อำพัน(Amber) เป็นซากดึกดำบรรพ์ของยางต้นไม้(ไม่ใช่น้ำเลี้ยง) ซึ่งได้รับความนิยมในเรื่องของสีและความงดงามตามธรรมชาติตั้งแต่ยุคหิน(Neolithic times) มีคุณค่ามากตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงสมัยปัจจุบัน เป็นอัญมณีสีเหลืองอ่อนจนถึงเหลืองเข้ม สีน้ำผึ้ง สีส้มจนถึงสีน้ำตาลเข้ม สีแดงถูกเรียกว่า “อำพันสีเชอร์รี่(Cherry Amber)” ประเภทที่หายากอีก คือ สีเขียว โดยสีที่หายากที่สุดเป็น อำพันสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นของประเทศสาธารณรัฐโดมินิกัน และประเทศอินโดนิเซีย สำหรับอำพันสีดำไม่นับเป็นอัมพัน ส่วนใหญ่จะเป็นเจทมากกว่า อำพันถูกทำเป็นวัตถุสำหรับงานตกแต่งหลากหลายชนิด รวมถึงอำพันถูกนำมาใช้เป็นส่วนผสมในน้ำหอม เป็นยาในการแพทย์แผนโบราณและใช้เป็นเครื่องประดับ
มันเป็นสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่เกิดจากพืช(ส่วนใหญ่เกิดจากพืชในตระกูลสน) ซึ่งไม่ใช่น้ำเลี้ยงที่อยู่ภายใน แต่เป็นยางที่พืชจะหลั่งออกมาเพื่อรักษาแผลหรือลดอาการบาดเจ็บจากรอยขูดขีด หรือการกระแทกต่างๆ เมื่อมันไหลออกจากต้นก็จะสัมผัสกับสิ่งมีชีวิตโดยรอบ เช่น มด แมลง หรือขนของสิ่งมีชีวิต รวมถึงต้นไม้ และใบไม้รอบข้าง และแข็งอยู่อย่างนั้น จนเกิดการพัดพาโดยน้ำ หรือการเปลี่ยนแปลงของเปลือกโลก และไหลลงทะเล กลายเป็นตะกอนที่พื้นทะเล หรือโดนทับถมอยู่บนบกในบริเวณที่มันเกิดขึ้น เมื่อมันเป็นตะกอนที่ถูกทับถม และได้รับความร้อนและแรงดันจากเปลือกโลก ทำให้ยางไม้ที่อ่อนตัวเริ่มกลายสภาพเป็นแข็งตัวในขั้นต้น โดยเรียกว่า “โคปอล(Copal)” จนมันได้รับความร้อนและแรงดันอย่างต่อเนื่อง เป็นระยะเวลาหนึ่งก็จะกลายเป็น “อำพัน(Amber)” นั่นเอง ไม่ใช่ว่าชนิดของยางไม้ทุกชนิดจะสามารถเกิดเป็นอำพันได้ ชนิดของยางไม้นั้นต้องทนต่อการสลายตัว ต้นไม้จำนวนมากผลิตยาง แต่ในแหล่งที่เกิดส่วนใหญ่จะถูกย่อยสลายตามกระบวนการทางกายภาพและทางชีววิทยา เช่น การสัมผัสกับแสงแดด ฝน โดนเชื้อจุลินทรีย์ย่อยสลาย(เช่น เชื้อแบคทีเรีย และเชื้อรา) และอุณหภูมิในชั้นตะกอนที่สูงเกินไป อาจทำให้ตัวยางดังกล่าวสลายตัวได้
ส่วนประกอบ สีและคุณสมบัติทางกายภาพอื่นๆ ของอำพันทั้งหมดจะแตกต่างกันไป ตามอายุ สภาพการตกตะกอนและชนิดของต้นไม้ที่ผลิตยาง โดยพบอำพันในตะกอนของหินจากยุคคาร์บอนิเฟอร์รัส(Carboniferous age) จนถึงยุคควอเทอนารี( Quaternary age) แต่พบหนาแน่นที่สุดคือ ตะกอนในยุคครีเทเชีย(Cretaceous) และเทอร์ชิอารี่(Tertiary) ด้านล่างเป็นกรอบเวลาทางธรณีวิทยาที่เกี่ยวกับการก่อตัวของอำพัน
ยุค |
ช่วงเวลา |
ประเทศ |
คาร์บอนิเฟอรัส (Carboniferous) |
360-285 ล้านปีก่อน |
