การใช้สิทธิเรียกร้องของผู้ลงทุน กรณีบริษัทเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งในสาระสำคัญ

11 กรกฎาคม 2566
อ่าน 4 นาที



กระบวนการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ต่อผู้ลงทุนทั่วไปตามพระราชบัญญัติหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ) กำหนดให้บริษัทที่เสนอขายหลักทรัพย์มีหน้าที่ในการเปิดเผยข้อมูลต่าง ๆ
เพื่อให้ผู้ลงทุนมีข้อมูลประกอบการตัดสินใจลงทุน โดยหลักการสำคัญคือ ต้องเปิดเผยที่ถูกต้อง ครบถ้วน
ไม่เป็นเท็จ และไม่ปกปิดข้อมูลอันเป็นสาระสำคัญ ซึ่งการเปิดเผยข้อมูลแก่ผู้ลงทุนของบริษัทสามารถแบ่งออก
ได้เป็น 2 ช่วง คือ

1) การเปิดเผยข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวน เพื่อให้ผู้ลงทุนที่สนใจลงทุนสามารถศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับหลักทรัพย์ โดยบริษัทที่ออกหลักทรัพย์มีหน้าที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) โดยบริษัทจะสามารถเสนอขายหลักทรัพย์ได้ต่อเมื่อแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนดังกล่าว มีผลใช้บังคับแล้ว (มาตรา 65) โดยแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนจะมีข้อมูลสำคัญ เช่น วัตถุประสงค์การเสนอขาย ลักษณะการประกอบธุรกิจ ฐานะทางการเงิน ผู้บริหารและผู้ถือหุ้นรายใหญ่ เป็นต้น
2) การเปิดเผยข้อมูลภายหลังจากการเสนอขายหลักทรัพย์ บริษัทก็ยังคงมีหน้าที่การเปิดเผยข้อมูลอย่างต่อเนื่องให้กับผู้ลงทุน (มาตรา 56) เช่น งบการเงินและรายงานเกี่ยวกับฐานะการเงิน หรือ รายงานประจำปี เพื่อให้ผู้ลงทุนทราบรายละเอียดข้อมูลความคืบหน้าเกี่ยวกับหลักทรัพย์ที่ลงทุนประกอบการตัดสินใจลงทุน

การเปิดเผยข้อมูลของบริษัททั้ง 2 ช่วง บริษัทจะต้องระมัดระวังเกี่ยวกับข้อมูลที่เปิดเผย เนื่องจากหากปรากฏ
ข้อเท็จจริงว่าข้อมูลที่มีการเปิดเผยเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญ บริษัทอาจมี
ความผิดตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็นโทษทางอาญา ที่มีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ โดยหากเป็นกรณีที่มี
การเปิดเผยข้อมูลก่อนการออกเสนอขายเป็นเท็จ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับเป็นเงินไม่เกิน 2 เท่าของ
ราคาขายของหลักทรัพย์ทั้งหมดที่ได้เสนอขาย แต่ต้องไม่น้อยกว่า 5 แสนบาท (มาตรา 278) แต่หากเปิดเผย
ข้อมูลภายหลังการเสนอขายเป็นเท็จ จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
(มาตรา 281/10)

ในกรณีที่บริษัทมีการเปิดเผยข้อมูลที่เป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงซึ่งควรต้องแจ้งในสาระสำคัญนั้น
นอกจาก ก.ล.ต. จะมีการดำเนินการในความผิดข้างต้นแล้ว ผู้ลงทุนเองก็มีสิทธิที่จะสามารถฟ้องร้องกับ
ผู้กระทำความผิดเพื่อเรียกค่าเสียหายจากความผิดที่เกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูลตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ
ได้เช่นกัน ดังนี้

  • กรณีเปิดเผยข้อมูลในแบบแสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนเป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง
ในกรณีที่แบบแสดงรายการหรือหนังสือชี้ชวนมีข้อความเป็นเท็จ หรือขาดข้อความที่ควรต้องแจ้งในสาระสำคัญ
จนเป็นเหตุให้ผู้ลงทุนเสียหาย ผู้ลงทุนที่เป็นเจ้าของหลักทรัพย์มีสิทธิที่จะฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทได้
หากความเสียหายนั้นเกิดจากการเปิดเผยข้อมูลไม่ถูกต้อง (มาตรา 82) ซึ่งค่าเสียหายที่ผู้ลงทุนสามารถฟ้องร้องได้
ในกรณีนี้ จะเท่ากับจำนวนส่วนต่างของจำนวนเงินที่ผู้ลงทุนได้จ่ายไปสำหรับการได้มาซึ่งหลักทรัพย์นั้น กับราคา
ที่ควรจะเป็นหากมีการเปิดเผยข้อมูลอย่างถูกต้อง ทั้งนี้ ต้องไม่ต่ำกว่ามูลค่าที่ตราไว้ของหลักทรัพย์นั้น บวกด้วย
ดอกเบี้ยของจำนวนส่วนต่างสำหรับระยะเวลาที่ถือหลักทรัพย์นั้นด้วย (มาตรา 85)

