ส่องทิศทาง อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ส่งสัญญาณโตแรง อานิสงส์จากการสร้างฐานการผลิต EV ใน EEC

ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก สะท้อนจากการที่ไทยมีการผลิตรถยนต์ต่อปีมากถึง 1.9 ล้านคัน สูงที่สุดในอาเซียน และเป็นอันดับ 10 ของโลก และสินค้ากลุ่มยานพาหนะ อุปกรณ์และส่วนประกอบ ยังเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของไทย โดยในปี 2565 อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย มีมูลค่าการส่งออกรวม 1.31 ล้านล้านบาท ขยายตัว 8.2% หรือคิดเป็นสัดส่วนราว 12.3% ต่อ GDP

อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เป็นหนึ่งในห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) ที่มีบทบาทสำคัญ และมีความจำเป็นอย่างมากต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ อีกทั้งเป็นส่วนเสริมให้อุตสาหกรรมยานยนต์มีความแข็งแกร่ง เนื่องจากการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน (Internal Combustion Engine: ICE) หรือ รถยนต์ที่ใช้น้ำมันเชื้อเพลิง ต้องใช้ชิ้นส่วนฯ OEM (Original Equipment Manufacturing) หรือชิ้นส่วนฯ ที่ป้อนให้กับโรงงานประกอบรถยนต์มากถึง 2-3 หมื่นชิ้นต่อคัน
ด้วยเหตุนี้ จึงไม่น่าแปลกใจที่อุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนยานยนต์จะมีส่วนสำคัญที่จะช่วยขับเคลื่อนให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ที่เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐใช้เป็นกลไกในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth)

รู้กันก่อนโครงสร้าง อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย เป็นอย่างไร?

โครงสร้างธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สามารถแบ่งได้ 3 มิติหรือรูปแบบ โดยในแต่ละมิติมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
มิติที่ 1 ประเภทผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ แบ่งตามลำดับการส่งมอบชิ้นส่วน (Tier)
หากดูโครงสร้างอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยจะมีลักษณะเป็นพีระมิด โดยมีกลุ่มผู้ผลิตยานยนต์อยู่ด้านบนสุดและถัดลงมาเป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่มีอยู่ 3 ระดับ เรียงลำดับตามการส่งมอบ ดังนี้
ผู้ผลิตชิ้นส่วนลำดับที่ 1 (Tier 1) : เป็นกลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ และส่งให้กับค่ายผู้ผลิต/ประกอบรถยนต์โดยตรง ซึ่งชิ้นส่วนฯ ที่ผลิตจะแบ่งเป็น 5 กลุ่มหลัก ได้แก่ กลุ่มระบบส่งกำลัง (Powertrain) ระบบช่วงล่าง (Suspension) ระบบไฟฟ้า (Electrical and Electronic) กลุ่มตัวถัง (Body) และกลุ่มชิ้นส่วนอื่นๆ (Other) โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่เป็นกลุ่มผู้ประกอบการกิจการขนาดใหญ่ (LSEs) ที่มีประมาณ 529 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 23% ของผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนฯ ทั้งหมด
ผู้ผลิตชิ้นส่วนลำดับที่ 2 (Tier 2) : และ ผู้ผลิตชิ้นส่วนลำดับที่ 3 (Tier 3): เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ ย่อยหรือจัดหาวัตถุดิบ อาทิ โลหะ พลาสติก ยาง กระจก ผ้า ส่งให้ผู้ผลิตชิ้นส่วน Tier 1 และ/หรือ Tier 2 โดยผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มผู้ประกอบการกิจการขนาดกลางและย่อม (SMEs) ที่มีประมาณ 1,756 ราย หรือคิดเป็นสัดส่วน 77% ของผู้ประกอบการผลิตชิ้นส่วนฯ ทั้งหมด

มิติที่ 2 ประเภทผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ แบ่งตามประเภทชิ้นส่วนฯ
ได้แก่ OEM และ REM โดยตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ของไทย ในปี 2565 มีมูลค่าราว 1.49 ล้านล้านบาท แบ่งเป็น ชิ้นส่วนประเภท OEM (Original Equipment Manufacturing) หรือชิ้นส่วนฯ ที่ป้อนให้กับโรงงานประกอบรถยนต์โดยตรง จะมีสัดส่วนประมาณ 30-40% ของมูลค่าตลาด และ ชิ้นส่วนฯ ประเภท REM (Replacement Equipment Manufacturing) หรือชิ้นส่วนฯ ประเภทอะไหล่ทดแทน มีสัดส่วนประมาณ 60-70% ของมูลค่าตลาด โดย ผู้ผลิตชิ้นส่วน Tier 1 และ Tier 2 สามารถเป็นได้ทั้งผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ ประเภท OEM และ/หรือ REM
มิติที่ 3 ประเภทผู้ผลิตชิ้นส่วนฯ แบ่งตามช่องทางการใช้งานหรือการจำหน่าย
ได้แก่ ตลาดในประเทศ และตลาดส่งออก โดยในปี 2565 ที่ผ่านมา ตลาดชิ้นส่วนยานยนต์พึ่งพาตลาดในประเทศเป็นมูลค่าราว 0.89-1.04 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนหลักถึง 60-70% ของมูลค่าตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งหมด ขณะที่ตลาดส่งออกมีมูลค่าราว 0.45-0.60 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 30-40% โดยมีคู่ค้าหลักเป็นกลุ่มประเทศที่เป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่สำคัญของโลก อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยมีสัดส่วนมูลค่าตลาดรวมกันเกือบ 40%

