เทคโนโลยีจอภาพ

เทคโนโลยีจอภาพตั้งแต่ยุคเก่ามาจนถึงยุคใหม่ แบ่งจอภาพออกเป็น 4 เทคโนโลยีหลักด้วยกันครับ

CRT (Cathode Ray Tube) : จอตู้แบบเก่าที่อาศัยการยิงกระแสของอิเล็กตรอนที่แบ่งออกเป็นสามมี ( แดง / เขียว / น้ำเงิน ) ซึ่งเมื่อทั้งสามสียิงรวมกันด้วยความเร็วสูงก็จะได้ภาพบนหน้าจอออกมานั่นเอง ข้อเสียของระบบ CRT ก็คือ กินไฟมาก จอใหญ่ ราคาแพง หนัก ไม่สวย 

Plasma : ใช้หลักการปล่อยประจุเข้าไปในหลอดแก็สต่างๆเพื่อให้เรืองแสง จุดเด่นได้ความลื่นไหลของภาพ ข้อดีที่เพิ่มขึ้นมาก็คือ ทำให้จอมันบางลงได้แล้ว แต่จอก็ยังหนัก กินไฟ ร้อน แถมนำไปใช้ติดตั้งบนเครื่องบินก็ไม่ได้ เพราะความกดอากาศทำให้ก๊าซทำงานไม่ได้

LCD (Liquid Crystal Display ) : ใช้หลอดไฟ CCFL หรือ Cold Cathode Fluorescent Lamp ซึ่งมีลักษณะเป็นหลอดผอมคล้ายๆหลอดกาแฟ เรียงในแนวนอนยาวลงมาเป็นตัวกำเนิดแสง และมี Liquid Crystal เป็นผลึกแข็งกึ่งเหลวคอยบิดตัวเป็นองศาเพื่อให้แสงแบ็คไลท์ (สีขาว) ลอดผ่านทะลุ Color Filter แม่สี 3 สี ทั้งสีแดง น้ำเงิน เขียว เพื่อแสดงออกมาเป็นสีสันต่างๆ ข้อดี ก็คือ ประหยัดไฟ ทำให้บางมากๆ ได้ แต่มีปัญหาก็คือ สีดำไม่สามารถทำให้ดำสนิทได้เพราะว่าตัวหลอด CCFL ที่ยิงแสงจากด้านหลังเพื่อให้เกิดความสว่างทำให้สีดำไม่สามารถทำสนิทได้ รวมไปถึงสีจะจืดกว่าสีปกติที่ควรจะเป็นหน่อยนึง แถมมุมมองยังไม่กว้างเพียงพอ ต้องมองตรงอย่างเดียวถึงจะได้สีคมชัด

LED (Light Emitting Diode) : หลักการทำงานเหมือนกันจอ LCD แต่เปลี่ยนตัวจ่ายแสงจากหลอด CCFL ให้กลายเป็นแผง LED แทน ผลก็คือประหยัดไฟกว่าเดิม บางลงกว่าเดิม ให้สีที่ดีกว่าเดิม แต่ก็ยังมีข้อจำกัดเก่าๆของ LCD อยู่ เช่นมุมมองยังไม่กว้างเหมือนเดิม

และปิดท้ายด้วยเทคโนโลยี OLED ครับ

หลังจากที่นักวิจัยทั้งหลายได้ทำการพัฒนาจอภาพมาเรื่อยๆ จะเห็นได้ว่า ปัญหาของทั้งความหนา สีที่ไม่ค่อยแจ่ม การกินไฟ และอื่นๆในการพัฒนาจอภาพให้มันดีกว่าปัจจุบัน อยู่ที่ระบบฉายแสงทั้งนั้นเลย เพราะว่าตัวสีที่หน้าจอแสดงออกมาไม่สามารถมองเห็นได้หากไม่มีการฉายแสงช่วย ดังนั้น ถ้าเราสามารถทำให้ตัวจอ ยิงแสงออกมาได้ด้วยตัวของตัวเอง มันจะต้องแก้ไขปัญหาเหล่านี้ได้แน่นอน จนออกมาเป็นจอ OLED นี่ยังไงล่ะครับ

OLED ย่อมาจาก Organic Light-emitting diodes …จอภาพของจอ OLED จะมีลักษณะคล้ายแผ่นฟิล์ม ซึ่งมีส่วนประกอบเป็นสารอินทรีย์ที่สามารถเปล่งแสงเองได้เมื่อได้รับพลังงานไฟฟ้า ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาแสง Backlight เพราะตัวจอภาพสามารถเปล่งแสงได้ด้วยตัวของมันเอง และถ้าหากจะแสดงสีดำ ก็จะไม่มีการจ่ายไฟฟ้าเข้าไปในบริเวณนั้น ผลที่ได้ก็คือ ตรงจุดไหนที่เป็นสีดำ ก็จะดำสนิท อีกทั้งยังช่วยประหยัดพลังงานอีกด้วย เพราะไม่มีการจ่ายไฟในจุดที่ไม่จำเป็นต้องใช้นั่นเอง

นอกจากนี้ จอภาพแบบ OLED ยังบางกว่าจอแบบ LCD / LED มากมาย เพราะไม่มีแผง Backlight ไว้ยิงแสงหลังแล้วนี่ จึงทำให้มันมีความยืดหยุ่น โค้งงอได้ดั่งใจอยาก เพราะว่าโครงสร้างที่แตกต่างจาก LCD โดยโครงสร้างของ OLED นั้นประกอบด้วยสารกึ่งตัวนำไฟฟ้าที่เป็นของแข็งซึ่งมีความหนาเพียง 100-500 นาโนเมตรเท่านั้น ทำให้เราอยากจะดัดจอเป็นองศาไหนก็ได้ เรียกได้ว่าหน้าจอ OLED ก็คือหน้าจอแห่งอนาคตที่จะเปลี่ยนรูปแบบของทีวี หรือ อุปกรณ์ใดๆที่ใช้จอภาพ จากที่มีข้อจำกัดว่าจะต้องแบนๆ เท่านั้น ให้กลายเป็นโครงสร้างแบบไหนก็ได้

ผลก็คือ เราสามารถที่จะมีทีวีจอโค้งสวยงาม เพื่อสร้างมิติในการรับชมภาพได้ดีและเยี่ยมยิ่งกว่าเดิมนั่นเองครับ

ที่มา : https://www.freeware.in.th/blog/21058