บัตรเครดิต คืออะไร มีกี่แบบ และมีประโยชน์อย่างไร
บัตรเครดิต

บัตรเครดิต คืออะไร มีกี่แบบ และมีประโยชน์อย่างไร

“หากมีบัตรพิเศษที่ใช้จ่ายแทนเงินได้ก็ดีสิ ฉันจะได้ไม่เสียหน้าเมื่อฉันลืมพกเงินมาในวันที่ต้องจ่ายค่าอาหารมื้อสำคัญ ไม่ก็หมดห่วงเรื่องความปลอดภัยของชีวิตตัวเองไปเลย หากฉันต้องออกจากบ้านไปพร้อมกับเงินที่แน่นจนทะลักออกมาจากกระเป๋าใบใหญ่”

นี่ไม่ใช่ประโยคพูดอย่างเป็นทางการของนายแฟรงค์ แมคนามารา (Frank McNamara) นักธุรกิจอเมริกันชนที่มีชีวิตอยู่ในช่วงกลาง ๆ ของศตวรรษที่ 20 แต่ด้วยแนวคิดนี้ เขาทำให้โลกได้รู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า ‘บัตรเครดิต’ ในเวลาต่อมา และในบทความนี้ผมจะพาเพื่อน ๆ มารู้จักกับเจ้าบัตรพิเศษใบนี้ ที่ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตทางการเงินของผู้คนในปัจจุบัน รวมถึงประเภทของบัตร ข้อดี และวิธีการทำบัตรเครดิตเปรียบเทียบบัตรของแต่ละธนาคารไปด้วยกันครับ   

บัตรเครดิตคืออะไร

Credit Card หรือ บัตรเครดิตคือบัตรอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้จ่ายแทนเงินสด เป็นหนึ่งในประเภทของสินเชื่อส่วนบุคคลที่ให้บริการโดยธนาคารพาณิชย์หรือสถาบันทางการเงินต่างๆ หลักการทำงานของบัตรเครดิตคือการยืมเงินจากธนาคาร เพื่อชำระค่าใช้จ่ายก่อน แล้วจึงจ่ายคืนตามระยะเวลาที่กำหนดในสัญญาให้กับธนาคารในภายหลัง (หากเกินเวลาที่กำหนดตามสัญญาผู้ใช้บัตครเครดิตจะถูกคิดดอกเบี้ยด้วย) โดยบัตรเครดิตแผ่นสี่เหลี่ยมนี้ล่ะครับ เป็นสื่อกลางใช้จ่ายแทนเงิน และด้วยลักษณะการกู้ยืมมาจ่ายก่อนค่อยใช้คืนทีหลังนี่เอง ทำให้บัตรเครดิตมีชื่อเรียกอีกชื่อว่าบัตรสินเชื่อ

มารู้จักประเภทของบัตรเครดิตกัน

ภาพใช้อธิบายว่าบัตรเครดิตแบบไหนดีกว่าระหว่างแคชแบ็คกับพ้อยท์

ต่อมา เราจะมาทำความรู้จักกับสิ่งที่เรียกว่า Cash Back, Point ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่เรียกได้ว่าทำให้ผู้คนหันมาสนใจการใช้บัตรเครดิตมากขึ้น แถมยังมีคุณประโยชน์มากมายต่อผู้ใช้บัตรอีกด้วยนะครับ และที่ขาดไปไม่ได้เลย ผมจะพาเพื่อนๆ มาทำความรู้จักชนิดของบัตรเครดิตในแบบต่างๆ ด้วยครับ

Cash Back (เครดิตเงินคืน)

