ความนิยม อัญมณี หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า เพชรพลอย แก้วแหวนเงินทองหรือเพชรนิลจินดานั้น สืบเนื่องมายาวนานนับหลายพันปี
เป็นรูปแบบของความนิยมที่มีพยานหลักฐานชัดเจน จากการขุดค้นทางโบราณคดี อัญมณีที่ขุดพบมักอยู่ในรูปแบบของเครื่องประดับ เครื่องยศ เครื่องราง มีทั้งความวิจิตรงดงาม อลังการ หรือลึกลับน่าเกรงขาม
มีผู้สันนิษฐานไว้ว่ามนุษย์อาจเริ่มสนใจแร่และหินที่มีความสวยงามมาตั้งแต่ 150,000 ปีมาแล้ว ทั้งนี้ จากการขุดพบโครงร่างของมนุษย์ปักกิ่ง ภายในถ้ำที่มีแร่ควอตซ์อยู่มากมาย ด้วยความเชื่อว่าร่างกายจะไม่เน่าไม่เปื่อย
ทั้งการพบหยกแกะสลักคล้ายขนมโดนัท(มีรูกลมตรงกลาง) อันใหญ่ วางอยู่ใกล้ศพของชาวจีนในบางพื้นที่อีกด้วย
หรือมนุษย์อาจสนใจเครื่องประดับที่ทำจากสิ่งต่างๆ ตั้งแต่ 75,000 ปีมาแล้ว ซึ่งอยู่ในยุคน้ำแข็ง จากการขุดค้นพบหลักฐานเป็นเครื่องประดับที่ทำจากหิน กระดูกและเขาสัตว์ ในถ้ำที่ประเทศสเปนและฝรั่งเศส
แม้กระทั่งการขุดพบเครื่องใช้ เครื่องประดับ เครื่องราง ที่ทำจากหยก ในประเทศจีน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ของมนุษย์หินใหม่ ย่อมเป็นหลักฐานว่ามนุษย์เริ่มให้คุณค่าต่อแร่รัตนชาติไม่น้อยกว่าหมื่นปีมาแล้ว
การใช้แร่รัตนชาติ(เพชรพลอย) เป็นเครื่องประดับล้ำค่า จะเห็นได้ชัดเจน จากหลักฐานการขุดค้นพบในสุสาน จากบันทึกทางประวัติศาสตร์ของอียิปต์โบราณ จีน และอินเดีย ซึ่งมีอารยธรรมเจริญก้าวหน้ารุ่งเรืองมานานไม่น้อยกว่า 5,000 ปี
ความนิยม อัญมณี ของผู้คนในสมัยโบราณนั้นน่าจะเริ่มมาจากความสะดุดตาสะดุดใจในความสวยงาม หรือมีลักษณะแปลกพิเศษ และคงจะเป็นสิ่งที่หาได้ยากหรืออาจหาไม่ได้เลยในเมือง หรือประเทศนั้นๆ
เมื่อได้มาอยู่ในครอบครองแล้วอาจเกิดปาฏิหาริย์ หรือมีเหตุการณ์พิเศษต่างๆ เช่น รอดตายอย่างหวุดหวิด หายป่วยจากโรคเรื้อรัง หรือมีโชคดีอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
พลอยจากแร่ชนิดหนึ่ง ไข่มุกจากหอยตัวหนึ่ง งาจากช้างเชือกหนึ่ง หรือกระดูกจากสัตว์ชนิดหนึ่ง จึงได้รับการยกย่องให้เป็นอัญมณี ซึ่งมีความหมายถึงสิ่งมีค่าต่างๆ ให้ผู้คนได้ศึกษาค้นคว้า และครอบครอง
