SPIDER-MAN: ACROSS THE SPIDER-VERSE เผยข้อมูลงานสร้าง และเกร็ดความรู้ต่าง ๆ ในหนัง

Spider-Man: Across the SpiderVerse

ไต่ระห่ำทะลุจักรวาลที่ไร้การคาดเดา

เปิดศึก The Spider-War ความมันส์ของมัลติเวิร์สใหม่ !

รับชมตัวอย่างภาพยนตร์

Spider-Man: Across the #SpiderVerse

สไปเดอร์-แมน: ผงาดข้ามจักรวาลแมงมุม

พุธที่ 31 พฤษภาคม ในโรงภาพยนตร์เท่านั้น

ข้อมูลงานสร้าง

จากสตูดิโอที่ผลักดันขีดจำกัดและทีมงานสร้างสรรค์ที่นำเสนอภาพยนตร์รางวัลอคาเดมี อวอร์ด Spider-Man: Into the Spider-Verse นี่คือซีเควลที่หลายคนรอคอย Spider-Man: Across the Spider-Verse เรื่องราวสุดระทึกที่สานต่อตำนานสไปเดอร์-เวิร์สของไมลส์ โมราเลส หลังจากได้พบกับเกวน สเตซีอีกครั้ง สไปเดอร์-แมน เพื่อนบ้านแสนดีแห่งย่านบรู๊คลิน ก็ถูกส่งตัวไปยังมัลติเวิร์ส ที่ซึ่งเขาได้พบกับทีมสไปเดอร์ ที่ได้รับมอบหมายให้ปกป้องการมีอยู่ของมัน แต่เมื่อเหล่าฮีโรขัดแย้งกันถึงเรื่องแนวทางในการจัดการกับภัยคุกคามใหม่ ไมลส์ก็พบว่าตัวเองต้องปะทะกับสไปเดอร์คนอื่นๆ และต้องสร้างคำจัดความใหม่ให้กับความหมายของการเป็นฮีโร เพื่อที่เขาจะสามารถช่วยเหลือคนที่เขารักที่สุดได้
ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ไมลส์เผชิญหน้ากับทางเลือกที่น่าหนักใจในชีวิตและต้องกรุยเส้นทางของตัวเองขึ้นมา เขาได้เรียนรู้แล้วว่าใครๆ ก็เป็นฮีโรได้และตอนนี้ เขาก็ต้องเรียนรู้ว่า วิธีการที่คุณเป็นต่างหากล่ะที่จะทำให้คุณเป็นฮีโร ไมลส์และเกวนจะเผชิญหน้ากับอุปสรรคที่ดูเหมือนจะสูงเกินก้าวข้ามไปได้ และสามารถพลิกโฉมหน้าชีวิตของพวกเขา และชีวิตของทุกคนที่อยู่ในมัลติเวิร์สไปตลอดกาล

อีกครั้งหนึ่งที่ทีมงานเบื้องหลัง Spider-Man: Across the Spider-Verse ได้ขยายคำนิยามของการเล่าเรื่องอนิเมชันด้วยการแนะนำสไตล์วิชวลที่แปลกใหม่ยิ่งกว่าเดิม และต่อยอดจากสุนทรียศาสตร์แบบหนังสือการ์ตูน ที่ถูกพัฒนาขึ้นสำหรับภาคแรก เมื่อฮีโรของเราได้ไปเยือนมิติต่างๆ และได้พบกับตัวละครใหม่ๆ ที่มีลุคและความรู้สึกที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง

Spider-Man: Across the Spider-Verse กำกับโดยวาคิม ดอส ซานโตส, เคมป์ พาวเวอร์สและจัสติน เค. ธอมป์สัน ด้วยบทภาพยนตร์ที่เขียนบทโดยฟิล ลอร์ด & คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์และเดวิด คัลลาฮาน จากหนังสือการ์ตูนของมาร์เวล ภาพยนตร์เรื่องนี้อำนวยการสร้างโดยอาวี อารัด, เอมี ปาสคัล, ฟิล ลอร์ด, คริสโตเฟอร์ มิลเลอร์และคริสตินา สเตนเบิร์ก บ็อบ เพอร์ซิเช็ตติ, ปีเตอร์ รามซีย์, ร็อดนีย์ ร็อธแมน, อาดิธยา ซู้ดและไบรอัน เบนดิสรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้าง ทีมพากย์เสียงได้แก่ชามี้ค มัวร์, เฮลลีย์ สเตนเฟลด์, เจค จอห์นสัน, อิซซา เรย์, แดเนียล คาลูยา, เจสัน ชวอร์ทซ์แมน, ไบรอัน ไทรีย์ เฮนรี, ลูนา ลอเรน เวเลซ, เกรทา ลี, ราเชล ดราทช์, จอร์มา ทัคโคนี, เชีย วิกแฮมและออสการ์ ไอแซ็ค

ดำดิ่งสู่บทที่สอง

คุณจะดำเนินเรื่องราวต่อจากภาพยนตร์อนิเมชันรางวัลออสการ์ ซึ่งกวาดรายได้ไปกว่า 384.3 ล้านเหรียญทั่วโลกและสร้างคำนิยามใหม่ให้กับภาพยนตร์ CG อนิเมขัน พร้อมไปกับแนะนำซูเปอร์ฮีโรมาร์เวลคลาสสิกในเวอร์ชันหลากวัฒนธรรมได้อย่างไร ถ้าคุณเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานสร้างสรรค์ที่โซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน คุณก็จะยกระดับภาพวิชวล พาผู้ชมไปสู่สถานที่ใหม่ๆ และนำเสนอการพัฒนาพล็อตที่น่าแปลกใจ แต่ก็ไม่ลืมแก่นทางอารมณ์ของเรื่องราวด้วย
“หนังภาคแรกมีความท้าทายอย่างยิ่งยวดและทีมงานก็ทำงานกับมันจนกระทั่งวินาทีสุดท้ายค่ะ” คริสติน เบลสัน ประธานโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเล่า “เราเริ่มนึกถึงซีเควลทันทีที่เราปิดกล้องภาคแรกในปี 2018 แน่นอนว่าทั้ง [มือเขียนบท-ผู้อำนวยการรสร้าง] ฟิล ลอร์ดและคริส มิลเลอร์ก็รู้เสมอว่าเราจะไปในทิศทางไหนกับเรื่องราวนี้ สิ่งที่น่าตื่นเต้นเกี่ยวกับซีเควลนี้คือเรามีการผสมผสานที่ยอดเยี่ยมระหว่างน้องใหม่กับทีมงานชุดเดิม ฉันเชื่อว่าคุณจะได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุดเสมอในสถานการณ์แบบนั้น เราทุกคนรู้ดีว่าการสร้างหนังอนิเมชันต้องอาศัยทีมงานชุดใหญ่ แต่สำหรับ Spider-Verse ต้องใช้คนทั้งหมู่บ้านเลยค่ะ!”

เบลสันเล่าว่า กลุ่มนักวาดภาพและช่างเทคนิคมากพรสวรรค์ทั้งที่โซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันและโซนี พิคเจอร์ส อิเมจเวิร์คส์ท้าทายตัวเองทุกนาทีเพื่อผลักดันภาพวิชวลของซีเควลเรื่องนี้ไปสู่อีกระดับ “สิ่งที่สนุกมากเหลือเกินคือการพยายามทำให้เหนือกว่าสิ่งที่เราเคยทำมากับสไตล์วิชวลในหนังภาคแรก ซึ่งรวมถึงการใส่องค์ประกอบ 2D ที่แสดงความเคารพต่อลุคกราฟิกแบบหนังสือการ์ตูนเข้าไป ในซีเควลภาคนี้ เราก้าวไปไกลขึ้นใน Spider-Verse และมันก็สร้างโอกาสใหม่ๆ ให้เราได้สำรวจสไตล์อนิเมชันต่างๆ และสร้างภาพวิชวลที่น่าจดจำ ที่ไปไกลกว่าสิ่งที่เราเคยทำมาในหนังภาคแรกน่ะค่ะ”

เอมี ปาสคัล ผู้อำนวยการสร้างของเรื่องกล่าวว่า “หนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่ขึ้นเยอะและจะมีแอ็กชันในแบบที่ทุกคนเฝ้ารอ แต่สิ่งที่ฉันหวังว่าเราจะทำสำเร็จคือซีเควนซ์แอ็กชันจะเกิดจากพัฒนาตัวละครและเราจะบอกเล่าเรื่องราวที่ดีเสมอ เราค่อนข้างจะจริงจังกับเรื่องนั้นค่ะ สเกลหนังเรื่องนี้ยิ่งใหญ่จริงๆ และเราก็ได้ไปในสไปเดอร์-เวิร์สและนิวยอร์ก ซิตี้หลายๆ เวอร์ชันมากๆ ค่ะ”

“ผมคิดว่าประเด็นหนึ่งที่ปรากฏในหนังเรื่องนี้คือฮีโรมีตัวตนอยู่ในทุกวัฒนธรรมครับ” ผู้อำนวยการสร้างมากประสบการณ์ อาวี อารัดกล่าว “พวกเขามีปัญหาและความท้าทายของตัวเอง ไมลส์ โมราเลสได้เผชิญหน้ากับปัญหาบางอย่างแบบเดียวกับที่ปีเตอร์ ปาร์คเกอร์เจอ พวกเขาเผชิญหน้ากับความสับสนเกี่ยวกับบทบาทของพวกเขาและสิ่งที่พวกเขาต้องทำเพื่อแก้ไขทุกอย่างที่เกิดผิดพลาดในโลกของพวกเขา ประเด็นที่ใหญ่โตทั้งหมดนี้ที่เกี่ยวข้องกับครอบครัว มิตรภาพ ความรัก ความทะเยอทะยาน…ทั้งหมดมารวมกันอยู่ในซีเควลนี้ครับ”