เครดิตเงินคืน หรือ Cash Back คือหนึ่งในโปรโมชั่นที่ทางธนาคารมอบให้กับผู้ถือบัตรเครดิต ซึ่งทางธนาคารจะคืนเงินให้กับผู้ถือบัตรหลังจากมีการชำระเงินด้วยบัตรเครดิต โดยจำนวนเงินคืนที่ได้นั้นอาจคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากยอดจ่ายชำระ หรือยอดเงินตามที่กำหนดในแต่ละโปรโมชั่น และระยะเวลาในการคืนเงินนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของแต่ละโปรโมชั่นด้วยเช่นกัน ซึ่งอาจจะเป็นรอบบัญชีเดือนถัดไป เป็นต้นครับ

ตัวอย่างเช่น โปรโมชั่น Cash Bank จากบัตรเครดิตกสิกร Line Point ที่เสนอโปรโมชั่น Cash Back 2% ให้กับทุกยอดรูดใช้จ่ายจากบัตรเครดิต เช่น ใช้จ่าย 2,000 บาท ในร้านค้าที่ร่วมรายการ ก็จะได้เงินคืนเป็น Line Point ตามโปรโมชั่นที่ 2% คือ 40 Line Point หรือเทียบเทียบกับเงินสดคืน 40 บาทนั่นเองครับ

Point (คะแนนสะสม)

คะแนนสะสม เป็นหนึ่งในกิจกรรมทางการตลาดที่ทางธนาคารมอบให้ผู้ถือบัตรเช่นกันครับ โดยแต้มคะแนนเหล่านี้จะเกิดขึ้นเมื่อผู้ถือบัตรใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิต และจะได้คืนกลับมาเป็นแต้มสะสมอัตโนมัติครับ ซึ่งเงื่อนไขในการสะสมแต้มก็ขึ้นอยู่กับธนาคารเจ้าของบัตรเครดิตนั้นๆ ครับ โดยส่วนมากเริ่มต้นอยู่ที่ 25 บาทต่อ 1 คะแนน เมื่อสะสมคะแนนแล้วสามารถนำไปใช้สิทธิประโยชน์จากแต้มเหล่านั้นได้ อาทิ

  • ใช้เป็นส่วนลดในการชำระสินค้าหรือบริการต่างๆ
  • สามารถรับสินค้าสมนาคุณ หากมีคะแนนสะสมครบตามที่เงื่อนไขกำหนด
  • สามารถนำไปแลกเป็นตั๋วภาพยนตร์ เครื่องบิน หรือที่พักระหว่างการเดินทางได้
  • สามารถนำไปแลกเป็นเครดิตเงินคืนได้เช่นกันครับ ซึ่งจะคล้ายกับเนื้อหาที่ได้บอกไปก่อนหน้านี้ แตกต่างกันนิดนึงตรงเงื่อนไขการแลกเช่น ใช้ 1,000 คะแนน แลกรับเครดิตเงินคืนได้ 13% หรือ 130 บาทนั่นเองครับ


ชนิดของบัตรเครดิตแต่ละแบบ

บัตรเครดิตมีหลายชนิดและมีคุณสมบัติที่แตกต่างกันไป โดยปกติแล้วจะแบ่งเป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้ครับ