อังกฤษ และอเมริกา |
เพอร์เมียน (Permian) |
285-245 ล้านปีก่อน |
รัสเซีย |
ไทแอสสิค(Triassic) |
245-215 ล้านปีก่อน |
ออสเตรีย |
จูราสสิค(Jurassic) |
215-145 ล้านปีก่อน |
เดนมาร์ก |
ครีทาเชียส (Cretaceous) |
145-65 ล้านปีก่อน |
อเมริกา แคนาดา เม็กซิโก บราซิล โปแลนด์ เดนมาร์ก กรีนแลนด์ ออสเตรีย สวิสเซอร์แลนด์ ฮังการี สเปน ฝรั่งเศส อังกฤษ อิสราเอล เลบานอน รัสเซีย พม่า ญี่ปุ่น เกาะบอร์เนียว |
เทอชิอารี่(Tertiary) |
65-2 ล้านปีก้อน |
สวีเดน โปแลนด์ เยอรมัน เดนมาร์ก ลิทัวเนีย แลตเวีย รัสเซีย อาร์เมเนีย อาเซอร์ไบจัน ยูเครน โรมันเนีย อังกฤษ อิตาลี ฮอลแลนด์ ไนจีเรีย ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ อินโดนิเซีย ญี่ปุ่น พม่า จีน อาร์เจนตินา บราซิล อิกัวดอร์ ชิลี โคลอมเบีย เฮติ โดมินิกัน เม็กซิโก และอเมริกา |
ควอเทอนารี่ (Quaternary) |
2 ล้านปีก่อนถึงยุคปัจจุบัน |
อิสราเอล แองโกลา แทนซาเนีย เซียราลีโอน คองโก มาดากัสการ์ อินเดีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ อเมริกา สวีเดน เยอรมัน โปแลนด์ |
จากตารางเราจะเห็นอายุของอำพันในแต่ละแหล่ง แต่ละประเทศ โดยอำพันที่จะมีความแข็งจะเป็นอำพันที่เกิดในแหล่งกำเนิด คืออยู่กับที่มากกว่า อำพันที่เกิดจากการพัดพาไปที่อื่น และมักอยู่ในช่วงยุค เทอชิอารี่และควอเทอนารี่ นอกจากนี้ ยางไม้ที่เกิดการทับถมในช่วงไม่กี่ร้อยปีจนไม่กี่ล้านปี ไม่นับเป็นอัมพัน แต่เรียกว่า “โคปอล(Copal)”
ที่มาของชื่อ "อำพัน(Amber)"
คำว่า "Amber" ในภาษาอังกฤษมาจากรากในภาษาอาหรับ "anbar(عنبر)" (ภาษาเปอร์เซียกลางเรียกว่า "แอมบาร์(Ambar)") ภาษาละตินกลาง "แอมบาร์(Ambar)" และภาษาฝรั่งเศสกลาง "แอมเบอร์(ambre)" คำนี้ถูกนำมาใช้ในภาษาอังกฤษยุคกลางในศตวรรษที่ 14 โดยหมายถึง สิ่งที่รู้จักกันในชื่อ แอมเบอกริช(ambergris) (ambre gris แปลว่า อำพันสีเทา(Grey Amber)) ซึ่งเป็นสารคล้ายขี้ผึ้งที่เป็นของแข็งที่ได้จากสเปิร์มของปลาวาฬ ในขณะที่ภาษาในช่วงยุคโรแมนติก ความรู้สึกของคำนี้ได้ใช้ในความหมายถึง อำพันสีเหลืองจากทะเลบอลติก ตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่ 13 เป็นต้นมา ในตอนแรกใช้เรียกเฉพาะอำพันสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลือง(ambre jaune) และความหมายนี้ถูกนำมาใช้เป็นภาษาอังกฤษในช่วงต้นศตวรรษที่ 15 ขณะที่การใช้งานของคำว่า "แอมเบอกริช(ambergris)" เริ่มจางหายไปในความรู้สึกหลักของคำนี้
ทั้งสองสาร ("อำพันสีเทา" และ "อำพันสีเหลือง") กลายเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้อง และทำให้สับสนเพราะทั้งคู่ถูกพบอยู่บนชายหาดได้เหมือนกัน ในขณะที่อำพันสีเทามีความหนาแน่นน้อยกว่าน้ำและลอยอยู่บนผิวน้ำ ในขณะที่อำพันสีเหลืองมีความหนาแน่นมากกว่าที่จะลอยบนผิวน้ำ