การคัดเลือกนักแสดงสำหรับใยแมงมุมใหม่

Spider-Man Across the Spider-Verse สานต่อบันทึกการผจญภัยของไมลส์ โมราเลส ฮีโรลูกครึ่งคนผิวสี/เปอร์โต ริก้า ผู้ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูนโดยผู้สร้างไบรอัน ไมเคิล เบนดิสและซารา พิเชลลีในปี 2011 ผู้ที่ได้รับมอบหมายในการเล่าตอนใหม่ของตำนานนี้คือสองคู่หูคนเก่งเจ้าของรางวัลออสการ์ ฟิล ลอร์ดและคริส มิลเลอร์ (Spider-Man: Into the Spider-Verse, แฟรนไชส์ Cloudy with a Chance of Meatballs, The LEGO Movie), มือเขียนบทเดฟ คัลลาแฮม (Wonder Woman 1984, Shang Chi and the Legend of the Ten Rings) และผู้กำกับวาคิม ดอส ซานโตส (ผู้กำกับ/ผู้ควบคุมงานสร้าง The Legend of Korra, Avatar: The Last Airbender และ Voltron: Legendary Defenders), เคมป์ พาวเวอร์ส (ผู้กำกับร่วม/มือเขียนบทผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์จาก Soul) และจัสติน เค. ธอมป์สัน (ผู้ออกแบบงานสร้าง Spider-Verse ภาคแรกและ Cloudy สองภาค)

“สิ่งที่สร้างแรงบันดาลใจได้จริงๆ คือผู้กำกับใหม่แต่ละครของเราสามารถนำสิ่งที่มีเอกลักษณ์มาสู่ประสบการณ์นี้ได้ เป็นจุดแข็งหรือมุมมองเฉพาะตัวที่แตกต่างจากของพวกเราโดยสิ้นเชิงครับ” ลอร์ดกล่าว “เราอยากจะยกระดับสิ่งที่ทำให้หนังภาคแรกพิเศษสุดขึ้นเป็นสองเท่าโดยไม่รอมชอมใดๆ ทั้งสิ้น เป้าหมายของเราคือการทำให้มันสนุกสุดๆ แต่ก็สามารถล้วงลึกเข้าไปในสิ่งที่ทำให้ไมลส์เป็นแบบนนี้ สิ่งที่ท้าทายเกี่ยวกับการเติบโตขึ้นในครอบครัวของเขาและเรียนรู้ที่จะเป็นตัวของตัวเอง รวมทั้งคลายปมเรื่องความสนิทสนมที่เขาอยากจะมีกับครอบครัวของเขาและอิสรภาพในแบบที่เขาอยากจะมีในฐานะวัยรุ่นด้วยครับ”

สำหรับมิลเลอร์ ซีเควลนี้เป็นโอกาสในการได้ดำดิ่งเข้าไปในธีมที่ซับซ้อนมากขึ้นในชีวิตของไมลส์และตัวละครหลักตัวอื่นๆ “สิ่งหนึ่งที่โดดเด่นขึ้นมาคือไอเดียที่ว่าคุณสามารถเขียนเรื่องราวของตัวคุณเองได้” เขาอธิบาย “แม้ว่าเราทุกคนต่างก็มีอะไรหลายๆ อย่างเหมือนกันและมีบางเส้นทางที่มีคนสัญจรเยอะกว่าหน่อย แต่คุณก็ยังคงจะต้องหาเส้นทางของตัวเองและลุยไปข้างหน้าในแบบของตัวเอง ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่เจ๋งเกี่ยวกับไมลส์ในฐานะตัวละครในหนังภาคแรก และตอนนี้ เราก็ผลักดันไปสู่ไอเดียนั้นแบบจริงๆ จังๆ ในซีเควลครับ”

แน่นอนว่าทีมงานสร้างรู้ดีว่าแฟนๆ ของภาพยนตร์ภาคแรกตั้งความหวังไว้สูงกับ CG อนิเมชันที่สะดุดตาและการสำรวจความเป็นไปได้มากมายของรูปแบบศิลปะ “เรานำทุกอย่างที่เราทำในภาคแรกมาปรับเพิ่มเติมไปสู่ระดับใหม่ครับ” มิลเลอร์กล่าว “กับหนังเรื่องนี้ เราได้ไปเยือนจักรวาลต่างๆ และแต่ละจักรวาลก็มีสุนทรียศาสตร์และสไตล์ศิลป์ของตัวเอง โลกแต่ละใบมีภาพวิชวลที่แตกต่างจากโลกอื่นๆ มากและสิ่งที่ทีมงานในโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันและอิเมจเวิร์คส์ออกแบบออกมาก็ไร้ขีดจำกัดครับ ไม่ว่าคุณจะจินตนาการ วาดภาพหรือคิดอะไรออกมา พวกเขาก็สามารถสร้างมันให้เป็นภาพ 3D ที่น่าตื่นตาตื่นใจได้ และมันก็มักจะเป็นภาพที่น่าตกตะลึงจริงๆ ครับ”

ปีเตอร์ รามซีย์ หนึ่งในผู้กำกับของภาคแรก ก็กลับมาสู่โลก Spider-Verse ด้วยเช่นกัน แต่ครั้งนี้ ในตำแหน่งผู้ควบคุมงานสร้าง “ในตอนที่เราเริ่มคิดถึงไอเดียใหม่ๆ สำหรับหนังเรื่องนี้ เป็นเรื่องที่เย้ายวนใจเกินต้านจริงๆ ที่จะไม่กลับไปสู่โลกใบนี้และเฝ้าดูว่าไมลส์จะไปไหนต่อไปน่ะครับ” รามซีย์เล่า “ตอนที่เราเริ่มต้นเรื่องในภาคสอง เขามีประสบการณ์เพิ่มขึ้นอีกหน่อย เราก็เลยได้เห็นว่าเขาต้องเผชิญหน้ากับปัญหาและความท้าทายใหม่ๆ ยังไงบ้าง ผมหวังว่าผู้ชมจะรู้สึกเหมือนว่าพวกเขาได้กลับมาพบกับเพื่อนที่ดีของพวกเขาอีกครั้ง เราอยากให้พวกเขายังอยู่เคียงข้างเขาในตอนที่เขาผ่านช่วงเวลาที่เลวร้ายและยากลำบาก ที่สำคัญที่สุด ผมหวังว่าการเดินทางของเขาจะให้ความรู้สึกที่แข็งแกร่งทางอารมณ์และทรงพลังเหมือนอย่างในหนังต้นฉบับนะครับ”

วิสัยทัศน์ของพลังจากสามเกลอ

สามผู้กำกับที่กุมบังเหียนของซีเควลภาคนี้ตระหนักดีว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้จะท้าทายยิ่งกว่าโปรเจ็กต์ไหนๆ ในประวัติการทำงานที่น่าประทับใจของพวกเขา จัสติน เค. ธอมป์สัน ผู้ร่วมงานกับลอร์ดและมิลเลอร์ในตำแหน่งต่างๆ ตลอดช่วงเวลา 15 ปี และรับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างของภาคแรกมาก่อน กล่าวว่าเขากระโจนเข้าใส่โอกาสในการได้กำกับซีเควลภาคนี้ร่วมกับเคมป์ พาวเวอร์สและวาคิม ดอส ซานโตส

“มีหลายสิ่งที่เราอยากจะทำในหนังภาคแรก ที่เรายังไม่รู้หรือยังไม่ทันนึกถึงจนกระทั่งเราดูหนังเรื่องนั้นจบไปแล้วน่ะครับ” ธอมป์สันกล่าว “เราพูดกันว่า ‘เดี๋ยวก่อนนะ มีอีกไอเดียที่เราน่าจะทำได้นี่!’ เรามีโอกาสที่จะผลักดันทุกสิ่งที่เราได้เรียนรู้ออกไปอีก และทำลายขีดจำกัดมากขึ้นไปอีกในแง่ของภาพวิชวลและเส้นเรื่อง ผมคิดว่าภาพวิชวลเยี่ยมๆ พวกนั้นจะยอดเยี่ยมได้ก็ต้องมีเรื่องราวดีๆ ก่อน และนั่นเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้กำกับและมือเขียนบทสามารถทำในสิ่งที่พวกเขาทำสำเร็จได้อย่างงดงามในภาคแรกครับ”

