“แม็กซ์เท็กซ์” ชู “โรงโม่ข้าวจิ๋ว” ตั้งเป้าโกยยอด 2 หมื่นล้าน

เครื่องโม่แป้ง

“แม็กซ์เท็กซ์ เทรดดิ้ง” ผุดนวัตกรรม มินิแฟกตอรี่กระบวนการโม่แป้งข้าวรายแรกของโลก เจาะกลุ่มลูกค้าเอสเอ็มอีต่อยอดแปรรูปข้าวไทย รุกตลาดเวียดนามมีศักยภาพสูงเติบโตเร็ว เตรียมขายแฟรนไชส์ ตั้งเป้าสร้างรายได้ทั่วโลกทะลุ 2 หมื่นล้านใน ปี’74

นายไตรภพ บุญเหมือน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) แม็กซ์เท็กซ์ เทรดดิ้ง กรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนากระบวนการผลิตแป้งข้าวชนิดโม่น้ำ (wet milling method) เปิดเผยว่า ในช่วงวิกฤต
โควิด-19 ส่งผลกระทบต่อธุรกิจต่าง ๆ บวกกับแนวโน้มผู้บริโภคหันมาสนใจเรื่อง wellness และรักสุขภาพมากขึ้น โดยมีความนิยมทำอาหารรับประทานเอง เพื่อจะสามารถคัดสรรวัตถุดิบที่ดีได้

ทางบริษัทได้คิดค้นนวัตกรรมโครงการ Maxtex Rice Flour Mill หรือกระบวนการผลิตแป้งด้วยกรรมวิธีผลิตแบบโม่น้ำ (wet milling method) สำหรับแปรรูปข้าว โดยจับกลุ่มเป้าหมายที่เป็นธุรกิจขนาดกลางและขนาดเล็ก หรือ SMEs ให้เข้ามาลงทุน ในรูปแบบ mini factory เป็นรายแรกของโลก โดยเริ่มจำหน่ายในช่วงต้นปีที่ผ่านมา

“Maxx Series RFPC โรงงานแปรรูปข้าวเป็นแป้ง SMEs ซึ่งเรามีการทำ feasibility study และ ROI เพื่อให้ลูกค้าสามารถมองเห็นโอกาสความเป็นไปได้ในการลงทุนว่าใช้เงินลงทุนน้อย และคืนทุนเร็วมาก”

โมเดล Maxx Series RFPC เป็นเครื่องจักรขนาดกะทัดรัด ผู้ประกอบการจึงไม่จำเป็นต้องสต๊อกวัตถุดิบปริมาณมาก เพียงแค่ใช้วัตถุดิบ 75 กิโลกรัม/ชั่วโมง สำหรับรุ่น Maxx-75 RFPC และวัตถุดิบ 150 กิโลกรัม/ชั่วโมง สำหรับรุ่น Maxx-150 RFPC ขึ้นไป ก็เพียงพอในการเริ่มกระบวนการแล้ว

Advertisment

และยังสามารถปรับเปลี่ยนวัตถุดิบได้หลากหลาย อาทิ ข้าวเจ้า ข้าวเหนียว ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี่ ข้าวนึ่ง ข้าวญี่ปุ่น ข้าวบาสมาติ โดยเฉพาะข้าวออร์แกนิก ส่วนขั้นตอนการทำงานไม่ยุ่งยาก ทำความสะอาดง่าย แตกต่างจากเครื่องจักรขนาดใหญ่ ที่ต้องใช้วัตถุดิบในปริมาณมาก ๆ

“หลังจากเปิดตัวไปได้รับผลตอบรับที่ดีมากสำหรับตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศเวียดนาม มีนักลงทุนที่มีศักยภาพ พร้อมที่จะลงทุน เนื่องจากเวียดนามเป็นประเทศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว มีปัจจัยทางเศรษฐกิจที่ดี ปัจจุบันบริษัทอยู่ในขั้นตอนการเสนอราคาทั้งขนาดเล็กและขนาดใหญ่ มูลค่ารวมประมาณ 510 ล้านบาท ส่วนตลาดในประเทศพบว่า มีนักลงทุนที่สนใจและได้ทำการเสนอราคาโครงการไปแล้วเป็นมูลค่าประมาณ 65 ล้านบาท”

“บริษัทได้เร่งพัฒนาและคิดค้นผลิตภัณฑ์ให้มีความหลากหลาย เพื่อสร้างความแตกต่าง (make a difference) สร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ให้สอดรับกับความต้องการของตลาดในปัจจุบัน และสร้างความเปลี่ยนแปลงรูปแบบใหม่ในธุรกิจแป้งข้าวชนิดต่าง ซึ่งผู้ผลิตจึงหันมาให้ความสำคัญกับการเพิ่มมูลค่ามากขึ้นหลังปัญหาราคาตกต่ำ”

นายไตรภพกล่าวว่า บริษัทตั้งเป้าหมาย (smart goal) ไว้ว่าจะมีรายได้จากทั่วโลก 20,000 ล้านบาท หรือประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐ ภายใน 10 ปี หรือภายในปี 2574 ทั้งส่วนของ compact unit และ large size unit

Advertisment

โดยแบ่งเป็นตลาดเวียดนาม มูลค่า 6,000 ล้านบาท ส่วนตลาดในประเทศ คาดว่าจะมียอดขาย Maxx Series RFPC 10 unit ต่อปี คิดเป็นมูลค่ากว่า 1,700 ล้านบาท และขนาดการผลิต 300-2,000 กิโลกรัมต่อชั่วโมง จำนวน 2 unit ต่อปี มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท

นอกจากนี้ยังวางแผนการจัดจำหน่ายไปยังประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกมูลค่ากว่า 11,000 ล้านบาทด้วย โดยในปี 2564 บริษัทเตรียมงบประมาณกว่า 60 ล้านบาท เพื่อทำการตลาดทั้งใน-ต่างประเทศ เพื่อให้โครงการนี้เข้าถึงตลาดต่างประเทศได้มากขึ้น

รวมทั้งใช้ระบบ agent, distributor และรูปแบบ franchise มาสร้างเครือข่ายหรือเน็ตเวิร์กในการทำธุรกิจแบบ worldwide เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์ไทยที่มีศักยภาพต่อไป