ไม่เพียงแต่บริษัทเท่านั้นที่ต้องรับผิด แต่กฎหมายยังกำหนดให้บุคคลที่ร่วมลงลายมือชื่อรับรองข้อมูลไว้ในแบบ
แสดงรายการข้อมูลและหนังสือชี้ชวนต้องร่วมรับผิดกับบริษัทด้วย ได้แก่ กรรมการผู้มีอำนาจลงนามผูกพัน
บริษัทที่ลงลายมือชื่อไว้ในแบบแสดงรายการและหนังสือชี้ชวน รวมไปถึงผู้จัดจำหน่ายหลักทรัพย์ ผู้สอบบัญชี
ที่ปรึกษาทางการเงิน หรือผู้ประเมินราคาทรัพย์สิน ที่จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงและลงลายมือชื่อ
รับรองข้อมูลในแบบแสดงรายการและหนังสือชี้ชวนด้วย ยกเว้นแต่บุคคลเหล่านั้นจะพิสูจน์ได้ว่าไม่มีส่วนรู้เห็น
กับการกระทำความผิดดังกล่าว (มาตรา 83)

อย่างไรก็ดี ผู้ลงทุนจะต้องดำเนินการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายภายใน 1 ปี นับจากวันที่ได้รู้หรือควรจะได้รู้ว่า
แบบแสดงรายการและหนังสือชี้ชวนมีข้อความหรือรายการที่เป็นเท็จหรือขาดข้อความที่ควรต้องแจ้ง แต่ต้อง
ไม่เกิน 2 ปี นับจากวันที่แบบแสดงรายการและหนังสือชี้ชวนมีผลใช้บังคับ (มาตรา 86)

  • ​กรณีข้อมูลที่เปิดเผยหลังการเสนอขายหลักทรัพย์เป็นเท็จหรือปกปิดข้อเท็จจริง
ในการเปิดเผยข้อมูลภายหลังจากการออกและเสนอขายหลักทรัพย์ หากพบว่าข้อมูลงบการเงิน รายงานเกี่ยวกับ
ฐานะทางการเงินและผลการดำเนินงาน หรือรายงานประจำปี มีข้อความอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริง
ในสาระสำคัญจนเกิดความเสียหาย ผู้ลงทุนสามารถฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายจากบริษัทได้เช่นกัน (มาตรา 89/20)
ในกรณีนี้ กรรมการและผู้บริหารของบริษัทจะต้องร่วมกันรับผิดต่อผู้ลงทุนที่ได้รับความเสียหายจากการซื้อขาย
หลักทรัพย์ของบริษัทด้วย ยกเว้นแต่กรรมการหรือผู้บริหารดังกล่าวจะพิสูจน์ได้ว่าโดยตำแหน่งหน้าที่ของตน
ไม่อาจรู้ถึงความถูกต้องของข้อมูลหรือการขาดข้อมูลที่ต้องเปิดเผยนั้นได้ โดยผู้ลงทุนต้องดำเนินการฟ้องร้อง
เรียกค่าเสียหายภายใน 2 ปี นับแต่วันที่ผู้ลงทุนรู้ถึงการเปิดเผยข้อมูลอันเป็นเท็จหรือการปกปิดข้อมูลที่ควร
เปิดเผยนั้น หรือไม่เกิน 5 ปี นับแต่วันที่ได้มีการกระทำนั้น

นอกจากผู้ลงทุนจะสามารถดำเนินการตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ฯ ได้แล้ว ผู้ลงทุนก็ยังสามารถดำเนินการใช้สิทธิ
ตามกฎหมายอื่น ๆ ได้ด้วย เช่น การดำเนินการเรียกร้องค่าเสียหายตามพระราชบัญญัติบริษัทมหาชนจำกัด
(มาตรา 94) เป็นต้น

จะเห็นได้ว่าเมื่อมีความเสียหายเกิดขึ้นที่เกิดจากการเปิดข้อมูลที่เป็นเท็จหรือปกปิดข้อความจริงในสาระสำคัญ
นอกจากการดำเนินการโดย ก.ล.ต. แล้ว ผู้ลงทุนเองก็สามารถดำเนินการทางกฎหมายควบคู่กันไปเพื่อเรียกร้อง
ค่าเสียหายจากบริษัทที่ออกและเสนอขายหลักทรัพย์และบุคคลอื่น ๆ ที่ต้องร่วมรับผิดด้วยได้ ดังนั้น หากได้รับ
ความเสียหายจากเกี่ยวกับการเปิดเผยข้อมูล ผู้ลงทุนจึงควรดำเนินการใช้สิทธิเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัท
และบุคคลที่เกี่ยวข้องในช่วงอายุความที่กฎหมายกำหนด



                                   ______________________________

จากบทความ "การใช้สิทธิเรียกร้องของผู้ลงทุน กรณีบริษัทเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จ หรือปกปิดข้อความจริงที่ควรแจ้งในสาระสำคัญ​"  โดยฝ่ายตราสารหนี้ สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) 

อ่านบทความฉบับเต็มได้ที่  https://www.sec.or.th/TH/Template3/Articles/2566/110766.pdf​​