3 ปัจจัยหนุนตลาดชิ้นส่วนยานยนต์ไทยปี 2566-2567

แม้ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์เป็นหนึ่งในธุรกิจที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างมาก ทั้งในฝั่งของอุปทานและอุปสงค์ที่ถูกกระทบจากการ Lockdown ทั้งในและต่างประเทศ ส่งผลให้การผลิตเกิดการสะดุดทั้ง Supply Chain และยังกระทบด้านอุปสงค์จากการชะลอตัวของคำสั่งซื้อ และภาวะเศรษฐกิจที่หดตัวจากวิกฤต ทำให้ภาพรวมรายได้ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ ในปี 2563 ลดลง 15.1% จากปี 2562 ที่มีมูลค่าอยู่ที่ราว 1.66 ล้านล้านบาท โดยเป็นการลดลงของทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออก
อย่างไรก็ตาม เมื่อปัญหาต่างๆ เริ่มคลี่คลายลง Krungthai COMPASS ประเมินว่า ภาพรวมรายได้ของธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ทั้งตลาดในประเทศและตลาดส่งออกจะทยอยฟื้นตัวต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีมูลค่ารวม 1.51 ล้านล้านบาท ในปี 2566 ขยายตัว 1.3% และในปี 2567 มีโอกาสขยายตัวต่อเนื่องที่ระดับ 2.6% จาก 3 ปัจจัยสนับสนุนหลัก ได้แก่
ปัจจัยที่ 1: การขยายตัวของการผลิตรถยนต์ในประเทศ แรงหนุนสำคัญตลาดชิ้นส่วน OEM
ปัจจุบันประเทศไทยยังเป็นฐานการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปเป็นหลัก โดยมีการผลิตเฉลี่ยปีละประมาณ 1.8-1.9 ล้านคัน ซึ่งการผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายในจะใช้ชิ้นส่วน OEM มากถึง 2-3 หมื่นชิ้นต่อคัน ประกอบด้วยชิ้นส่วนหลักๆ 5 กลุ่ม
ได้แก่ กลุ่มระบบส่งกำลัง (Powertrain) ระบบช่วงล่าง (Suspension) ระบบไฟฟ้า (Electrical and Electronic) ตัวถัง (Body) และชิ้นส่วนอื่นๆ (Others) ดังนั้น ยอดการผลิตรถยนต์ที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ประเภท OEM โดยตรง