ชื่อโบราณสำหรับอำพันในภาษาละตินเรียกว่า "อิเลกตรัม(electrum)" และกรีกโบราณ "อิเลคตรอน((ἤλεκτρον) (ēlektron))" มีความเกี่ยวข้องกับ ἠλέκτωρ (ēlektōr) ที่มีความหมายว่า "แสงแดด" ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับตำนานที่ว่า เมื่อ แฟตัน(Phaton)ลูกชายของ เฮลิออส(Helios)(เทพแห่งดวงอาทิตย์) ถูกฆ่าตาย น้องสาวของเขาได้ไว้ทุกข์และกลายเป็นต้นไม้ชนิดหนึ่ง โดยน้ำตาของต้นไม้ ได้กลายเป็นอำพัน โดยชาวกรีกโบราณได้ให้ชื่อแก่ อำพัน ว่า อิเลคตรัม เนื่องจากความสามารถในการเก็บประจุ และมีไฟฟ้าสถิต
ตำนานและประวัติของอำพัน
อำพันเกี่ยวข้องกับดวงอาทิตย์ หากเจียรจนเป็นรูปทรงหยดน้ำ สร้างความเชื่อมโยงกับน้ำตาในตำนานเทพเจ้ากรีกและลิทัวเนียจำนวนมาก ถือเป็นอัญมณีแห่งความเด็ดเดี่ยว เพราะสามารถเก็บรักษาร่างของสิ่งมีชีวิตไว้ได้อย่างสมบูรณ์ ถูกนำมาใช้เพื่อเป็นเกียรติแก่คนตายในพิธีศพ และถูกวางไว้ในหีบหรือสถานที่เก็บศพเพื่อปกป้องชีวิตในชีวิตหลังความตาย อำพันเป็นที่รู้จักกันทั่วไปว่าเป็นหินป้องกันสำหรับเด็ก และตลอดประวัติศาสตร์ก็มีเรื่องราวเกี่ยวกับลูกปัด วางไว้รอบคอเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอันตรายและลดอาการปวดฟัน ใช้เป็นยาโดยบดเป็นผงผสมกับน้ำ น้ำมันหรือน้ำผึ้ง ใช้เป็นยาอายุวัฒนะหรือทำเป็นครีมเพื่อรักษาอาการหูหนวกและสายตาไม่ดี รักษาอาการไข้ และลดความทุกข์ทรมานจากโรคกระเพาะ หืดหอบ โรคเกาต์ โรคไขข้ออักเสบ แผลและการติดเชื้อโรคลมชักและคราบจุลินทรีย์ เมื่อนำมาเผา แสงสว่างจากควันไฟของอำพัน ถูกทำขึ้นเพื่อปัดเป่าวิญญาณชั่วร้าย และความลุ่มหลง ลูกเรือโยนมันลงบนเรือเพื่อขับไล่งูทะเลและอันตรายจากความลึก เมื่อทำเป็นส่วนผสมของธูป มันช่วยบรรเทาความเครียดและเชื่อว่า ช่วยกรองเชื้อโรค และฆ่าเชื้อ ในพื้นที่ที่ใช้ในการคลอดบุตร
อำพันเป็นหนึ่งในอัญมณีชนิดแรกๆ ที่มนุษย์ใช้ในการตกแต่ง ซึ่งมีหลักฐานการใช้มาตั้งแต่ยุคหิน สำหรับเครื่องประดับอัญมณีและพิธีศพ ชิ้นส่วนอำพันที่ไม่ได้ทำการเจียระไนยถูกพบอยู่ในหลุมฝังศพในแคว้นปรัสเซีย(Prussia) เลสวิกโฮล์สไตน์(Schleswig-Holstein) และเดนมาร์ก ซึ่งทราบอายุจากการตรวจสอบจากอายุของหิน โดย ดร. ฮอร์เนส(Hoernes) นักธรณีวิทยาชาวออสเตรียที่มองว่า เพื่อให้เป็นสถานที่พักผ่อนของวิญญาณ และทำให้มองว่า อำพันเป็นเครื่องรางที่เก่าแก่ที่สุด