  1. บัตรเครดิตที่มีค่าธรรมเนียมต่ำ ซึ่งเป็นทางเลือกที่ดีสำหรับผู้ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย หรือมีแนวโน้มว่าจะใช้งานบัตรเครดิตไม่บ่อยมากนัก
  2. บัตรเครดิตที่มีสิทธิประโยชน์พิเศษ เหมาะกับผู้ที่ชื่นชอบการใช้สิทธิประโยชน์ต่างๆ ที่ทางเจ้าของบัตรกำหนดให้ ซึ่งจะเพิ่มประสิทธิภาพในการใช้บัตรด้วยเช่นกันครับ โดยปัจจุบันธนาคารหรือสถาบันการเงินก็มักจะออกแบบมาให้ตรงกับแต่ละ Lifestyle เช่น ชอบเที่ยว ชอบทานอาหารในห้างดัง หรือชอบที่จะช้อปปิ้งออนไลน์ ก็จะมีหน้าบัตรแตกต่างกันออกไปครับ
  3. บัตรเครดิตที่ใช้ได้ทั่วโลก เหมาะสำหรับผู้ที่เดินทางไปต่างประเทศบ่อยๆ ซึ่งบัตรชนิดนี้จะช่วยลดข้อจำกัดในการชำระด้วยบัตรเครดิตให้กับผู็ถือบัตรครับ ว่าง่าย ๆ ก็ “ใช้บัตรจ่ายที่ไหน เขาก็รับล่ะครับ” รวมถึงส่วนใหญ่มักมีจุดเด่นเรื่องการสะสมเลขไมล์ด้วยครับ
  4. บัตรเครดิตที่เชื่อมโยงกับโปรแกรมสะสมแต้ม เหมาะสำหรับผู้ชื่นชอบการสะสมแต้มเพื่อนำไปเป็นส่วนลด อาทิ ค่าจองโรงแรม ค่าอาหาร เป็นต้นครับ

นอกจากนี้ยังมีบัตรเครดิตอื่นๆ ที่มีคุณสมบัติและสิ่งที่เด่นชัดเจนต่างออกไป เช่น บัตรเครดิตสำหรับนักเรียนหรือนักศึกษา บัตรเครดิตสำหรับคนที่มีรายได้ต่ำ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยลักษณะของแต่ละประเภทขึ้นอยู่กับผู้ออกบัตรเครดิตและความต้องการของผู้ใช้บัตรเครดิตด้วย

ระหว่างบัตรเครดิต กับ บัตรกดเงินสด ต่างกันยังไง?

ภาพใช้สำหรับเปรียบเทียบว่าบัตรเครดิต กับ บัตรกดเงินสด ต่างกันยังไง?

มีบัตรอีกประเภทหนึ่งที่น่าสนใจนั่นก็คือบัตรกดเงินสดครับ แต่บัตร 2 ชนิดนี้มีรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกัน ซึ่งจะเป็นยังไงนั้น ผมจะมาอธิบายให้เข้าใจ

ความแตกต่างของ บัตรเครดิต กับ บัตรกดเงินสด

การชำระเงิน

  • บัตรเครดิตช่วยให้ผู้ใช้ชำระเงินได้โดยไม่ต้องใช้เงินสด และสามารถชำระคืนได้ตามรอบเวลาการใช้บัตรได้โดยไม่เสียดอกเบี้ย เรียกช่วงนี้ว่า ระยะปลอดดอกเบี้ย ซึ่งมักจะอยู่ที่ 30-50 วัน ตามเงื่อนไขของแต่ละบัตรเครดิต
  • ผู้ใช้บัตรบัตรกดเงินสด จะได้รับเงินสดจากธนาคารทันทีเมื่อใช้งานบัตร และต้องชำระเงินคืนภายในช่วงเวลาที่กำหนด ซึ่งบัตรกดเงินสดมักจะมีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่าบัตรเครดิต

การใช้งานบัตร

  • บัตรเครดิตใช้ได้หลายที่และสามารถชำระเงินในร้านค้าหรือซื้อสินค้าออนไลน์ได้โดยไม่ต้องใช้เงินสด
  • บัตรกดเงินสดใช้ได้ในการถอนเงินสดจากเครื่อง ATM และจึงค่อยนำไปใช้จ่าย ไม่สามารถใช้ตัวบัตรใช้จ่ายชำระได้เลยทันที หรืออีกกรณีที่ใช้งานได้คือการรูดผ่อนชำระค่าสินผ่านร้านค้าที่ร่วมรายการ ซึ่งก็จะเป็นการผ่อนสินค้าทั้งแบบ 0% หรือมีดอกเบี้ยตามแต่ละโปรโมชันกำหนด

การคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต คิดยังไง?