ความงาม ความหาได้ยาก และความเชื่อ จึงน่าจะเป็นสูตรสำเร็จให้ผู้คนในยุคนั้นๆ ผูกติดยึดมั่นกับอัญมณีชนิดต่างๆ ส่งผลให้เกิดธรรมเนียมปฏิบัติที่สืบทอดมายาวนาน หรือตลอดช่วงเวลาของยุคสมัย จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปปฏิบัติในรูปแบบใหม่ๆ
ความเชื่ออัญมณีกับชาวจีน
ความนิยม อัญมณี ในด้านความสวยงามที่มาพร้อมกับความเชื่อนั้น จีนเป็นอีกประเทศที่มีตัวอย่างให้เห็นอย่างชัดเจน เพราะชาวจีนนิยมยกย่องว่าหยกและไข่มุกเป็นยอดเหนืออัญมณีทั้งปวง
ชาวจีนตั้งแต่สมัยโบราณนับหลายพันปีจนถึงปัจจุบัน ล้วนชื่นชมและให้คุณค่าแก่หยกอย่างสูงสุด เหตุผลจากสีสันต่างๆ ที่สวยงามและความเชื่ออย่างไม่มีข้อกังขาว่าหยกเป็นทิพยมณีที่สวรรค์ประทานมาให้
ชาวจีนโบราณเรียกหยกว่า หยู หรือ หยุก หรือเง็ก และยกย่องให้หยกเป็นสัญลักษณ์แห่งคุณธรรม 5 ประการ คือ ใจบุญ สมถะ กล้าหาญ ยุติธรรม และมีสติปัญญา
โดยเปรียบความแข็งและความหนาแน่นของเนื้อหยกกับสติปัญญาและความกล้าหาญ
ผิวที่เรียบลื่นเป็นมันวาวคือ ความยุติธรรม และความงดงามนุ่มนวลของสีหยกเป็นเครื่องหมายของคนใจบุญและสมถะ
หยกยังเป็นหินนำโชค ทำให้เจริญรุ่งเรือง มีอายุยืนยาว ทำให้คลาดแคล้วจากอันตรายทั้งปวง ช่วยบรรเทาหรือรักษาอาการเจ็บป่วยได้สารพัดโรค และทำให้ร่างกายของคนตายไม่เน่าเปื่อยอีกด้วย
ความเชื่อนั้นปรากฏอยู่บนหลักฐานการขุดค้นพบฉลองพระองค์หยกของพระเจ้าหลิว เชง (หลิวเสิ้ง) และพระนางเต้าหวันแห่งราชวงศ์ฮั่นตะวันตกเมื่อสองพันกว่าปีมาแล้ว ซึ่งทางการจีนเคยนำมาจัดแสดงให้ได้ชมกันที่เมืองไทยเมื่อหลายปีก่อนและจากการขุดค้นสุสานโบราณต่างๆ
ด้วยเหตุนี้จึงมีการนำหยกทั้งชนิดเจไดต์(Jadeite) และเนไฟรต์ (Nephrite) มาทำเป็นเครื่องประดับสวมใส่ติดกาย ได้แก่ ปิ่นปักผม ต่างหู จี้ สร้อยคอ กำไล แหวน หรือแกะสลักเป็นสัญลักษณ์ของสิ่งที่เป็นมงคล เช่น มังกร หงส์ เสือ เต่า ปลา นก ดอกไม้ หรือปี้(คล้ายขนมโดนัท)
หยกแต่ละสียังถูกนำไปกำหนดลำดับขั้นตำแหน่ง หรือยศถาบรรดาศักดิ์ของผู้ครอบครองซึ่งเป็นบุคคลชั้นสูงอีกด้วย
ความนิยมหยกของชาวจีนเป็นไปอย่างแพร่หลายและมั่นคง แต่ในอดีตจีนมีแหล่งหยกอยู่ที่มณฑลซินเกียงและเทือกเขาคุนลุนเท่านั้น จีนจึงต้องนำเข้าหยกจากพม่าและทางเหนือของทิเบต และในช่วงหลังได้จากไซบีเรีย (รัสเซีย) และบริติช โคลัมเบีย (แคนาดา) อีกด้วย