ธอมป์สันชี้ว่า ซีเควลทำให้ผู้กำกับมีโอกาสได้แสดงความเคารพต่อนักวาดภาพหนังสือการ์ตูนฝีมือเยี่ยมหลายคนที่พวกเขาชื่นชมมาทั้งชีวิต “ด้วยความที่มันมีลุคต่างๆ พวกนี้ เพราะนักวาดภาพการ์ตูนหลายคนที่เคยวาดภาพสไปเดอร์-แมนหรือสไปเดอร์-วูแมนต่างก็วาดมมันด้วยสื่อประเภทต่างๆ และพวกเขาก็วาดมันในลักษณะที่แตกต่างกันออกไปเล็กน้อยครับ” เขากล่าว “บางคนก็ใช้มาร์คเกอร์ บางคนใช้พู่กัน หรือปากกาหรือหมึก หรือดินสอ ดังนั้น สิ่งที่น่าตื่นเต้นคือ การได้สำรวจเทคนิคที่แตกต่างทั้งหมดนั้นและนำพวกมันมาสู่พื้นที่สามมิติ เพื่อที่มันจะให้ความรู้สึกเหมือนจริง คุณได้เข้าไปในโลกพวกนั้นและได้ก้าวเท้าเข้าไปในหนังสือการ์ตูนพวกนั้นจริงๆ ด้วยสื่อที่ดีที่สุด ที่เป็นที่มาของมันน่ะครับ”
วาคิม ดอส ซานโตสเล่าถึงตอนที่เขาเข้าร่วมทีมว่า “ผมจำได้ว่าพวกเขากำลังปิดกล้องภาคแรกกันอยู่และพอผมได้เห็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจริงๆ ผมก็อึ้งไปเลย” เขากล่าว “ผมเป็นคออนิเมชันและการ์ตูนมาตลอดทั้งชีวิตและโปรเจ็กต์นี้ก็หลอมรวมอิทธิพลต่างๆ พวกนั้นและผลักดันศิลปะรูปแบบนี้ไปอีกระดับเลย ผมก็เลยตกหลุมมันเข้าอย่างจังเลยครับ”
“ข้อดีอย่างหนึ่งของการอยู่ในกองถ่ายของลอร์ดและมิลเลอร์คือทุกคนต่างก็มีสิทธิมีเสียงครับ” ดอส ซานโตสกล่าวต่อ “ถ้าไอเดียไหนเวิร์คหรือใช้การได้ มันก็ไม่สำคัญหรอกว่าไอเดียนั้นจะมาจากไหน มันจะถูกใช้ครับ เรามักหยอกล้อกันเรื่องที่ว่าในฐานะทีมผู้กำกับสามคน เราต่างก็มีพลังพิเศษของตัวเอง จัสติน [เค. ธอมป์สัน] เป็นผู้ออกแบบงานสร้างของภาคแรก และมีสายตาเฉียบคมด้านการออกแบบและรู้ว่าจะจัดการเรื่องการออกแบบยังไงโดยเฉพาะเมื่อคุณต้องไปเยือนโลกที่แตกต่างกันพวกนี้ แน่นอนว่าเคมป์ [พาวเวอร์ส] เป็นมือเขียนบทที่น่าทึ่ง เขามีผลงานวิเศษสุดมากมาย ที่ได้รับรางวัล และคู่ควรที่จะได้รับอะไรมากกว่านั้นเพราะเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญอย่างแท้จริง แบ็คกราวน์ของผมคือการเป็นนักวาดภาพเรื่องราว ผมก็เลยชำนาญด้านการเล่าเรื่องผ่านทางงานกล้องวิชวล เรามักจะตรวจดูงานของกันและกันอย่างสม่ำเสมอและเปิดเผยให้กันและกันดูว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ และทุกคนก็สามารถแสดงความเห็นได้ มันเป็นกระบวนการแบบประชาธิปไตยมากๆ ครับ”

พาวเวอร์สเปรียบเทียบการกำกับภาพยนตร์อนิเมชันฟอร์มยักษ์อย่าง Spider-Verse กับการกระโดดขึ้นไปบนรถไฟความเร็วสูงระหว่างที่มันแล่นอยู่ “คุณต้องเรียนรู้หลายเรื่องอย่างรวดเร็วครับ” เขาตั้งข้อสังเกต “การสร้างหนังอนิเมชันทุกเรื่องเป็นกระบวนการที่ต้องอาศัยการร่วมมือกันอย่างมากและผมก็กระโจนเข้าใส่โอกาสในการได้ร่วมงานกับกลุ่มคนที่มีพรสวรรค์อย่างเหลือเชื่อ ผมเชื่อว่าพวกเขาได้เปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ในโลกภาพยนตร์อนิเมชันไปจริงๆ นี่เป็นหนังที่สวยงามในเชิงเทคนิคและเป็นเรื่องราวที่เต็มไปด้วยความอบอุ่นหัวใจด้วย” เขากล่าวเสริม “เราทุกคนต่างก็เป็นนักเล่าเรื่อง และคุณก็มักจะไล่ตามเรื่องราวดีๆ เสมอ บอกตามตรงนะครับ ไม่มีเรื่องราวไหนที่ยอดเยี่ยมไปกว่าเรื่องของสไปเดอร์-แมนอีกแล้ว เขาเป็นหนึ่งในซูเปอร์ฮีโรคนโปรดของผมเสมอและไมลส์ โมราเลสก็กลายเป็นหนึ่งในตัวละครโปรดของผมในทันที การมีโอกาสได้เล่นกับตัวละครต่างๆ พวกนี้จากโลกของสไปเดอร์-แมนและได้สร้างในสิ่งที่ผมหวังว่าจะเป็นตำนานใหม่ในโลกใบนี้เป็นฝันที่เป็นจริงเลยล่ะครับ”

ผู้กำกับทั้งสามมีความรู้สึกว่าการเล่นรถไฟเหาะตีลังหาผ่านทาง Spider-Verse ในฤดูร้อนนี้จะเป็นอะไรที่เกินความคาดหวังของทุกคน “ผมรู้สึกว่าเรามีศักยภาพที่จะสร้างความแปลกใจให้กับทุกคนในขณะที่ยึดเหนี่ยวรากเหง้าของสิ่งที่ทำให้หนังเรื่องนี้ยอดเยี่ยมเหลือเกินเอาไว้ ซึ่งนั่นคือเรื่องราวเกี่ยวกับไมลส์ โมราเลสและครอบครัวของเขา เพื่อนของเขาและการดิ้นรนของเขาน่ะครับ” พาวเวอร์สกล่าว

การใช้เครื่องมือใหม่ในกล่องเครื่องมือ

แพทริค โอ’ คีฟ ผู้ออกแบบงานสร้างของเรื่องก็เคยทำงานใน Spider-Verse มาก่อนในฐานะผู้กำกับศิลป์ เขาเล่าถึงการที่เทคโนโลยีใหม่ๆ ที่พัฒนาขึ้นมาที่โซนี อนิเมชันได้เป็นสะพานเชื่อมระหว่างลุค 2D ที่มีสไตล์และภาพวิชวล CG ที่ทันสมัยได้อย่างไร “มียุคหนึ่งที่ทุกคนจะวาดภาพบนกระดาษและคุณจะรู้สึกได้ถึงความตั้งใจและฝีมือของนักวาดภาพคนนั้น” เขากล่าว “ในการสร้างหนังที่มีสเกลและสโคปแบบนี้ เราต้องสร้างมันผ่านกระบวนการ CG มันเกี่ยวพันถึงสไตล์การเล่าเรื่องน่ะครับ แต่เราก็อยากให้เทคนิคดั้งเดิมพวกนี้ผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ด้วย ดังนั้น ก็เลยมีการสร้างเครื่องมือใหม่ๆ ขึ้นมาในสตูดิโอของเราเพื่อตัดเส้นตัวละครของเราด้วยเส้นหมึก ระหว่างที่พวกเขาเคลื่อนตัวผ่านห้วงมิติ ดังนั้น แทนที่จะเป็นการลงน้ำหนักสีที่ตัวละคร พวกมันจะมีการไล่ระดับและผสมผสานเหมือนเทคนิคสื่อเปียกบนเปียกครับ”

ผู้กำกับศิลป์ดีน กอร์ดอนกล่าวเสริมว่า “หนึ่งในความท้าทายและรางวัลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโปรเจ็กต์นี้คือการหาคำตอบว่าจะพัฒนาอัตลักษณ์ด้านวิชวลที่ชัดเจนและเอกลักษณ์ของแต่ละโลกที่เราไปเยือนได้ยังไงน่ะครับ นั่นหมายถึงวิธีที่เรานึกถึงโลกต่างๆ และวิธีการสร้างภาพของเราจะต้องแตกต่างกันจริงๆ สิ่งที่เยี่ยมคือเราไม่ต้องกังวลถึงการทำในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ เป้าหมายของเราคือการสร้างศิลปะแล้วส่งต่อมันให้กับแผนกเทคนิค เพื่อให้พวกเขาสามารถสร้างสไตล์ภาพประกอบที่แตกต่างและมีชีวิตชีวาเหล่านี้ได้ เราสามารถปล่อยให้อารมณ์ศิลปินขับเคลื่อนและสร้างแรงบันดาลใจให้กับสิ่งที่ปรากฏบนหน้าจอแทนที่จะเป็นสิ่งที่เทคโนโลยีทำได้และไม่ได้น่ะครับ”

“ตัวละครใหม่บางตัวของเวอร์ชันอัพเดทจากของเก่าจะมีธรรมชาติความเป็นกราฟิกมากกว่า” อลัน ฮอว์กินส์ หัวหน้าฝ่ายอนิเมชันตัวละครกล่าว “ธรรมชาติความมีเหลี่ยมมุมของแบบดีไซน์บางอย่างและสโคปและสเกลโดยรวมจะยิ่งใหญ่ขึ้นเยอะ เราได้ไปในโลกที่เราไม่เคยไปมาก่อน และแต่ละโลกก็มาพร้อมกับกฎ สถานการณ์และความคิดอ่านด้านการออกแบบที่แตกต่างกัน เราเดินหน้าขัดเกลาสิ่งต่างๆ ที่ใช้งานได้ และยกระดับองค์ประกอบสิ่งต่างๆ ที่ไม่ค่อยได้รับความสนใจในภาคแรกขึ้น นอกเหนือจากนั้น ในแง่ของการแสดง ความซับซ้อนและความลึกซึ้งที่ทุกคนต้องการ มันยากขึ้นเยอะครับ ตัวละครแต่ละตัวมีเลเยอร์ของความต้องการ ความจำเป็นและแรงจูงใจหลายชั้น เราต้องล้วงลึกเข้าไปในธีมและไอเดียของเราจริงๆ โดยมีโฟกัสสำคัญไปที่รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เพราะความแตกต่างที่ละเอียดอ่อนที่สุดในการกระทำของตัวละครสามารถถ่ายทอดข้อความที่แตกต่างกันไปถึงผู้ชมได้ครับ”