เคยสงสัยกันไหมครับว่าบัตรเครดิตที่เราใช้กันอยู่เนี่ย คิดดอกเบี้ยกันยังไง แล้วที่บางคนก็บอกดอกเบี้ยบัตรเครดิตถูก บางคนก็บอกว่าแพง ที่จริงแล้วมันถูกหรือแพงจริงๆหรือเปล่า เรามาดูวิธีคิดดอกเบี้ยบัตรเครดิตกันครับ

การคิดดอกเบี้ย

อย่างที่ผมบอกไปข้างต้นครับว่า บัตรเครดิตเองก็เป็นผลิตภัณฑ์สินเชื่อชนิดหนึ่งเหมือนกันครับ ดังนั้นจึงมีกำหนดการใช้เงินคืนเป็นรอบที่ชัดเจน หากชำคืนเงินคืนช้ากว่ากำหนด ธนาคารก็จะคิดดอกเบี้ยกู้ยืมจากเราครับ เราจึงต้องคืนเงินต้นพร้อมดอกเบี้ย โดยวิธีการคิดดอกเบี้ยจะคิดเป็น 2 ส่วนครับ

ส่วนที่ 1 คือ “คิดดอกเบี้ยจากยอดทั้งหมด” ตั้งแต่วันที่ใช้บัตรชำระถึงวันที่ชำระเงินคืนขั้นต่ำ

ส่วนที่ 2 คือ “คิดจากเงินคงเหลือหลังจากจ่ายขั้นต่ำแล้ว” ตั้งแต่วันที่ชำระขั้นต่ำถึงวันสรุปยอดเดือนถัดไป 

ซึ่งยอดรวมของดอกเบี้ยทั้ง 2 ส่วนนี้จะถูกเรียกเก็บคุณในเดือนถัดไป โดยมีวิธีคิดตามตัวอย่างนี้เลยครับ

ตัวอย่าง: สมมุติว่าเราใช้บัตรเครดิตซื้อคอมพิวเตอร์ในวันที่ 1 มีนาคม จำนวนเงิน 25,000 บาท ธนาคารสรุปยอดใช้จ่าย ณ วันที่ 25 ของทุกเดือน และกำหนดชำระทุกวันที่ 10 ของเดือนถัดไป โดยธนาคารจะคิดดอกเบี้ย 15% ต่อปี ต่อมาวันที่ 10 เมษายน เราตัดสินใจจะชำระขั้นต่ำ 10% นั่นคือ 2,500 บาท ในรอบบิลถัดไปวันที่ 25 เมษายน เราจะถูกคิดดอกเบี้ยดังนี้



ส่วนที่ 1: คิดดอกเบี้ยจากยอดทั้งหมด 25,000 บาท

25,000*15%*40วัน(1 ม.ค.-10 เม.ย.)/365= 410.96 บาท

ส่วนที่ 2 : คิดดอกเบี้ยจากยอดคงเหลือ: 22,500 บาท

22,500*15%*16วัน (10 เม.ย.-25เม.ย.)/365= 147.95 บาท

ดังนั้นดอกเบี้ยที่ถูกเรียกเก็บคือ 410.96+147.95 = 558.91 บาท

เมื่อรวมกับยอดหนี้คงค้างแล้ว จะมียอดเรียกเก็บในรอบบิลถัดไป 22,500+558.91 = 23,058.91 บาท

มีค่าธรรมเนียมในการสมัครหรือไม่?

