทนที่อากาศในช่องอากาศ) ปัจจัยที่ควรพิจารณาเพิ่มเติมในการเลือกชั้นตัวกั้นความร้อนนอกจากเรื่องช่องอากาศหรือความเป็นฉนวนแล้วคือ ความสบายในการสวมใส่และให้ความคล่องตัวในการเคลื่อนไหว
ชั้นในสุด (Inner Liner)
ถัดจากชั้นตัวกั้นความร้อนจะเป็นชั้นในสุดซึ่งติดกับตัวผู้สวมใส่ ลักษณะเป็นผ้าปิดคลุม(Face Cloth) มีความอ่อนนุ่มและลื่นเพื่อทำให้เกิดความสบาย สามารถเคลื่อนไหวคล่องแคล่วรวมทั้ง สามารถซับเหงื่อที่ไหลออกมามากได้ด้วยถ้าปราศจากส่วนนี้จะทำนักดับเพลิงรู้สึกอึดอัด เคลื่อนไหวไม่สะดวก มีเหงื่อมากจนเกิดภาวะร้อนจัดภายในร่างกาย (Heat Stress) นอกเหนือจากประเด็นการเลือกชุดดับเพลิง โดยพิจารณาวัสดุที่ใช้ทำชั้นต่างๆ แล้ว สิ่ง
ที่มีความจำเป็นไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ การตรวจสอบเป็นระยะและการซ่อมบำรุง เนื่องจากชุดดับเพลิงจะต้องสัมผัสกับสารเคมีและอนุภาคชีวภาพมากมายหลายชนิดระหว่างการปฏิบัติงาน มีตั้งแต่สารไฮโดรคาร์บอน สารอะโรเมติกส์แคดเมียม โครเมียม กรด ด่าง เถ้า ของเหลวในร่างกาย ฯลฯ ล้วนเป็นอันตรายทั้งต่อตัวชุดและตัวผู้สวมใส่ไม่ว่าจะโดยตรงหรือโดยอ้อม ดังนั้นควรทำความสะอาดชุดดับเพลิงทันทีที่สามารถทำได้ เช่น ฉีดน้ำล้างชุดก่อนจะกลับสถานีทั้งนี้ ห้ามซักล้างชุดดับเพลิงที่บ้านหรือร้านซักผ้าสาธารณะเนื่องจากบุคคลในครอบครัวและบุคคลอื่นอาจจะได้รับอันตรายจากสารปน
เปื้อนที่ติดมากับชุดเหล่านั้น ในบางกรณี อาจต้องมีการย้อมหลังการซักล้างเพื่อให้ผิวชั้นนอกชุดดับเพลิงคงคุณสมบัติการกันน้ำไว้เช่นเดิม
ถัดจากเรื่องซ่อมบำรุงก็จะเป็นเรื่องของการตรวจสอบชั้นตัวกั้นน้ำและชั้นตัวกั้นความร้อนซึ่งมีความจำเป็นอย่างยิ่ง ชั้นตัวกั้นความร้อนมีความสำคัญเพราะจะทำหน้าที่เป็นฉนวนกั้นความร้อน ส่วนชั้นตัวกั้นน้ำจะทำให้ฉนวนแห้ง โดยจะต้องมั่นใจว่าทั้งสองส่วนนี้สามารถทำหน้าที่ของตัวเองได้ดีที่สุดชั้นตัวกั้นทั้งสองดังกล่าวนี้เป็นส่วนสร้างความปลอดภัยให้กับนักดับเพลิง ดังนั้น จะต้องตรวจสอบให้มั่นใจว่าประสิทธิภาพในการปกป้องยังมีอยู่ครบถ้วน ก่อนการปฏิบัติงานทั้งการฝึกและการดับไฟจริง ทั้งนี้ ขณะปฏิบัติงานหากรู้สึกอบอ้าวหรือมีเหงื่อออกมากผิดปกติ ให้ตรวจสอบความบกพร่องหรือชำรุดของชั้นตัวกั้นทั้งสองตามคำแนะนำของผู้ผลิตหรือผู้เชี่ยวชาญด้านการตรวจสอบชุดป้องกันความร้อน
กรณีชุดดับเพลิงและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลที่ใช้อยู่ไม่มีคุณสมบัติต้านทานรังสี UVหรือมีน้อย จะต้องไม่เก็บชุดดับเพลิงชุดประจำสถานี สายรัดเครื่องช่วยหายใจ ฯลฯ ในลักษณะสัมผัสกับแสงแดดทั้งโดยตรงและโดยอ้อม (เช่น
แสงแดดส่องผ่านหน้าต่าง) ให้เก็บในตู้เก็บหรือล็อคเกอร์ในกระเป๋านักดับเพลิง หรือคลุมด้วยผ้าหนาทึบสีดำหรือใกล้เคียง ชั้นนอกสุดของชุดดับเพลิงส่วนใหญ่จะเปลี่ยนสีเมื่อสัมผัสรังสี UVในปริมาณมากหรือเป็นเวลานาน
มั่นใจได้ว่า ชุดดับเพลิงที่สวมใส่ออกไปปฏิบัติงานเสี่ยงภัยในแต่ละครั้งนั้นมีคุณสมบัติในการปกป้องชีวิตและสุขภาพครบถ้วน และอยู่ในระดับขีดความสามารถขั้นวางใจได้
Cr. นิตยสารเซฟตี้ไลฟ์