นอกเหนือจากการอ้างถึงนิทานตำนานว่า อำพันเกิดได้อย่างไร อริสโตเติล, พลีนี(Pliny) และ ทาสิตุส(Tacitus) ได้พิสูจน์ถึงต้นกำเนิดที่แท้จริงของอำพัน เมื่อเกิดแผ่นดินไหวและพบว่า เป็นยางที่เกิดขึ้นจากต้นสนชนิดหนึ่งที่เก่าแก่ และเนื่องจากแมลงและพืชยังคงอยู่ในอำพันเป็นอมตะ ตามรูปแบบดั้งเดิม พวกเขาจึงถือว่าอำพันเป็นอัญมณีสำหรับการฝังศพและเพื่อเป็นตัวแทนในการจัดงานที่ดีที่สุดของพิธีศพ เพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ตายด้วยของขวัญอันล้ำค่าและสร้างความทรงจำในชีวิตของพวกเขาไว้อย่างถาวร โดยในปัจจุบัน จะพบอำพันเป็นจำนวนมากในหลุมฝังศพโบราณทั่วโลก บางคนค้นพบในหลุมฝังศพของคนในยุคไมเซเนียน(Mycenaean)(อารยธรรมยุคสัมฤทธิ์ในกรีก) ย้อนกลับไปถึง 8000 ก่อนคริสตศักราช
ต้นกำเนิดของอำพันบอลติก(Baltic Amber) มีความเกี่ยวพันกับตำนานของชาวลิทัวเนียโบราณ เกี่ยวกับเรื่องของ จูเลียต(Jūratė)ราชินีแห่งท้องทะเล ผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในพระราชวังที่สร้างจากอำพันที่ด้านล่างของทะเลบอลติก เธอตกหลุมรักกับชาวประมงชื่อ คาสตีติส(Kastytis) และพาเขากลับไปอยู่กับเธอในพระราชวังดังกล่าว เมื่อพ่อของเธอซึ่งเป็นเทพเจ้าสายฟ้า เปอกูนาส(Perkūnas) เทพเจ้าที่ทรงพลังที่สุดของเทพเจ้าของชาวลิทัวเนีย พบว่าเธอได้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะรักมนุษย์เพียงคนเดียวเขาบินขึ้นสูงด้วยความโกรธและส่งสายฟ้าฟาดเพื่อฆ่า คาสติติสและทำลายพระราชวัง จากนั้นเขาก็ล่าม จูเลียต(Jūratė)ภายในซากปรักหักพังจวบจนชั่วนิรันดร์ ตำนานอ้างว่าแม้ในปัจจุบันเมื่อเกิดพายุในทะเลบอลติก เศษเล็กเศษน้อยของพระราชวังใต้น้ำสามารถพบได้ตามริมฝั่ง และยังคงสามารถได้ยินเสียงร้องไห้เทพธิดาที่น่าเศร้าสำหรับความรักที่หายไป
ในละครเรื่อง"โศกนาฏกรรมที่หายไป" ของ ซอโฟคลีส(Sophocles) ต้นกำเนิดของอำพันได้รับการบอกว่า เป็นน้ำตาที่หลั่งออกมาจากนกทะเลจาก "ดินแดนที่ไกลเกินกว่าอินเดีย"
ในตำนานเซลติกอพอลโลถูกเนรเทศจากโอลิปัส(Olympus)และ "หลั่งน้ำตาออกมาเป็นอำพัน" และตำนานคริสเตียนกล่าวว่า อำพันเกิดจากน้ำตาของต้นสนในช่วงน้ำท่วม
ในสแกนดิเนเวียอำพัน เชื่อกันว่าเป็นน้ำตาของ เทพธิดาเฟรย์ยา(Freyja) เทพธิดาสแกนดิเนเวียนแห่งความรักและความงาม ผู้หญิงที่นั่น จะใช้แกนกับกระดิ่งที่ทำจากอำพันเพื่อปั่นผ้า เพื่อช่วยป้องกันให้กับเสื้อผ้าสำหรับสามีหรือลูกชายของนักรบ
หลายคนในโลกยุคโบราณเชื่อว่าอำพันเป็น "น้ำผลไม้" หรือ "หยาดเหงื่อของแผ่นดินที่ร้อน" หรือ "น้ำผึ้งจากเทือกเขาอายาน" ซึ่งถูกนำออกมาโดยความร้อนของดวงอาทิตย์ คนอื่น ๆ เห็นว่ามันเป็นหยดน้ำตาอันงดงามของดวงอาทิตย์ที่ตกค้างอยู่ขณะที่มันทรุดตัวลงใต้ทะเล และคลื่นก็โยนลงบนฝั่ง