นอกจากเรื่องดอกเบี้ยที่เพื่อนๆ ต้องทราบและเข้าใจก่อนแล้ว ค่าธรรมเนียมบัตรเครดิตก็ถือเป็นอีกเรื่องที่จะเข้าใจครับ หลักๆ ในส่วนของค่าธรรมเนียมจะมีคือ ค่าธรรมเนียมแรกเข้า และค่าธรรมเนียมรายปีในการรักษาการใช้งานบัตรต่อเนื่องครับ เช่น บางบัตรเครดิตมีค่าธรรมเนียมแรกเข้า 1,000 บาท และค่าธรรมเนียมรายปี ปีละ 3,000 บาท

แต่ในปัจจุบันส่วนใหญ่ หลายบัตรมักจะไม่มีค่าธรรมเนียมแรกเข้า และฟรีค่าธรรมเนียมรายปี เมื่อใช้จ่ายบัตรถึงยอดขั้นต่ำที่กำหนดไว้ในแต่ละปีครับ (บางบัตร ใช้จำนวนครั้งการใช้บัตรต่อปีเป็นเงื่อนไขก็มีครับ) และบัตรเครดิตก็ไม่มีการเก็บค่าธรรมเนียมเลยก็มีครับ จะมีบัตรเครดิตไหนบ้าง มาลองดูข้อมูลที่ผมยกตัวอย่างมาให้ต่อนะครับ

ข้อดีของบัตรเครดิตที่คุณต้องรู้

หากเราเข้าใจบัตรเครดิต มีวินัย และใช้อย่างชาญฉลาด เจ้าบัตรใบนี้จะเพิ่มคุณประโยชน์ให้กับการเงินของเรามากมายครับ และนี่คือตัวอย่างข้อดีของบัตรเครดิตที่ผมจะมาแนะนำเพื่อนๆ ครับ

  1. ความสะดวกสบาย การใช้บัตรเครดิตทำให้เราไม่ต้องพกเงินสดไปทุกที่ และไม่ต้องกังวลเรื่องการหาเงินทอน เพียงแค่ใช้บัตรเครดิตในการชำระเงินได้ทันที
  2. โปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์ บัตรเครดิตมีโปรโมชั่นและสิทธิประโยชน์มากมาย เช่น การสะสมแต้ม, ส่วนลด, โปรโมชั่นการช้อปปิ้ง, การเดินทางและการใช้บริการต่างๆ
  3. ความปลอดภัย การใช้บัตรเครดิตช่วยป้องกันความเสี่ยงในการถูกขโมยเงิน นอกจากนี้ บัตรเครดิตยังมีระบบความปลอดภัยที่ทันสมัย เช่น ระบบตรวจสอบประวัติการใช้งาน และระบบการยืนยันตัวตน
  4. การสร้างประวัติศาสตร์เครดิตบูโร การใช้บัตรเครดิตได้ช่วยสร้างประวัติศาสตร์เครดิตบูโรของเราได้เช่นกันครับ หากเราใช้อย่างรอบคอบและชำระเงินตรงเวลา เครดิตของเราจะมีความน่าเชื่อถือมากขึ้นและช่วยให้เราสามารถขอสินเชื่อได้ง่ายขึ้นในอนาคต


คุณสมบัติเบื้องต้นในการทำบัตรเครดิต

ภาพใช้อธิบายว่าถ้าจะทำบัตรเครดิตจะต้องมีคุณสมบัติอะไรบ้าง

คุณสมบัติในการทำบัตรเครดิตนั้นมีเป็นรายละเอียดย่อยๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละธนาคารครับ แต่สำหรับข้อหลักๆ แล้วจะมีประมาณนี้เลยครับ คือ

1.1 ฐานเงินเดือน

ฐานเงินเดือนเป็นอีกหนึ่งในปัจจัยที่ธนาคารจะใช้พิจารณาในการอนุมัติทำบัตรเครดิต เพราะฐานเงินเดือนนั้นบ่งบอกถึงความสามารถในการใช้หนี้ของแต่ละคนว่ามีโอกาสในการจ่ายหนี้ได้ตรงเวลาหรือครบตามยอดขั้นต่ำหรือไม่ ซึ่งส่วนใหญ่จะมีฐานเงินเดือนขั้นต่ำอยู่ที่ 15,000 บาทและต้องเป็นรายได้ประจำด้วยนะครับ