Krungthai COMPASS ประเมินว่า ยอดการผลิตรถยนต์ของไทยจะปรับตัวสูงขึ้น 3.5% ขึ้นมาแตะ 1.95 ล้านคันในปี 2566 และขยายตัวต่อเนื่อง 7.7% ไปที่ระดับ 2.10 ล้านคันในปี 2567 ซึ่งถือเป็นปัจจัยบวกโดยตรงต่อธุรกิจผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ โดยประมาณการยอดการผลิตรถยนต์ของเรามีความสอดคล้องกับมุมมองของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ซึ่งการขยายตัวของยอดการผลิตรถยนต์มีแรงหนุนหลักมาจาก
  • ปัญหาการขาดแคลนเซมิคอนดักเตอร์ที่เริ่มคลี่คลาย ทำให้การผลิตรถยนต์เพิ่มขึ้นจากคำสั่งซื้อที่คงค้าง
  • การฟื้นตัวของตลาดรถยนต์ในประเทศ ตามภาวะเศรษฐกิจไทยที่มีแนวโน้มฟื้นตัวที่ระดับ 3.4% เช่นเดียวกันกับตลาดส่งออกรถยนต์ที่สำคัญของไทย ได้แก่ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ซาอุดีอาระเบีย ญี่ปุ่น ซึ่งมีสัดส่วนการส่งออกกว่า 50% ของมูลค่าการส่งออกรถยนต์ทั้งหมด ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง
  • นโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า ทำให้หลายค่ายรถยนต์ที่เข้าร่วมโครงการเริ่มมีแผนการลงทุนที่ชัดเจนและบางค่ายเริ่มเดินสายการผลิตรถยนต์ไฟฟ้าแล้ว อย่างไรก็ดี การผลิตรถยนต์ไฟฟ้าใช้ชิ้นส่วนฯ ราว 2-3 พันชิ้นต่อคันเท่านั้น จึงเป็นปัจจัยท้าทายที่สำคัญของอุตสาหกรรมผลิตชิ้นส่วนรถยนต์อยู่พอสมควร
ปัจจัยที่ 2 : ปริมาณยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลบวกต่อตลาดชิ้นส่วนฯ REM
เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าการเปลี่ยนอะไหล่และชิ้นส่วนฯ มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นตามอายุการใช้งานของรถยนต์ โดย Krungthai COMPASS ประเมินว่า รถยนต์ที่มีอายุมากกว่า 5 ปีขึ้นไป มีแนวโน้มที่ต้องเปลี่ยนอะไหล่และชิ้นส่วนฯ ทดแทนของเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งชิ้นส่วนฯ ในกลุ่ม Fast Moving Parts อาทิ ไส้กรองน้ำมัน ไส้กรองอากาศ
ทั้งนี้ จากการประเมินค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนชิ้นส่วนฯ กลุ่ม Fast Moving Parts พบว่า รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี จะมีค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนอะไหล่และชิ้นส่วนฯ สูงกว่ารถยนต์ที่มีอายุการใช้งานน้อยกว่า 5 ปี อยู่ถึง 35%
และนอกจากจะต้องเปลี่ยนชิ้นส่วนกลุ่ม Fast Moving Parts แล้ว ยังมีชิ้นส่วนในกลุ่ม Common Parts อาทิ หม้อน้ำ กลุ่มชิ้นส่วนไฟส่องสว่าง ยางล้อรถยนต์ แบตเตอรี่ ที่ปัดน้ำฝน ผ้าเบรก ที่รัดเข็มขัดนิรภัย ชิ้นส่วนระบบช่วงล่าง ที่ต้องเปลี่ยนเมื่อชำรุดหรือเสื่อมสภาพตามอายุและระยะการใช้งาน ทำให้รถยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี เป็นกลุ่มเป้าหมายสำคัญของตลาดชิ้นส่วนฯ REM
โดยจำนวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง Krungthai COMPASS คาดว่า ในอีกสองปีข้างหน้า (ปี 2567) จำนวนรถยนต์และรถจักรยานยนต์ที่มีอายุการใช้งานมากกว่า 5 ปี จะเพิ่มขึ้น 10.7% อยู่ที่ระดับ 31.33 ล้านคัน ซึ่งจะส่งผลดีต่อตลาดชิ้นส่วนฯ ประเภท REM

อุตสาหกรรมยานยนต์

ปัจจัยที่ 3 : การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยยังมี Room to Grow อีกมาก
ตลาดชิ้นส่วนยานยนต์โลกเป็นตลาดที่ใหญ่ โดยในแต่ละปีทั่วโลกมีการนำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์รวม 5-6 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 20 ล้านล้านบาท โดยผู้นำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์รายใหญ่ของโลก คือ สหรัฐอเมริกา เยอรมนี จีน เม็กซิโก และฝรั่งเศส ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันกว่า 44% ของมูลค่านำเข้าชิ้นส่วนยานยนต์รวมทั้งโลก
ชิ้นส่วนยานยนต์เป็นอีกหนึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญของไทย และสร้างรายได้เข้าประเทศเฉลี่ยปีละ 4-5 แสนล้านบาท โดยมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ ปี 2565 มีสัดส่วนราว 5.1% ต่อ GDP เนื่องจากไทยมีความพร้อมด้านห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain) และมีความได้เปรียบด้านทำเลที่ตั้ง ทำให้ความสามารถในการแข่งขันในตลาดส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์อยู่ในระดับที่ดี
โดยไทยส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์เป็นอันดับที่ 13 ของโลก แต่ยังมี Market Share ในตลาดโลกเพียง 2.2% เท่านั้น แสดงให้เห็นว่าตลาดส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยยังมี Room to Grow ได้อีกมาก ซึ่งสินค้าส่งออกที่สำคัญ อาทิ ส่วนประกอบรถยนต์ ที่มีสัดส่วนประมาณ 67% รองลงมาจะเป็นเครื่องยนต์จุดระเบิดด้วยแรงอัด ส่วนประกอบเครื่องยนต์ และเครื่องยนต์จุดระเบิดด้วยประกายไฟ

ปี 2566-2567 อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ยังมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยเฉพาะในพื้นที่ EEC