อ็อคตาวิโอ อี. โรดริเกซ (ผู้กำกับร่วมภาพยนตร์ปี 2021 เรื่อง Ron’s Gone Wrong) หัวหน้าฝ่ายเรื่องราวของเรื่อง กล่าวว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้อ้างอิงภาพยนตร์คลาสสิกอย่าง Akira, Blade Runner และงานศิลปะของนักออกแบบแห่งโลกอนาคตอย่างซิด มี้ด ในตอนที่เขาและทีมงานค้นคว้าข้อมูลสำหรับซอกมุมต่างๆ ในโลกของ Spider-Verse นอกจากนี้ เขายังได้กล่าวชื่นชมความพยายามของภาพยนตร์เรื่องนี้ในการนำเสนอวัฒนธรรม เชื้อชาติและประเทศต่างๆ ทั่วโลกด้วย “เราพยายามที่จะทำให้สมจริงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ด้วยตัวละครและสภาพแวดล้อมต่างๆ” เขาตั้งข้อสังเกต “เรานำเสนอลุคที่เป็นคู่ขนานกันสำหรับฮีโรสไปเดอร์คนอื่นๆ ในอินเดีย อังกฤษและสถานที่อื่นๆ ผมหวังว่าผู้ชมจะเดินออกมาพร้อมกับข้อคิดที่ว่าชีวิตอาจยากลำบาก แต่คุณต้องก้าวไปข้างหน้า ตามเส้นทางของคุณ การร้องขอความช่วยเหลือเป็นเรื่องที่ทำได้! เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นจริงๆ ที่ได้ทำงานในหนังที่คุณรู้สึกว่าผู้ชมจะกลับไปดูอีกครั้งและอยากจะกดย้อนกลับเพื่อสังเกตรายละเอียดทั้งหมดอีกครั้งน่ะครับ”

การสร้างโลกใหม่ที่โดดเด่น

หนึ่งในแง่มุมพิเศษของซีเควลนี้คือความจริงที่ว่ามันพาผู้ชมไปสู่โลกคู่ขนานที่มีเอกลักษณ์ของตัวเอง ซึ่งโลกแต่ละใบจะมีสไปเดอร์-แมนเวอร์ชันต่างๆ และเพื่อนๆ ของเขาอาศัยอยู่ ยกตัวอย่างเช่น

มิติบ้านของเกวน สเตซี (โลก-65)
ใครที่จดจำฉากยุค 90s ช่วงก่อนการเปลี่ยนแปลงชนชั้นของย่านเชลซีในแมนฮัตตัน รวมถึงมิวสิค วิดีโอของเนอร์วานาได้ อาจจะรู้สึกคุ้นตาอยู่บ้าง เมื่อพวกเขาได้เห็นโลกของเกวน ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากลุคของหนังสือการ์ตูนเกวน สเตซี/โกสต์-สไปเดอร์ร่วมสมัย

ตามที่ดีน กอร์ดอน ผู้กำกับศิลป์ของเรื่องอธิบาย “โลก-65 ของเราส่วนใหญ่ได้เค้าโครงจากหน้าปกหนังสือการ์ตูนสไปเดอร์-เกวนยุคเริ่มแรก ซึ่งจะมีภาพกราฟิกและสีสันที่แจ่มชัด บางครั้ง เราจะได้ภาพเงาที่มีการลงสีหนักๆ แทรกผ่านร่างเงาเหล่านั้น เกวนมีสีสันของตัวเอง ซึ่งบ่งบอกถึงอารมณ์และขึ้นอยู่กับอารมณ์ในขณะนั้นของเธอ โลกของเธอเป็นเหมือนตัววัดระดับอารมณ์ของเธอครับ สิ่งที่เกวนกำลังประสบพบเจอจะถูกถ่ายทอดออกมาทางสีที่ปรากฏรอบตัวเธอ มันสะท้อนถึงบทบาทของสีสันในหนังสือการ์ตูนด้วย ในช่องหนึ่ง คุณอาจจะเจอกับสีที่เป็นธรรมชาติ แล้วในช่องถัดไป คุณก็อาจจะเจอกับแบ็คกราวน์สีล้วนเพื่อแสดงออกถึงปฏิกิริยาทางอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่งน่ะครับ”

ด้วยความที่เกวนโฟกัสไปที่ช่วงเวลาในปัจจุบันเป็นอย่างมาก ทุกอย่างที่อยู่นอกเหนือจากความสนใจของเธอจะจางลงไปเป็นสีแอ็บสแทร็คในแบ็คกราวน์ เพื่อเป็นภาพวิชวลที่แทน “วิสัยทัศน์อุโมงค์” ของเธอ อลัน ฮอว์กินส์ หัวหน้าฝ่ายอนิเมชันตัวละคร ขยายความว่า “โลกของเกวนเป็นพายุไซโคลนสีสันครับ เรากำลังมองเห็นช่วงเวลาที่ฉากจะเลือนรางหายไปและเห็นแต่สีสัน มันให้ความรู้สึกเหมือนประสบการณ์วิญญาณหลุดจากร่างระหว่างช่วงเวลาที่เข้มข้น จริงจัง แต่ละโลกจะถูกผลักดันไปไกลกว่าเดิม ทั้งในแง่ของคอนเซ็ปต์และภาพวิชวลครับ”

มิติบ้านของไมลส์ โมราเลส (โลก-1610)

นี่คือบรู๊คลินและแมนฮัตตันที่เราจำได้จากภาพยนตร์ภาคแรก สิ่งที่ทำให้โลกใบนี้โดดเด่นคือการผสมผสานลานเส้นของงานโมเดล 3D จุดเบน-เดย์ (วิธีการพิมพ์ที่ใช้จุดสีเล็กๆ แบบเว้นระยะห่างและผสมผสานกัน เพื่อสร้างเฉดและสีสันในภาพ) และภาพฮาล์ฟโทนสำหรับพื้นผิวและการใช้ออฟเซทเพื่อสร้างความรู้สึกแบบมิติ

ผู้กำกับวาคิม ดอส ซานโตสอธิบายว่า “คุณจะได้เห็นฝีมือของนักวาดภาพบนหน้าจอจริงๆ เห็นได้ชัดว่าโลกของไมลส์เป็นจดหมายรักที่ยิ่งใหญ่ที่ส่งถึงการ์ตูนคลาสสิก มันมีแต่เทคนิคจุดเบน-เดย์และเทคนิคต่างๆ พวกนี้ก็ถูกสำรวจล้วงลึกมากขึ้นไปอีก เดอะ สปอต ตัวร้ายของเรา กลายเป็นสิ่งที่บุกรุกเข้าไปในโลกต่างๆ ทั้งหมดนี้ สิ่งหนึ่งที่เผยเป็นนัยถึงเรื่องนี้ในภาคแรกคือสีสันที่น่าทึ่งของเคอร์บี้ แคร็กเกิล (เครื่องมือสร้างสไตล์ที่ประกอบไปด้วยจุด เส้นสายและพื้นที่สีดำที่วางซ้อนทับลงบนแบ็คกราวน์หลากสีสัน ที่สร้างขึ้นมาโดยนักวาดการ์ตูน แจ็ค เคอร์บี้ เพื่อนำเสนอพลังงานที่ไม่อาจอธิบายได้ มีความเคลื่อนไหวหรือพลังงานจากจักรวาลในลักษณะของภาพ) ที่จะปรากฏทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์การชนกันของอนุภาคครั้งใหญ่ ในหนังเรื่องนี้ สปอตผลักดันคอนเซ็ปต์นั้นไปสู่อีกระดับในแง่ของวิชวลน่ะครับ”

มิติบ้านของปะวิตร ประภาคา – มุมแบตตัน (โลก-50101)

โลกของปะวิตร ประภาคา/สไปเดอร์-แมน อินเดียเป็นภาพมันดาลาของลวดลายและสีสัน ที่มีเพียงเขาเท่านั้นที่เหมาะจะท่องโลกใบนี้ มีตึกระฟ้ากระจกและเหล็กกล้าหลากสีสัน ที่มีการประดับประดาเหมือนวิหารหินโบราณสุดลูกหูลูกตา เมื่อมองด้านสถาปัตยกรรมแล้ว โลกใบนี้ผสมผสานระหว่างโลกสมัยใหม่และโบราณเข้าไว้ด้วยกัน นี่เป็นนครหลวงที่เต็มไปด้วยผู้คนหลากหลาย มีการแต่งแต้มวัฒนธรรมอินเดียดั้งเดิมเข้าไป แต่ตัวเมืองและประชากรของมันเป็นอะไรที่ร่วมสมัยมากๆ

ในการจินตนาการถึงภาพลูกผสมที่ละลานตาระหว่างแมนฮัตตันและมุมไบ ทีมงานสร้างสรรค์ได้หาแรงบันดาลใจจาก Indrajal Comics ของอินเดียในช่วงยุค 70s “นักวาดภาพหลายคนมีผลงานโดดเด่นในหนังสือการ์ตูนพวกนั้น และพวกเขาก็โด่งดังจากลายเส้นหลวมๆ ของพวกเขาครับ” มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างฟิล ลอร์ดกล่าว “หนังสือการ์ตูนพวกนี้มีวิธีการพิมพ์พิเศษ ซึ่งเราก็จำลองมาใช้กับส่วนของปะวิตรในหนังเรื่องนี้ เราอยากจะสัมผัสถึงร่องรอยและพื้นผิวของกระดาษที่เรื่องราวถูกตีพิมพ์ลงไปจริงๆ ครับ”

ตามที่ผู้กำกับวาคิม ดอส ซานโตสกล่าว “สำหรับทีมงานบางคนของเรื่องที่โตขึ้นมาในอินเดีย นี่เป็นหนังสือการ์ตูนที่พวกเขาโตมากับมัน และการ์ตูนพวกนี้ก็ช่วยหล่อหลอมไอเดียของเราว่าโลกใบนี้ควรมีลักษณะเป็นอย่างไร สำหรับโลกใบนี้ เราได้จับมุมไบและแมนฮัตตันมาเขย่ารวมกัน แล้วเทน้ำออกจากแม่น้ำอีสต์ ซึ่งทำให้แม่น้ำอีสต์กลายเป็นเหวกว้างใหญ่ ที่เมืองแห่งนี้จะสร้างบนนั้นแล้วมีการทับซ้อนลงไป ชั้นแล้วชั้นเล่า ลักษณะที่พวกสไปเดอร์เคลื่อนไหวผ่านโลกใบนั้นเป็นภาพที่น่าทึ่งครับ”

มิติโลกของมิเกล โอ’ ฮารา – นิววา ยอร์ก (โลก-928)