1.2 ระยะเวลาการทำงาน 

ส่วนต่อมาคือระยะเวลาในการทำงาน ซึ่งต้องทำงานมาแล้วไม่น้อยกว่า 6 เดือน โดยเหตุผลคือ เราจำเป็นต้องยื่นสลิปเงินเดือน และ Statement เป็นเอกสารประกอบการทำบัตรเครดิตนั่นเองครับ ดังนั้นใครที่เป็น First Jobber หรือคนที่เริ่มงานใหม่ได้ไม่เกิน 6 เดือนยังไม่มีสิทธิ์ทำบัตรเครดิตได้นะครับ (รออีกหน่อยนะครับ ฮึบ ๆ) 

1.3 ประวัติการชำระหนี้

ทางธนาคารสามารถตรวจสอบประวัติการชำระหนี้ของเราได้จากข้อมูลเครดิตของบริษัท เครดิตแห่งชาติ จำกัด— National  Credit Bureau ครับ ซึ่งหากเรามีประวัติค้างชำระหนี้ จะทำให้มีโอกาสในการอนุมัติบัตรค่อนข้างยากหรือบางแห่งอาจจะไม่อนุมัติเลยครับ ดังนั้นเพื่อน ๆ อย่าลืมชำระหนี้เก่าให้เสร็จ ก่อนจะสมัครบัตรเครดิตนะครับ

เลือกบัตรเครดิตธนาคารไหนดี

สำหรับเพื่อน ๆ ที่กำลังมองหาบัตรเครดิตที่เหมาะกับตัวเองสักใบ ผมขอบอกเลยครับว่าในทุกวันนี้มีให้เราเลือกมากมายหลากหลายบัตรกันมากเลยครับ ซึ่งแต่บัตรก็มีจุดประสงค์และรูปแบบการใช้งานที่แตกต่างกันไป และแต่ละธนาคารเองก็มีโปรโมชั่นเอาใจดึงดูดผู้คนให้มาสมัครกันอย่างไม่ขาดสาย โดยวันนี้ผมได้ยกตัวอย่างบัตรเครดิตจากธนาคารบางแห่งมาให้เพื่อน ๆ ครับ ซึ่งผมไม่สามารถบอกได้ว่าบัตรของธนาคารไหนดีที่สุด แต่เอาเป็นว่าเราไปลองศึกษาดูกันดีกว่าครับว่า บัตรไหนตอบโจทย์การใช้งานของเพื่อน ๆ มากที่สุด

บัตรเครดิต กรุงศรี (ไลฟ์สไตล์ การกิน)

สำหรับใครที่ชื่นชอบในการกิน อาจเลือกบัตรเครดิต กรุงศรี เพราะเป็นตัวเลือกที่ตอบโจทย์เพื่อน ๆ ครับ เพราะมีร้านอาหารชื่อดังมากมายที่เข้าร่วมและรับชำระบัตรเครดิตของทางกรุงศรีด้วยครับ ซึ่งนอกจากจะได้รับส่วนลด แต้มสะสมแล้ว อาจมีบางเมนูที่เสริฟเป็นของสมนาคุณให้กับผู้ถือบัตรด้วยนะครับ

บัตรเครดิต KTC  (ไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้ง)

สำหรับบัตรเครดิตของ KTC ไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งจะเหมาะกับเพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบการช้อปปิ้งครับ เพราะมีห้างดังร้านค้าออนไลน์หลายเจ้าเป็นพันธมิตรร่วมอยู่ในบัตรเครดิตของธนาคารแห่งนี้ ซึ่งนอกจากจะได้ส่วนลดในการจับจ่ายใช้สอย เขายังมีการสะสมแต้มพิเศษขั้นต่ำ 2-3 เท่าจากค่าใช้จ่ายปกติ ซึ่งนั่นทำให้เราสะสมแต้มได้เร็วขึ้น และมีเปอร์เซ็นรับเงินคืนที่สูงด้วยครับ