สำหรับในปี 2566-2567 Krungthai COMPASS คาดว่าจะมีการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลักจาก
  • ปริมาณการผลิตรถยนต์ในตลาดโลกในปี 2566–2567 มีแนวโน้มเติบโต ที่ระดับ 4.0%YoY และ 5.3%YoY ตามลำดับ ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลล่าสุดของ S&P Global Mobility ที่ได้ประมาณการยอดการผลิตรถยนต์ทั่วโลกมีแนวโน้มขยายตัวต่อเนื่องที่ 4.0% ในปี 2566
  • การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ยังมี Room to Grow อีกมาก ข้อมูลจาก International Trade Centre พบว่า การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ของไทยมี Market Share เพียง 2.2% เมื่อเทียบกับมูลค่าการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์รวมทั่วโลก ถือเป็นโอกาสที่ดีของไทยในการเพิ่มสัดส่วนการส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ไปยังตลาดโลก
นอกจากนี้ การส่งออกชิ้นส่วนยานยนต์ยังได้รับปัจจัยบวกจาก
  • มาตรการสนับสนุนการค้าเสรี (Free trade) ล่าสุดไทยได้ให้สัตยาบันความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเริ่มบังคับใช้เมื่อต้นปี 2565 นับเป็นความตกลงการค้าเสรี (FTA) ที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีสมาชิก 15 ประเทศ ได้แก่ อาเซียน 10 ประเทศ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ทำให้ประเทศคู่ค้าที่เป็นสมาชิก RCEP ยกเลิกภาษีนำเข้าที่เก็บกับสินค้าไทย โดยลดภาษีเหลือ 0% ทันที
  • มาตรการส่งเสริมการลงทุนของ BOI อาทิ ยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล (3-8 ปี แล้วแต่กรณี) ยกเว้นอากรนำเข้าเครื่องจักร ยกเว้นอากรสินค้านำเข้าเพื่อวิจัย ยกเว้นอากรวัตถุดิบผลิตเพื่อส่งออก ซึ่งจะช่วยดึงดูดนักลงทุน และช่วยเพิ่มศักยภาพในการส่งออกได้มากขึ้น โดยในปี 2565 อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนฯ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) มูลค่ากว่า 7.1 หมื่นล้านบาท
New Generation of Automotive
นอกจากนี้ กลุ่มผู้ผลิตชิ้นส่วนยานยนต์ที่อยู่ใน Supply Chain ของยานยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ผลิตแบตเตอรี่ ชิ้นส่วนยานยนต์ไฟฟ้ากลุ่มระบบอิเล็กทรอนิกส์ควบคุมการส่งกำลัง และระบบมอเตอร์ไฟฟ้า จะได้รับอานิสงส์จากการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์สมัยใหม่ ซึ่งเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ภาครัฐส่งเสริมการลงทุนภายในเขตพื้นที่ EEC
โดยนโยบายสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้าจะเป็นแรงหนุนสำคัญให้การผลิตรถยนต์ BEV ของไทยเติบโตอย่างก้าวกระโดด และมีส่วนสำคัญที่ช่วยดึงดูดผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้า ให้เข้ามาตั้งฐานการผลิตในเขตพื้นที่ EEC ซึ่งปัจจุบันมีค่ายรถยนต์ต่างชาติที่เข้าร่วมโครงการ
ยกตัวอย่างเช่น “BYD” บริษัทผู้ผลิตยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำของจีนที่ได้เริ่มก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่จังหวัดระยอง ซึ่งคาดว่าจะทำให้เกิดการจ้างงานกว่า 10,000 ตำแหน่ง ทั้งนี้ ในปี 2565 อุตสาหกรรมยานยนต์และชิ้นส่วนเป็นอุตสาหกรรมเป้าหมายที่ลงทุนใน EEC สูงสุด มูลค่าการลงทุนรวม 78,198 ล้านบาท

ที่มา : Research Note “ส่องทิศทาง อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ไทย ปี 2566-2567 ยอดผลิตรถยนต์ฟื้น หนุนธุรกิจโตต่อเนื่อง” โดย วีระยา ทองเสือ นักวิเคราะห์ Krungthai Compass


อุตสาหกรรมเป้าหมายที่พร้อมเติบโต

กางแผนพัฒนา ‘อุตสาหกรรมพลังงานไฮโดรเจน’ ปี 2566 – 2578 ในจีน ต้นแบบการผลิตและการใช้พลังงานสะอาดครบวงจรของไทย

เจาะตลาด ส่องโอกาส & ความท้าทายของ อุตสาหกรรมการผลิตเสื้อผ้ารีไซเคิล ใน EEC

รับรู้ศักยภาพ ระบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคกลาง-ตะวันตก CWEC ฐานอุตสาหกรรมไฮเทคใหม่ของไทย