มิเกลมาจากโลกของนิววา ยอร์ก ซึ่งเป็นนิวยอร์ก ซิตี้แสนเนี้ยบแห่งโลกอนาคต ที่ซุกซ่อนความลับที่มืดมิดไว้เบื้องหลัง ในโลกใบนี้ ชนชั้นปกครองได้แลกเปลี่ยนความเป็นมนุษย์เพื่อให้ได้มาซึ่งสรวงสวรรค์ “สมบูรณ์แบบ” ภายใต้การควบคุมของปัญญาประดิษฐ์ “โลกใบนี้มีความเฉยเมยและไม่ต้อนรับคนภายนอกที่รบกวนกฎระเบียบที่ระมัดระวังของสิ่งต่างๆ” ผู้กำกับเคมป์ พาวเวอร์ส “ในแง่ของการเรนเดอร์ เราเห็นภาพสเก็ตช์จากดินสอสีฟ้า การลงสีแบบหยาบๆ และลุคแบบสีอะคริลิคในขั้นตอนสุดท้ายครับ”

ผู้กำกับวาคิม ดอส ซานโตสเล่าว่า โลก-928 เป็นตัวอย่างที่เพอร์เฟ็กต์ว่าภาพยนตร์อนิเมชันสามารถยิ่งใหญ่และท้าทายได้มากแค่ไหนในปี 2022 “เราไม่ได้ทิ้งอะไรไปโดยเปล่าประโยชน์ ซึ่งหมายถึงเราจะนำเสนอภาพวิชวลหลากหลาย ตั้งแต่ภาพที่สามารถให้ความรู้สึกที่เรียบง่ายพอๆ กับสิ่งที่เด็กๆ เห็นในความคิดของพวกเขา ไปจนถึงศิลปะที่สร้างสรรค์โดยนักวาดภาพที่เก่งกาจที่สุดเท่าที่เราจะหามาได้ ยกตัวอย่างเช่น นิวยอร์กในโลกอนาคตนี้ได้แรงบันดาลใจส่วนใหญ่มาจากผลงานของศิลปินวิสัยทัศน์กว้างไกลอย่างซิด มี้ดและรอน บ็อบบ์ครับ”

อลัน ฮอว์กินส์ หัวหน้าฝ่ายอนิเมชันตัวละครกล่าวเห็นพ้องกับคำพูดของดอส ซานโตสว่า “ผมรักโลกของมิเกล โอ’ ฮารา และการที่มันได้รับอิทธิพลอย่างมากจากคอนเซ็ปต์อาร์ตของซิด มี้ดครับ โลกเหนือพื้นดินเป็นอะไรที่เป็นอุดมคติมาก ที่มีสีฟ้าเยอะแยะและเส้นสายที่สะอาดตา แล้วส่วนใต้ดินก็ได้แรงบันดาลใจจากภาพอนาคตที่มืดหม่นกว่า เหมือนอย่างใน Blade Runner น่ะครับ”

ผู้กำกับจัสติน เค. ธอมป์สันกล่าวเสริมว่า “นิววา ยอร์กมีภายนอกที่แข็งกร้าวและเย็นยะเยียบ และมีปัญหามากมายซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งสอดคล้องไปกับลักษณะที่มิเกลถูกนำเสนอออกมาในหนังเรื่องนี้เลยล่ะครับ ความตั้งใจของเราคือการกระตุ้นให้เกิดความรู้สึกแบบโลกอนาคตที่ได้รับการตกแต่งให้ดูดี คล้ายๆ กับงานของซิด มี้ดในยุค 1980s และในการ์ตูนเรื่อง Space 1999 “ทุกอย่างสะอาดสะอ้าน คมกริบและเจ๋ง ด้วยสถาปัตยกรรมแบบบรูทัลลิสต์ทุกหนทุกแห่งครับ”
“การสามารถดึงเอาแรงบันดาลใจจากหนังสือการ์ตูนไซไฟและคอนเซ็ปต์การออกแบบจากพวกยุค 70s และ 80s จากฝีมือนักวาดภาพอย่างซิด มี้ด, จอห์น เบอร์กี้, จอห์น แฮร์ริสและจอห์น เบล เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นครับ” ผู้ออกแบบงานสร้าง แพทริค โอ’ คีฟ กล่าว “นอกจากนั้น เรายังได้ดูผลงานมากมายที่เกิดขึ้นก่อนหน้านั้น ช่วงเริ่มแรกในการทำงานของนักวาดภาพเหล่านั้น ตอนที่พวกเขาขายรถและจินตนาการถึงโลกในอนาคต แน่นอนครับว่าหลังจากนั้น เราก็ได้พบว่ายูโทเปียแห่งนี้มีจุดด้อยที่มืดมนกว่านั้นเยอะครับ”

โลกสไปเดอร์-พังค์

แม้ว่าเราจะได้เห็นมันเพียงแค่แวบเดียวในภาพยนตร์เรื่องนี้ โลกของสไปเดอร์-พังค์ก็มีเค้าโครงจากแวดวงพังค์ยุคเริ่มแรกในลอนดอน ในการสร้างแบ็คกราวน์ด้านวิชวลที่แสดงความเคารพต่อยุคเดียวกันนั้น นักออกแบบได้ค้นคว้าข้อมูลงานศิลปะ การ์ตูนและนิตยสารจากอังกฤษในยุค 70s “เรามองดูการใช้ภาพคอลลาจ สื่อใหม่ๆ และการทำงานกับเครื่องถ่ายเอกสารเพื่อให้ได้ความเจือจางที่เกิดจากการทำซ้ำสื่อรอบแล้วรอบเล่า” ผู้ออกแบบงานสร้างแพทริค โอ’ คีฟกล่าว “เราต้องการรวมองค์ประกอบทั้งหมดนี้มาเพื่อสร้างโลกที่ไม่ได้ถูกนำเสนอออกมาในรูปแบบเดียวอยู่ตลอด แต่มีความเป็นหนึ่งเดียวกันในแง่ของทิศทางอารมณ์ มันเป็นโลกสุดป่วนที่ได้รับอิทธิพลจากนักวาดภาพจากจิม มาห์ฟู้ดและแอชลีย์ วู้ด ด้วยการนำความตื่นเต้นและพลังงานนั้นมาสู่คุณภาพของลายเส้นและรักษาความรู้สึกแบบ ‘พังค์’ ของยุคนั้นเอาไว้”

ตัวละครหลัก

ไมลส์ โมราเลส (สไปเดอร์-แมน)

ไมลส์ โมราเลส ยังคงรู้สึกมึนงงจากประสบการณ์แรกของเขาในฐานะสไปเดอร์-แมน ใน Across the Spider-Verse เขาอายุมากขึ้น ฉลาดขึ้นและมีความสามารถมากขึ้นหลังจากผ่านความท้าทายมากมายในช่วงปีแรกของเขาในฐานะซูเปอร์ฮีโรไฮสคูล

“เราได้เดินเรื่องต่อหลังจากตอนจบของภาคแรกสองสามเดือน และเราก็ได้ไปดูว่าตอนนี้ ไมลส์และเกวนเป็นยังไงกันบ้างแล้ว” มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างฟิล ลอร์ดกล่าว “ไมลส์โตขึ้นเยอะ และมันก็ทำให้เรามีข้ออ้างในการใช้การออกแบบและเครื่องแต่งกายใหม่ๆ สำหรับตัวละครตัวนี้ที่เจ๋งๆ เขายังคงพยายามค้นหาความหมายในการเป็นซูเปอร์ฮีโร แต่ปัญหาก็คือมันเป็นเรื่องง่ายดายกว่าเยอะเมื่อเขามีคนอื่นๆ ที่เหมือนกับเขาอยู่รอบด้าน แต่ตอนนี้เมื่อพวกเขาไม่อยู่แล้ว ทั้งไมลส์และเกวนต่างก็รู้สึกถึงการขาดหายไปของกลุ่มคนที่เข้าใจว่าพวกเขากำลังเจอกับอะไรน่ะครับ”

นักแสดงหนุ่ม ชามี้ค มัวร์ ผู้พากย์เสียงซีเควลนี้กล่าวว่า “มันเป็นปัญหาหนักอกแสนคลาสสิกสำหรับสไปเดอร์-แมน ที่ต้องรักษาสมดุลระหว่างการเป็นเพื่อนที่ดี การเป็นสมาชิกครอบครัวที่ดี การเป็นนักเรียนที่ดีและการเป็นวัยรุ่น นั่นเป็นเรื่องที่เราเข้าถึงได้ครับ เขาพยายามตามหาเป้าหมายของตัวเองไปพร้อมๆ กับการหาคำตอบเกี่ยวกับตัวเอง มีเรื่องมากมายที่เขาต้องเผชิญและผมคิดว่าเราทุกคนต่างก็เข้าใจเรื่องนั้นได้ในระดับหนึ่งนะครับ”

เกวน สเตซี (สไปเดอร์-วูแมน)

เกวน สเตซี ผู้เป็นที่รู้จักในนามของสไปเดอร์-วูแมนแห่งโลก-65 ที่น่าอัศจรรย์ใจ ได้เผชิญหน้ากับความท้าทายใหม่ๆ มากมายในซีเควลภาคนี้ ด้วยพละกำลัง ความเร็ว ความคล่องตัวและสไปเดอร์เซนส์ที่ยกระดับขึ้น เธอเป็นซูเปอร์ฮีโรผู้มั่นใจ และสามารถเข้าใจได้ถึงสิ่งที่ไมลส์กำลังเผชิญอยู่ ทั้งในฐานะนักเรียนไฮสคูลและนักสู้อาชญากรรมภายใต้หน้ากาก

ผู้อำนวยการสร้างคริสตินา สเตนเบิร์กชี้ให้เห็นว่า “ไอเดียของการมีซูเปอร์ฮีโรผู้หญิงเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากๆ สำหรับฉัน ฉันโตขึ้นมากับความรักในซูเปอร์ฮีโร แต่ฉันไม่เคยเห็นตัวเองอยู่บนนั้นเลย มาตอนนี้ ฉันได้เห็นแล้วว่าลูกสาวของฉันตื่นเต้นแค่ไหนที่ได้เห็นสไปเดอร์-วูแมนที่มีชีวิตชีวาบนจอเงิน ความเป็นไปได้ที่เกวนและตัวละครอื่นๆ ทั้งหมดเปิดโอกาสให้เราได้สำรวจในหนังเรื่องนี้เป็นอะไรที่น่าทึ่งทีเดียวค่ะ”