ส่วนอัญมณีไข่มุกซึ่งมีตำนานการเกิดอันน่าอัศจรรย์ว่าเป็นหยาดน้ำตาของเทพธิดาผู้เมตากรุณาต่อผู้คนที่ทุกข์ยากทั้งปวงนั้น ได้รับความนิยมจากชนชั้นสูงของชาวจีนมาก เพราะความเชื่อว่าถ้าใครได้ครอบครองจะมีชีวิตที่ร่มเย็น ถ้ารับประทานก็จะมีสรรพคุณบำบัดสรรพโรค รวมทั้งมีผิวพรรณสวยงาม บำรุงสมรรถภาพทางเพศ ทำให้ซากศพไม่เน่าเปื่อย เป็นต้น
ในสมัยของพระนางซูสีไทเฮา ทรงมีเครื่องประดับไข่มุกน้ำงามล้ำค่าอยู่มากมาย เมื่อพระนางสิ้นพระชนม์ได้มีการนำไข่มุกสีดำเม็ดใหญ่ใส่ไว้ในพระโอษฐ์
ภายในโลงศพก็ปูลาดด้วยไข่มุกที่ร้อยด้วยลวดทองคำเป็นจำนวนมาก เครื่องประดับทุกชิ้นที่ตกแต่งร่างกายของพระนางล้วนเป็นไข่มุกทั้งสิ้น
ทั้งนี้ก็ด้วยความเชื่อว่าจะช่วยรักษาสภาพพระศพไม่ให้เน่าเปื่อย
เมื่อความงามมากับความเชื่อว่ามีคุณอันวิเศษ ไข่มุกจึงเป็นอัญมณีคู่ชาติจีนอีกชนิดหนึ่ง
ความเชื่ออัญมณีของชาวอินเดีย
อินเดียเป็นอีกประเทศหนึ่งที่ผูกพันกับอัญมณีต่างๆ มายาวนานไม่แพ้อียิปต์และจีน
อินเดียเป็นประเทศเก่าแก่ทางด้านอารยธรรมมากที่สุดอีกแห่งหนึ่งของโลก เป็นประเทศที่อาจกล่าวได้ว่าได้รับของขวัญจากธรรมชาติเป็นอัญมณีงามมากมายหลายชนิด จนเป็นที่น่าอิจฉาแก่ชนชาติอื่นๆ เป็นอย่างยิ่ง
แม้กระทั้งชาวอินเดียโบราณยังเชื่อว่านี่คือของขวัญที่บรรดาทวยเทพประทานได้แก่มวลมนุษย์ชาติอย่างแน่แท้
ทั้งเงิน ทอง เพชรพลอยหลากหลายชนิด ล้วนสร้างรายได้ให้แก่ผู้ครอบครองและชาติอินเดียอย่างมหาศาล และยาวนานจนถึงทุกวันนี้
ไพลนี นักปราชญ์ชาวโรมัน (ค.ศ.23-79) ได้บันทึกไว้ว่า “อินเดียผลิตอัญมณีได้มากกว่าประเทศใดในโลก” และจากการค้าขายเพชรพลอยทำให้อินเดียมีชื่อเสียงเลื่องลือไปไกลถึงยุโรป
ชอง-แบปติส ทาแวร์นิเย พ่อค้าอัญมณีผู้ที่มีชื่อเสียงมากของฝรั่งเศส ได้เดินทางไปซื้ออัญมณีงามล้ำค่าทางตะวันออกหลายครั้ง ระหว่าง ค.ศ.1631-1668 จากการบันทึกของทาแวร์นิเยทำให้ผู้คนในยุคนั้นและยุคต่อๆ มาได้รู้ว่าอินเดียมีอัญมณีอุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก
เมืองโกลคอนดาซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของอินเดีย นับได้ว่าเป็น “ศูนย์กลางการค้าเพชรของโลก” มีคนมาขุดหาเพชรที่เมืองนี้เป็นจำนวนมาก เพชรเม็ดใหญ่ๆ ขนาดหลายร้อยกะรัตและหลากหลายสีสัน จึงได้เผยโฉมอวดคนทั้งโลกอย่างน่าตกตะลึงและบรรดามหาเศรษฐีโบราณต่างไขว่คว้าหามาไว้ครอบครอง