ในสมัยโรมัน อำพันเป็นที่รู้จักกันว่าเป็นหิน รินจูเลียม(lyncurium) มีชื่อเสียงในตำนานที่เป็นสิ่งที่แข็งตัวจากปัสสาวะของแมวป่าชนิดหนึ่ง(Lynx) หินที่ได้จากแมวป่าเพศผู้จะมีสีโทนเข้ม ขณะที่เพศเมียมีสีเหลืองอ่อน เมื่อนำมากินเป็นเครื่องดื่มมันเอาก้อนหินออกจากกระเพาะปัสสาวะ และเมื่อทานกับไวน์ หรือสวมใส่เป็นเครื่องราง จะรักษาโรคดีซ่าน ทำให้โรคเบาหวานหายขาดและโรคท้องร่วง มีคุณสมบัติห้ามเลือด ก็เชื่อกันว่า lyncurium มาจากสัตว์ที่เรียกว่า langures หรือ langes ซึ่งอาศัยอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโพ(Po river) หินเหล่านี้มีชื่อเสียงในการปกป้องบ้านทั้งหมดจากกรเจ็บป่วย รักษาปัญหากระเพาะอาหารและถูกอ้างถึงว่าเป็นยากระตุ้นอารมณ์ทางเพศของโสเภณี
ความบริสุทธิ์และความศักดิ์สิทธิ์ถูกทำให้เกิดขึ้นโดยอำพัน โดยมีตำนานเล่าว่า ออคมิออส(Ogmios) ซึ่งเป็นเทพทางการพูดของวัฒนธรรมเซลติกได้กล่าวว่า การแสดงความจงรักภักดีสามารถทำได้โดยการคล้องกันด้วยโซ่ทองคำและอำพัน แทนการเชื่อมต่อทางจิตวิญญาณ
ในยุคกลาง มีความเชื่อว่าสีของอำพันมีความคล้ายคลึงกับสีของใบหน้าของนักบุญและนักปราชญ์ และลูกประคำประดับในยุคนี้ทำจากอำพัน และเป็นที่นิยมอย่างมาก
ชาวอเมริกันพื้นเมืองมองว่า อำพันเป็นหินศักดิ์สิทธิ์ และกล่าวว่า อำพันเป็นตัวแทนของลมตะวันออกที่มาจากปู่ของดวงอาทิตย์ ทั้งอำพันและโคปอล ถูกนำมาใช้ในพิธีบูชาไฟของผู้นำชนเผ่าโบราณตั้งแต่อารยธรรมเมโสอเมริกัน(Mesoamerican) ยุคก่อนโคลัมเบีย และยังคงใช้โดยชนพื้นเมืองดั้งเดิมหลายแห่งของเม็กซิโก และอเมริกากลางในปัจจุบัน โดยใช้เป็นเครื่องหอมในระหว่างพิธีการบูชาที่พักอาศัยและ พิธีบูชาเห็ดศักดิ์สิทธิ์
อีกชื่อละตินสำหรับอำพันคือ ซุกสินุม(succinum) (จาก sucus ที่แปลว่า "น้ำ") โดยพวกเค้าคิดว่าจะได้รับจากการสูญพันธุ์ของสน (Pinites succinifer) มันได้กลิ่นเหมือนสนเมื่อลูบและเผาด้วยกลิ่นและลักษณะของไม้ไฟคบเพลิง ซุกสินุมติดไฟได้ง่ายและชิ้นส่วนถูกเผาเพื่อความหอม และความสามารถในการฆ่าเชื้อโรคเนื่องจากเชื่อกันว่าเป็นตัวกรองเชื้อโรค ควันของมันเป็นที่นับถืออย่างมากสำหรับการสร้างสภาพแวดล้อมที่ปราศจากเชื้อและเอื้อต่อการคลอดบุตร
ในยุคกลางถูกใช้เป็นธูปเพื่อขับไล่วิญญาณชั่วร้ายและความลุ่มหลงและเพื่อป้องกันการงูและยุง
คุณสมบัติของอำพันได้รับการยกย่องอย่างสูงในโลกยุคโบราณ มีการรายงานว่า สวมใส่เพื่อปกป้องสุขภาพรวมถึงการบรรเทาอาการไข้และการติดเชื้อ เจ็บคอ ปวดศีรษะ อาการปวดฟันและอาการไม่สบายในระบบทางเดินหายใจ บดเป็นผงละเอียดและผสมกับน้ำหรือไวน์มันถูกกำหนดไว้สำหรับบรรเทาอาการที่เกี่ยวกับในกระเพาะอาหารและโรคลมชัก ผสมกับน้ำผึ้งและน้ำมันดอกกุหลาบ เชื่อว่าจะรักษาอาการหูหนวกและความทุกข์ทรมานอื่นๆ ของหู บดและผสมกับน้ำผึ้ง จะปัดเป่าความอ่อนแอของสายตา น้ำมันของอำพันเพียงปริมาณที่น้อย เพื่อช่วยในกรณีของโรคฮิสทีเรียและถูกใช้ภายนอกเป็นยาปฏิชีวนะธรรมชาติสำหรับการรักษาแผล และเป็น ยาบรรเทาสำหรับโรคไขข้อและปวดร่างกายต่างๆ เมื่อได้รับบาดเจ็บ ใช้ลูบลงบนหน้าอกและด้านหลังเพื่อบรรเทาปัญหาหลอดลม และมีชื่อเสียงในการรักษาโรคไอกรน ชาวยิวและชาวอียิปต์โบราณจะใช้มีดผ่าตัดที่มักถูกแกะสลักจากอำพัน เนื่องจากคิดว่าสามารถช่วยห้ามเลือดได้
ความเชื่อของอำพัน
อำพันเป็นหินป้องกันสำหรับเด็กและอาจสวมใส่เป็นสร้อยข้อมือและเย็บติดกับเสื้อผ้าเด็กทารก หรือวางไว้ใกล้ๆเพื่อป้องกันพลังงานที่เป็นลบ และเป็นโลห์ป้องกันจากอันตราย นอกจากนี้ยังมีคุณค่าอย่างมากในการลดอาการปวดฟัน แต่ไม่ควรวางไว้ในปาก เป็นประโยชน์อย่างมากเมื่อรักษาทารกหรือเด็ก โดยให้แม่สวมอำพันก่อน
สวมหรือพกอำพันเมื่อฟื้นตัวจากความเจ็บป่วย หรือบาดเจ็บเพื่อเพิ่มพลังและดึงความเป็นปกติ และความปรารถนาเพื่อสุขภาพ ช่วยสร้างความอบอุ่นจากด้านนอกเข้าไปสู่ด้านใน และช่วยเพิ่มพลังงานให้กับร่างกาย อำพันอาจถูกนำมาใช้เพื่อเพิ่มอายุขัยและเป็นอัญมณีมหัศจรรย์สำหรับผู้สูงอายุ
ในเรื่องของความรักอำพันสีเหลืองส้มเป็นสัญลักษณ์แห่งความงามและอ่อนโยน เป็นเครื่องรางโชคดีเพื่อเพิ่มความสดชื่นตามธรรมชาติและดึงดูดความรักที่ยืนยาว อาจใช้ในการดึงดูดคู่แท้ หรือเพื่อป้องกันอิทธิพลภายนอกที่เป็นลบและการแทรกแซง เป็นอัญมณีที่ยอดเยี่ยมสำหรับการรักษาสัญญาและถูกใช้ในการยืนยันความยืนยาวต่อชีวิตคู่
คนญี่ปุ่นเชื่อว่าอำพันถือเป็นอัญมณีแห่งความมีชีวิตชีวา การสร้างสรรค์จินตนาการ
คุณสมบัติทางกายภาพของอำพัน
สูตรเคมี | เป็นไฮโดรคาร์บอนที่มีสูตรโดยประมาณเป็น C10H16O และมีกรดซูซินิค(Succinic acid.) |
สี | เหลือง, ส้ม, แดง, เขียว, ขาว, น้ำเงิน |
ความแข็ง | 1 - 3 |
โครงสร้างผลึก | เป็นแร่อสัณฐาน(ไม่มีโครงสร้างผลึกที่ชัดเจน) |
ความมันเงา | แบบเรซิน |
ค่าความถ่วงจำเพาะ | ประมาณ 1.1 |
ความโปร่งแสง | โปร่งใสถึงโปร่งแสง |
คุณสมบัติ | สามารถเผาไหม้ได้ เรืองแสงภายใต้แสงยูวี |
ผงของรอยแตก | สีขาว |
ข้อมูลอ้างอิง
1. https://en.wikipedia.org/wiki/Amber
2. http://www.geologypage.com/2015/02/amber.html
3. http://academic.emporia.edu/abersusa/geology.htm
4. https://geology.com/usgs/amber/
5. https://www.crystalvaults.com/crystal-encyclopedia/amber
6. http://academic.emporia.edu/abersusa/physic.htm
หน้าที่เข้าชม | 4,162,129 ครั้ง |
ผู้ชมทั้งหมด | 2,238,362 ครั้ง |
เปิดร้าน | 11 ก.ค. 2560 |
ร้านค้าอัพเดท | 3 พ.ค. 2567 |