นักแสดงหญิงเฮลลี สเตนเฟลด์ ผู้กลับมารับบท เกวน อีกครั้งในซีเควลนี้ กล่าวว่า “ความสัมพันธ์ระหว่างเกวนกับไมลส์ครั้งนี้ค่อนข้างจะซับซ้อนค่ะ มีสายสัมพันธ์แน่นแฟ้นระหว่างตัวละครสองตัวนี้และแม้ว่าเกวนจะอยากผลักดันไมลส์ให้ทำในสิ่งที่เธอรู้ว่าเขายิ่งกว่าสามารถทำได้ แต่เธอก็อยากจะอยู่กับเขาด้วย ซึ่งก็มีอะไรหลายๆ อย่างมาขวางกั้นระหว่างพวกเขา มันคงจะเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นที่ได้เห็นว่าการเดินทางของพวกเขานำพาพวกเขาไปที่ไหนจากจุดนี้น่ะค่ะ”

มิเกล โอ’ ฮารา (สไปเดอร์-แมน 2099)

มิเกล ที่พากย์เสียงโดยออสการ์ ไอแซ็ค เป็นหนึ่งในตัวละครใหม่ตัวแรกๆ ที่ไมลส์ได้เจอตอนที่เขาเริ่มต้นการเดินทางข้ามสไปเดอร์-เวิร์ส

“เขาและไมลส์ไม่ลงรอยกัน และในบางแง่มุม พวกเขาก็เป็นปรปักษ์กันค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างคริสตินา สเตนเบิร์กกล่าว “มิเกลเป็นตัวละครที่รุ่มรวย น่าตื่นเต้น และน่าสนใจทีเดียวเพราะเขามีความมืดหม่นในตัวค่ะ”

“แน่นอนว่ามิเกลเป็นหนึ่งในตัวละครใหม่ที่สำคัญของเรา” ผู้กำกับเคมป์ พาวเวอร์สกล่าว “เราได้เห็นว่าเขาจงใจกระโดดข้ามมิติในตอนจบของภาคแรก และนับตั้งแต่นั้นมา เขาก็ยุ่งมากๆ เขาเป็นผู้สร้างและเป็นผู้บังคับบัญชาของกองกำลังมิติสากล ที่เรียกว่า สไปเดอร์-โซไซตี้ มีความผิดปกติบางอย่างแผ่ซ่านไปทั่วโลกต่างๆ และมิเกลก็มอบหมายหน้าที่ให้กับตัวเองในการพาทุกคนกลับไปสู่ที่ที่เป็นของพวกเขา เขาได้ไปเยือนมิติอื่นๆ เพื่อจับวายร้ายพวกนี้และนำพวกเขากลับไปสู่โลกของพวกเขา เขามีบุคลิกที่แตกต่างจากสไปเดอร์คนอื่นๆ อย่างมาก เขาจริงจังมากกว่าและไม่ชอบการเล่นสำบัดสำนวน เป็นเรื่องที่เชื่อได้ยากนะครับ แต่เราสามารถสร้างเรื่องตลกได้มากมายจากความจริงที่ว่าเขาเป็นคนจริงจังเหลือเกินน่ะครับ”

นักแสดงหนุ่ม ออสการ์ ไอแซ็ค ผู้พากย์เสียง มิเกล ในภาพยนตร์เรื่องนี้ กล่าวว่า “สไปเดอร์-แมนเป็นหนึ่งในตัวละครหนังสือการ์ตูนที่เป็นภาพจำมากที่สุดตลอดกาลและหนังเรื่องนี้ก็เป็นตัวแทนเรื่องราวสไปเดอร์-แมนเวอร์ชันที่ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างประณีตที่สุด ผมรู้สึกภาคภูมิใจเสนอที่ได้รู้ว่ามีสไปเดอร์-แมนเชื้อสายลาตินอยู่ และผมก็เป็นเกียรติที่ได้เนรมิตชีวิตให้กับมิเกล โอ’ ฮารา การค้นพบเสียงของเขา ความจริงจังของเขา ความมืดหม่นที่น่าเศร้าของเขา อารมณ์ขันของเขา (หรือการขาดมัน) เป็นกระบวนการสร้างสรรค์ที่สนุกสนานครับ เราเดินหน้าผลักดันเพื่อทำให้เขามีความพิเศษและโดดเด่นที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ”

เจสสิกา ดรูว์ (สไปเดอร์-วูแมน)

เจสสิกา ดรูว์ สไปเดอร์-วูแมนแห่งโลก-332 สุดเจ๋งที่ท้องแก่มากแล้ว จะกลายเป็นหนึ่งในตัวละครขวัญใจผู้ชมตัวใหม่ของภาพยนตร์เรื่องนี้อย่างแน่นอน เจสสิกา ที่พากย์เสียงโดยอิซซา เรย์ ปรากฏกายครั้งแรกบนมอเตอร์ไซค์เพื่อมาขู่วัลเจอร์ในการเผชิญหน้ากันที่พิพิธภัณฑ์กุกเกนเฮม

ผู้อำนวยการสร้างคริสตินา สเตนเบิร์กชี้ให้เห็นว่า “เจสสิกาเป็นสไปเดอร์-วูแมนที่แข็งแกร่งและน่าประทับใจที่สุด ที่เรายังไม่เคยเจอค่ะ เธอมีประสบการณ์กับบทบาทนี้มาแล้วหลายครั้งในโลกของเธอ เธอก็เลยมีท่าทีแข็งกร้าว และจริงจัง แล้วเธอก็ได้ขี่มอเตอร์ไซค์ที่เจ๋งจริงๆ ด้วยค่ะ!”

อิซซา เรย์ ผู้พากย์เสียง เจสสิกา เรย์ กล่าวถึงตัวละครของเธอว่า “เธอเป็นฮีโรในทุกๆ ด้านค่ะ บางครั้ง การเป็นฮีโรเกี่ยวข้องกับการเสียสละเพื่อส่วนรวม และด้วยความที่เจสสิกากำลังเริ่มต้นสร้างครอบครัวของตัวเอง เธอก็เลยอยากจะทำให้แน่ใจว่า โลกที่เธอกำลังจะให้กำเนิดลูกน้อยขึ้นมานั้นเป็นโลกที่ปลอดภัย เธอก็เลยทำทุกอย่างเท่าที่เธอจะทำได้เพื่อทำให้แน่ใจว่าเธอได้หยุดยั้งความชั่วร้ายในโลกใบนี้ พร้อมไปกับการเป็นครูที่ยอดเยี่ยมให้กับสไปเดอร์รุ่นใหม่ๆ ซึ่งรวมถึงเกวนด้วยค่ะ”

“เด็กสาวและเด็กหญิงทุกคนอยากจะเป็นเกวนในตอนที่หนังภาคแรกเข้าฉายครับ และตอนนี้ แม่ๆ ทุกคนก็จะต้องอยากเป็นเจสสิกา ดรูว์” มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างคริส มิลเลอร์กล่าว “นี่เป็นสไปเดอร์-วูแมนเวอร์ชันที่แตกต่างออกไปจากที่ผมคิดว่าคนจะคุ้นชิ้นกัน” ผู้กำกับเคมป์ พาวเวอร์สกล่าว “เห็นได้ชัดว่าเธอกำลังตั้งท้องอยู่ในตอนที่เธอสู้กับวายร้าย และเธอก็ร้ายกาจทีเดียว เธอเป็นหนึ่งในสไปเดอร์ที่ไม่ได้ใช้ชีวิตสองด้าน และเธอก็สามารถซื่อสัตย์กับตัวเอง ซึ่งหมายถึงว่าเธอมีสไตล์อย่างเหลือเชื่อ เธอมีมอเตอร์ไซค์เจ๋งๆ ที่สามารถขี่ขึ้นไปบนกำแพงได้ เธอแต่งตัวในรูปแบบที่เป็นการผสมผสานกันที่ยอดเยี่ยมระหว่างชุดที่เน้นประโยชน์ใช้สอยและชุดไฮแฟชันครับ”

เรย์กล่าวต่อว่า “หนังภาคแรกเป็นปรากฏการณ์เลยค่ะ มันเกินกว่าทุกความคาดหวังของฉัน และฉันก็เป็นตัวยงของสไปเดอร์-แมน ฉันเป็นแฟนของสไปเดอร์-แมนมาตั้งแต่ป.3แล้ว ฉันดูซีรีส์อนิเมชันเรื่องนี้ตอนยังเล็กและแน่นอนว่าฉันได้ดูหนังไลฟ์แอ็กชันทุกเรื่องเลย ดังนั้น ตอนที่ฉันเข้ามาทำงานใน Spider-Verse ฉันก็ไม่ได้รู้จริงๆ จังๆ หรอกค่ะว่าจะเจอกับอะไร แต่มันก็แค่ทำให้ฉันอึ้งที่ว่ามันตลกแค่ไหน รวมไปถึงเรื่องของดนตรี องค์ประกอบหลากวัฒนธรรมและความสมจริงของมัน มันเหลือเชื่อเลยล่ะค่ะ ดังนั้น พอฉันได้รับคำชวนให้เป็นส่วนหนึ่งของซีเควลนี้ ฉันก็เสียสติไปเลย ครอบครัวและเพื่อนๆ ของฉันต่างก็รู้ว่าฉันรักสไปเดอร์-แมนมากแค่ไหน ทุกคนเคยให้สิ่งต่างๆ ที่เป็นสไปเดอร์-แมนกับฉันตั้งแต่ป.3จนเข้ามหาวิทยาลัย พวกเขาคิดทำนองว่า วันเกิดเธอแล้วนี่ ให้อะไรที่เป็นสไปเดอร์-แมนกับเธอดีกว่า ฉันก็เลยได้รับโทรศัพท์จากหลายๆ คนที่พูดประมาณว่า ‘ฉันรู้ว่านี่เป็นเหมือนความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตคุณ’ และพวกเขาก็พูดถูกค่ะ”

ปะวิตร ประภาคา

สไปเดอร์-แมนเวอร์ชันอินเดียที่มีความออริจินอลสูงนี้ได้รับการแนะนำครั้งแรกโดยชารัด เทวาราชัน, สุเรช สีธารามานและจีวาน เจ. คัง ในหนังสือการ์ตูนเรื่อง Spider-Man: India ในเดือนมกราคม ปี 2005 เกวนและไมลส์ได้พบกับปะวิตรครั้งแรกระหว่างที่พวกเขาไล่ตามสปอตไปในโลกต่างๆ ปะวิตรอาศัยอยู่ในมุมบัตตัน ซึ่งเป็นการผสมผสานที่ชุลมุนวุ่นวายระหว่างแมนฮัตตันและมุมไบในอนาคตของโลก-50101

ตามที่ผู้กำกับเคมป์ พาวเวอร์สอธิบาย “พลังของปะวิตรเกิดจากเวทมนตร์ ดังนั้น เขาก็ค่อนข้างจะแตกต่างจากสไปเดอร์คนอื่นๆ ที่ถูกแมงมุมกัมมันตภาพรังสีกัดเอา เขาได้รับพลังของเขาจากหมอผีลึกลับ แต่เขาก็เหมือนกับสไปเดอร์คนอื่นๆ ที่ต้องทุกข์ทรมานอย่างมาก ซึ่งในกรณีของเขา ก็เป็นเรื่องลุงของเขา แต่เขาอาจจะเป็นหนึ่งในตัวละครที่มองโลกในแง่ดีที่สุดในหนังเรื่องนี้ก็ได้ เขาเป็นคนประเภทที่มองเห็นน้ำครึ่งแก้ว เขาเป็นคนที่รุ่นราวคราวเดียวกับไมลส์ และการมองโลกในแง่ดีอย่างมีความสุขของเขาก็อาจจะทำให้ไมลส์รู้สึกไม่ชอบใจก็ได้ครับ”

คารัน โซนี ผู้พากย์เสียงปะวิตร ประภาคากล่าวเสริมว่า “ตอนที่เราได้พบกับเขาในหนังเรื่องนี้ ชีวิตเขาดำเนินไปในแบบที่ต่างกับไมลส์ เขามีชีวิตที่ดีในโรงเรียน เขามีแฟนสาวสวยและเขาก็ทำให้มันเวิร์คได้ไปพร้อมๆ กัน เขาสามารถต่อสู้กับเหล่าร้ายได้อย่างง่ายดายและดูเหมือนว่าจะไม่มีเรื่องไหนที่ทำให้เขากังวลได้เลย แต่พอเรื่องราวดำเนินไป คุณก็จะตระหนักได้ว่าเขากำลังจะได้สัมผัสกับโศกนาฏกรรมจริงๆ ครั้งแรกในเส้นชีวิตของเขา ดังนั้น มันก็เป็นการเปลี่ยนแปลงที่เจ๋งจริงๆ ที่ได้เห็นตัวละครตัวนี้เติบโตขึ้นจากการเป็นเหมือนเด็กๆ ไปสู่การเป็นสไปเดอร์-แมนเต็มตัว ผู้มีภาระความรับผิดชอบและประสบการณ์ต่างๆ ในแบบของเขาเองน่ะครับ”

ทีมงานได้ร่วมงานกับนักวาดภาพ นาวีน เซลวานาธาน ในการช่วยออกแบบตัวละครที่น่าสนใจตัวนี้ “เราได้แรงบันดาลใจมาจากศิลปะหลากหลายรูปแบบที่มีอยู่ในอินเดีย ตั้งแต่นางรำเดยัมและยักษะคะนา สถาปัตยกรรมวัด ลวดลายเฮนนา และแฟชันอินเดียร่วมสมัย” เขากล่าว “เราคิดกันว่าอะไรในวัฒนธรรมอินเดียที่หลากหลายที่จะเป็นแรงบันดาลใจให้สไปเดอร์-แมนคนนี้ที่มีที่มาจากอินเดีย และเราก็อยากให้เขาดูเหมือนนักรบที่น่าเกรงขามแต่ก็คล่องแคล่วว่องไว เราพยายามทำมันด้วยการคิดลวดลายหน้ากากที่ดูเหมือนใบหน้าของแมงมุม ที่วาดตามสไตล์การเพนท์หน้าของเดยัม และประดับตกแต่งร่างกายของเขาด้วยลายแมงมุมที่ได้แรงบันดาลใจจากอินเดีย ผมชื่นชอบที่เราไม่ได้ตัดสินใจอย่างโจ่งแจ้ง แต่เราทำการค้นคว้าเกี่ยวกับข้อมูลอ้างอิงด้านวัฒนธรรมเจ๋งๆ ทั้งหมดนี้จากภายในอินเดีย ในฐานะคนอินเดีย ผมรู้สึกโชคดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการออกแบบตัวละครตัวนี้ครับ”

โซนีกล่าวต่อว่า “ผมคิดว่าเป็นเรื่องน่าตื่นเต้นมากๆ ที่หนังเรื่องนี้มีการพากย์เป็นภาษาอินเดียเก้าภาษา มันน่าตื่นเต้นมากๆ เพราะผมโตขึ้นมาในอินเดีย และเรารักสไปเดอร์-แมนกันมาก เมื่อมีการประกาศออกมาว่าผมรับบทนี้ ผมบอกคุณไม่ได้เลยว่าผมได้รับข้อความจากคนอื่นๆ มากแค่ไหน ตอนแรก พวกเขาก็ตื่นเต้นกัน แล้วก็มีหลายๆ ข้อความที่จริงจังกว่านั้นเข้ามา โดยมีใจความหลักๆ ว่า ‘อย่าทำพังนะ’ ผมคิดว่าเราไม่ได้ทำแบบนั้นนะครับ!”

โฮดี้ บราวน์ (สไปเดอร์-พังค์)

โฮดี้ บราวน์ หรือสไปเดอร์-พังค์ เป็นคนโปรดของเกวนเพราะเขาอยู่ในวงดนตรีเจ๋งๆ รู้วิธีการกรีดนิ้วลงไปบนกีตาร์ไฟฟ้าและพูดคำว่าตารางเวลาออกมาในแบบอังกฤษ เขามาจากโลกที่เป็นส่วนผสมที่แปลกประหลาดระหว่างลอนดอนยุค 70s และ 80s และนิวยอร์กสมัยใหม่ โฮบี้ถูกเรียกตัวมาปฏิบัติการเพื่อหยุดยั้งสปอตจากการสร้างปัญหาเพิ่มขึ้นและไมลส์ก็ไม่ปลื้มซักเท่าไหร่ที่เกวนหลงใหลได้ปลื้มเขาจนออกนอกหน้า
“เขาเป็นตัวละครที่ค่อนข้างจะน่าทึ่งทีเดียวจากสไปเดอร์-เวิร์สครับ” ผู้กำกับเคมป์ พาวเวอร์สตั้งข้อสังเกต “คุณสามารถพูดถึงเขาได้ว่าเป็นส่วนผสมระหว่างอิ๊กกี้ ป็อป, แบด เบรนส์และสไปเดอร์-แมน เขาถือกีตาร์ร็อคที่เขาเคยใช้เล่นดนตรีมาใช้เป็นอาวุธเสียง เขาเป็นเด็กหนุ่มอายุมากกว่าหน่อยสุดเจ๋ง ที่ทำให้เด็กสาวส่วนใหญ่แอบปิ๊งได้ง่ายๆ จริงๆ แล้ว เขาใช้ชีวิตอยู่บนเรือบนคลอง ซึ่งเขาใช้เป็นฐานปฏิบัติการของเขาเองด้วย ไมลส์ค่อนข้างจะริษยาผู้ชายคนนีน้ แต่เขาก็ยังอยากจะเป็นเหมือนเขามากกว่านี้ด้วยเพราะเขาอายุมากกว่าและทำตัวอิสระมากกว่าในแบบที่ไมลส์ได้แค่จินตนาการน่ะครับ”

เมย์ “เมย์เดย์” ปาร์คเกอร์

เมย์ “เมย์เดย์” ปาร์คเกอร์ ผู้เป็นที่รู้จักครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน What If…? ฉบับ 105 (ธันวาคม ปี 1997) เป็นลูกคนแรกของปีเตอร์และแมรี เจน ปาร์คเกอร์ในโลกอนาคตคู่ขนาน หนูน้อยเมย์เดย์ที่แสนน่ารักเปิดโอกาสให้ทีมงานสร้างสรรค์ได้สนุกสนานและแสดงให้เห็นว่าปีเตอร์ บี. ปาร์คเกอร์กลายเป็นพ่อที่ดีเยี่ยมแค่ไหน

มือเขียนบทและผู้อำนวยการสร้างคริส มิลเลอร์อธิบายว่า “ตอนที่เราจากปีเตอร์ บี. ปาร์คเกอร์มาในภาคแรก เขากำลังกลับไปหาแมรี เจนและตระหนักว่าเขาอยากจะเป็นพ่อคนจริงๆ ดังนั้น มันก็เลยสมเหตุสมผลที่เราจะได้พบเขาในลักษณะบ้าคลั่งแบบ ‘คุณพ่อมือใหม่’ น่ะครับ “ด้วยความที่ผมเองก็เป็นพ่อคนเหมือนกัน ผมจำได้ว่าช่วงเวลาที่ผมมีลูกวัยแบเบาะเป็นช่วงเวลาที่เซอร์เรียลมากๆ” มิลเลอร์กล่าว “คุณจะไม่ค่อยได้นอน แต่โลกใหม่จะเปิดกว้างต้อนรับคุณ รวมถึงความรักในระดับใหม่ในแบบที่คุณไม่อาจจะจินตนาการได้ ผมรักการที่ปีเตอร์ บี. ตอบรับบทบาทในฐานะพ่อของเขาอย่างสุดหัวใจ ผมเข้าใจความรู้สึกนั้นได้ และรู้ด้วยว่าเขาเหนื่อยล้าแค่ไหน! ไอเดียที่ว่าเมย์เดย์เป็นลูกครึ่งสายเลือดแมงมุม ที่อาจจะทำเรื่องป่วนๆ สารพัดที่ปีเตอร์สามารถทำได้แต่ด้วยแรงกระตุ้นแบบเด็กน้อยดูเหมือนจะเป็นอะไรที่สนุกและตลกจริงๆ มันช่วยเสริมสร้างความเพี้ยนให้กับทุกๆ ฉากที่พวกเขาแสดงด้วยกัน เธอมีสไปเดอร์เซนส์ ทักษะและปฏิกิริยาตอบสนอง ทำให้เธอเป็นตัวป่วนที่น่ารักอย่างแท้จริงครับ”