เศรษฐอินเดียในสมัยโบราณล้วนสะสม อัญมณี ไว้เป็นจำนวนมาก และแต่งกายแพรวพราวไปทั้งตัวทั้งชายและหญิง ยิ่งเป็นมหาราชา เจ้าชาย เจ้าหญิง ยิ่งสวมใส่เครื่องประดับมาก และยังตกแต่งที่เครื่องแต่งกายและเครื่องใช้ไม้สอยต่างๆ อีกด้วย
การแตกแต่งประดับประดาด้วยเพชรพลอยนั้น นอกจากเพื่อความสวยงามแล้วสิ่งสำคัญที่สุดก็คือ การประดับเกียรติยศของตนนั้นเอง
เช่น บัลลังก์นกยูง ของชาห์ จฮาน ผู้สร้างทัชมาฮาลอนุสาวรีย์แห่งรักแท้บันลือโลก
บัลลังก์นกยูงสร้างความทองคำประดับด้วยเพชร ทับทิม ไพลิน มรกต เป็นจำนวนมาก ที่โดดเด่นเป็นพิเศษคือ เพชรโมกุลซึ่งมีขนาดใหญ่ และทับทิมติมูร์อันลือชื่อ
งานศิลปะชิ้นยอดเยี่ยมนี้ใช้เวลาสร้างถึง 7 ปี และใช้เงินประมาณ 7 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐอเมริกาในเวลานั้น
ต่อมาชาห์ นาเดอร์ แห่งเปอร์เซีย ได้ยกกองทัพมาตีอินเดีย ยึดเอาบัลลังก์นกยูงพร้อมอัญมณีอื่นๆ อีกมากมายกลับไปยังเปอร์เซีย
นี่เป็นเพียงตัวอย่างเดียวของความนิยมอัญมณีและต้องการมาไว้ในครอบครอง จนถึงขนาดทำสงครามแย่งชิงกัน
แม้จะถูกชนชาติอื่นมากอบโกยไปหลายครั้ง แต่อินเดียก็ยังมีอัญมณีที่ ขุดค้นพบอีกมากมาย และกลายเป็นสมบัติที่ผลัดกันชมอยู่ในประเทศอื่นๆ
ครั้งหนึ่งเมื่อหลวงวิจิตรวาทการและภริยา ได้รับเชิญเป็นพระราชอาคันตะกะส่วนพระองค์ของมหาราชาแห่งไฮเดอราบัด (ค.ศ.1952) คุณหลวงได้มีโอกาสเข้าชมพระราชฐานที่ประทับนอกเมือง
ณ วังแห่งนี้ผู้ที่ได้อ่านบันทึกของท่านก็จะเห็นภาพของความวิจิตรงดงามของสิ่งต่างๆ ที่ตกแต่งอยู่ภายในห้องแต่ละห้อง และมีอยู่ห้องหนึ่งซึ่งมีตู้ใหญ่ๆ กว่า 10 ตู้จนแน่นห้อง
ทุกตู้เต็มไปด้วยเครื่องใช้ต่างๆ ซึ่งประดับเพชรพลอยจนลานตา เช่น ถ้วยน้ำชาทำด้วยหยกและฝังเพชรไว้รอบข้าง ทั้งช้อน จาน ชาม ที่วางปากกา กรอบรูป ฯลฯ ล้วนแต่ประดับด้วยเพชรพลอย แต่ที่ประดับด้วยเพชรมีมากที่สุด
ท่านกล่าวไว้ว่า “ใครอย่าใส่เพชรมาอวดที่เมืองนี้ให้ป่วยการ”
นี่คือเพชรพลอยบางส่วนของวังบางแห่งของมหาราชาทุกองค์มากองรวมกันนึกภาพไม่ออกจริงๆ ว่าจะมากมายใหญ่โตขนาดไหน และมีราคามหาศาลเพียงใด
ที่มา : หนังสือเพชรพลอยอัญมณีแห่งความงาม