บัตรเครดิต SCB (ไลฟ์สไตล์ท่องเที่ยว)

ในส่วนของเพื่อน ๆ ที่ชื่นชอบในการท่องเที่ยวหรือมีโอกาสที่ต้องเดินทางทั้งในและต่างประเทศบ่อย ๆ อาจเลือกบัตรเครดิต SCB เพราะสามารถตอบโจทย์ความต้องการนี้ได้ครับ เพราะบัตรของเขาสามารถสะสมไมล์การเดินทางได้ หรือนำคะแนนสะสมมาแลกซื้อ หรือเป็นส่วนลดค่าตั๋วเครื่องบินในการเดินทาง หรือโรงแรมได้ด้วยครับ และยังมีสิทธิพิเศษในการเข้าเลานจ์ของสายการบินที่เป็นพันธมิตรของทางธนาคารได้อีกด้วยนะครับ

Refinn ตัวช่วยในการทำบัตรเครดิต

เป็นไงบ้างครับสำหรับเรื่องราวของบัตรเครดิตในวันนี้ ผมเชื่อว่าบทความนี้จะทำให้เพื่อน ๆ เข้าใจบัตรเครดิตมากขึ้นครับ และหากเพื่อน ๆ คนไหนสนใจจะมีบัตรเครดิตของตัวเองสักใบแต่ไม่รู้จะเริ่มยังไงและเลือกแบบไหนให้ตอบโจทย์กับความต้องการของตัวเอง ทาง Refinn ได้เห็นถึงความต้องการนี้เลยอยากมาเป็นเพื่อนคู่คิดพาเพื่อน ๆ ไปพบกับบัตรเครดิตที่เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของตัวเอง โดย Refinn มีบริการทำบัตรเครดิตออนไลน์จากธนาคารชั้นนำด้วยเช่นกันครับ เรียกได้ว่าไม่ต้องหาข้อมูลเองแต่ให้ทางผู้เชี่ยวชาญอย่าง Refinn หาให้ สะดวก รวดเร็ว และไว้ใจได้ นอกจากบัตรเครดิตเเล้ว Refinn ยังมีบริการอื่นๆอีกด้วยไม่ว่าจะเป็น รีไฟแนนซ์บ้าน บ้านแลกเงิน รีไฟแนนซ์รถ และอื่นๆอีกมากมาย เพียงเเค่คลิก Refinn

สรุปบัตรเครดิต

แม้บัตรเครดิตนั้นจะเกิดขึ้นมาในช่วงไม่ถึง 100 ปี แต่ก็ได้เปลี่ยนวิถีชีวิตในการใช้เงินของผู้คนไปหลากหลายรูปแบบครับ บ่อยครั้งเราอาจจะได้ยินเรื่องหนี้บัตรเครดิตที่ฟังดูแล้วน่ากลัว และไม่กล้าที่จะเปิดใจลอง แต่ผมขอเป็นอีกหนึ่งเสียงครับว่า เจ้าบัตรเครดิตนี้จะเป็นตัวช่วยในการลดภาระทางการเงิน และให้คุณประโยชน์ต่อวิถีชีวิตในการใช้เงินของเราเช่นกัน หากเราศึกษาและเข้าใจเข้าบัตรนี้อย่างถ่องแท้ รวมถึงการวางแผนการใช้จ่ายอย่างเป็นระบบ และมีวินัยทางการเงินที่ดี ดังนั้นแล้ว หากเพื่อน ๆ คนไหนสนใจใช้บัตรเครดิต อย่าลืมศึกษาข้อมูลในทุก ๆ ด้านให้ดีก่อนนะครับ  

เผยแพร่เมื่อวันที่ 15 ก.ย. 2566
Refinn Writer
ช่วยเปรียบเทียบโปรโมชั่นที่ประหยัดดอกเบี้ยที่สุด ฟรี ไม่มีค่าบริการเพิ่มเติม