เจค จอห์นสัน ผู้พากย์เสียงปีเตอร์ บี. กล่าวว่า “ปีเตอร์เป็นพ่อคนแล้วครับ! และมันก็เปลี่ยนแปลงตัวละครนี้ไปเล็กน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาตื่นเต้นเกี่ยวกับลูกสาวเขาจริงๆ และผมคิดว่าเราทุกคนต่างก็เคยเจอกับเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวที่มีลูก แล้วพวกเขาก็จะตื่นเต้นเกี่ยวกับลูกของพวกเขามากกว่าคนอื่นๆ ในโลกอยู่ซักหน่อย และปีเตอร์ก็กำลังผ่านประสบการณ์แบบนั้น ผมคิดว่าเขาคิดว่าลูกสาวของเขาเป็นเด็กที่น่ารักที่สุดในโลกใบนี้ เขาคิดว่าเธอวิเศษสุด แต่เรามาลองดูกันซิว่าคนอื่นๆ จะเห็นด้วยมั้ยน่ะครับ”

จอห์นสันกล่าวต่ออีกว่า “ในขณะเดียวกัน แน่นอนครับว่าเขาพยายามทำทุกอย่างเท่าที่ทำได้ในฐานะสไปเดอร์-แมน แต่ก็นะ พอคุณมีลูกแล้ว สิ่งต่างๆ ก็จะถูกแบ่งแยก สิ่งที่สำคัญที่สุดของคุณจะเปลี่ยนแปลงไป และผมคิดว่า เรื่องนั้นก็เกิดขึ้นกับปีเตอร์เหมือนกัน แต่ผมคงต้องบอกว่า เมย์เดย์เริ่มฉายแววแล้วในโลกของสไปเดอร์ มีโอกาสที่เธออาจจะเป็นอะไรมากกว่าที่เราเห็นครับ”

เดอะ สปอต

ดร.โจนาธาน โอห์น หรือ เดอะ สปอต ปรากฏตัวครั้งแรกในหนังสือการ์ตูน Peter Parker, The Spectacular Spider-Man no. 98 (มกราคม ปี 1985) โอห์น ที่ถูกสร้างขึ้นมาโดยอัล มิลกรอมและเฮิร์บ ทริมป์ ในสไปเดอร์-เวิร์ส เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่ทำงานให้กับคิงพิน แต่เขาใช้สสารมืดในการสร้างประตูไปสู่โลกต่างๆ อุบัติเหตุที่เกิดจากการปะทะกันของอนุภาคทำให้เขาได้รับความสามารถในการสร้างและเปิดประตูต่างมิติและเขาก็ยังใช้ประตูเล็กๆ ในการย่นระยะเวลาการเดินทางและก่ออาชญากรรมด้วย

“ผู้ร้ายที่ดีที่สุดในเรื่องราวไหนๆ ก็จะมีปัญหาคล้ายคลึงกับปัญหาที่ตัวละครหลักมีค่ะ” ผู้อำนวยการสร้างเอมี ปาสคัลกล่าว “ถ้าจะเปรียบเทียบแล้วล่ะก็ สปอตเป็นตัวละครที่เต็มไปด้วยหลุมดำ และเขาก็พยายามจะเติมเต็มหลุมเหล่านั้นในหนังเรื่องนี้ เส้นทางของเขาใกล้เคียงกับของไมลส์ และนั่นคือสิ่งที่ทำให้เรื่องราวของเขาเข้าถึงได้อย่างมากค่ะ”

มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้างคริส มิลเลอร์ชี้ให้เห็นว่าดร.โอห์นอยู่ในเหตุปะทะกันของอนุภาคที่ไมลส์และแก๊งของเขาทำให้ระเบิดขึ้นมาในภาพยนตร์ภาคแรก และตอนนั้นเองที่ตัวเขาถูกปกคลุมไปด้วยสสารมืดและเปลี่ยนกลายเป็นตัวละครที่มีหลุมและประตูมากมายภายในตัว “ตอนแรก เขาดูเหมือนวายร้ายเฟอะฟะชั้นต่ำที่ซุ่มซ่าม ที่มีหลุมสไตล์ลูนนีย์ ตูนส์ที่ไปไหนก็ได้ แต่เขาก็เริ่มตระหนักได้ว่าเขาสามารถใช้หลุมพวกนี้ในการไปมาระหว่างมิติได้และเขาก็ยิ่งมีพลังมากขึ้นๆ และกลายเป็นศัตรูของไมลส์อย่างแท้จริง”

ผู้กำกับวาคิม ดอส ซานโตสเล่าว่า ในตอนแรก เดอะ สปอตไม่รู้ตัวเลยว่าเขามีศักยภาพไร้ขีดจำกัด เขากล่าวว่า “ผมคิดว่านั่นเป็นกุญแจที่ทำให้ตัวละครตัวนั้นมีเสน่ห์และเข้าถึงได้ เป็นคนที่เหมือนเหรียญคนละด้านกับตัวไมลส์เอง เวลามองเขาเดินไปตามถนน คุณจะเห็นคนที่ดูเหมือนเขาสวมชุดสแปนเด็กซ์สีขาวลายจุด แน่นอนครับ ด้วยความว่าที่นี่เป็นนิวยอร์ก ซิตี้ คนก็เลยไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือนอะไรเพราะเขาก็เป็นแค่คนบ้าอีกคนในท้องถนน การที่เขาไม่ได้ถูกมองอย่างจริงจังในตอนแรกส่งผลต่อสิ่งที่เขากลายมาเป็นในภายหลัง เพราะไม่ว่าจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม จะต้องมีคนสังเกตเห็นเขาครับ”

การสร้างเสียงใหม่สำหรับซีเควล

นักประพันธ์ แดเนียล เพมเบอร์ตัน ผู้ซึ่งซาวน์แทร็คที่น่าจดจำของเขาสำหรับ Spider-Man: Into the Spider-Verse เป็นหนึ่งในไฮไลท์ของเรื่อง ได้แต่งดนตรีที่น่าอัศจรรย์ใจสำหรับซีเควลภาคนี้ด้วย ซาวน์แทร็คสำหรับภาพยนตร์ภาคแรกประสบความสำเร็จเชิงพาณิชย์อย่างยิ่งใหญ่ ด้วยการเปิดตัวที่อันดับห้าในชาร์ตยูเอส บิลบอร์ด ท็อป 200 และไต่ขึ้นไปอยู่อันดับ 2 ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์หลังการเปิดตัว ในขณะที่ซิงเกิลเด่นอย่าง “Sunflower” ก็ครองอันดับหนึ่งในลิสต์ฮ็อต 100 ของบิลบอร์ดได้สำเร็จ

“กับ Spider-Verse ภาคแรก ทุกคนผลักดันมันไปไกลมากๆ” เพมเบอร์ตันเล่า “ดังนั้น พอมาถึงซีเควล ก็มีความคาดหวังว่าเราจะผลักดันมันออกไปอีกครั้ง โดยไม่ใช้มุขเดิมซ้ำอีก มันก็เลยกลายเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าตื่นเต้นและน่าสะพรึงกลัวที่สุดเกี่ยวกับโปรเจ็กต์นี้ การที่มีโลกใหม่และตัวละครใหม่มากมายเหลือเกิน การทำงานโปรเจ็กต์นี้ด้วยเป้าหมายในการสร้างโลกของเสียงที่เข้าคู่กันกับความทะเยอทะยานของโลกวิชวลกลายเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่จริงๆ สำหรับเราครับ”

นักประพันธ์ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงอคาเดมี อวอร์ดและแอนนี อวอร์ดกล่าวว่า หน้าที่นี้ซับซ้อนกว่าการสร้างท่วงทำนองที่จะเล่นคลอไปกับตัวละครแต่ละตัวเสียอีก “ในลักษณะเดียวกับที่ตัวละครทุกตัวมีสไตล์ศิลปะของตัวเอง พวกเขาก็มีแนวทางทางดนนตรีที่โดดเด่นของตัวเองเช่นกัน” เขาอธิบาย “นอกจากนี้ เรายังต้องคำนึงด้วยว่า สำหรับหนังเรื่องนี้ ทำนองพวกนี้จะต้องเล่นไปกับความเปลี่ยนแปลงในเรื่องราวแบบเต็มรูปแบบสำหรับตัวละครตัวนั้นๆ แต่ก็ต้องสามารถร้อยเรียงไปกับเพลงธีมของตัวละครตัวอื่นๆ แต่ละตัวได้อย่างกลมกลืนด้วย นี่เป็นเรื่องเกี่ยวกับการสร้างภูมิทัศน์ที่สิ่งต่างๆ ทั้งหมดเหล่านี้สามารถเชื่อมโยงกันได้ครับ”

เพมเบอร์ตันกล่าวว่าหนึ่งในความท้าทายเชิงสร้างสรรค์ใหม่ๆ สำหรับภาพยนตร์เรื่องนี้คือการสร้างเสียงสำหรับสไปเดอร์-แมน 2099 “เขาเป็นตัวละครกล้ามใหญ่ที่แข็งแกร่ง เขาใช้ชีวิตอยู่ในโลกที่ล้ำสมัยมากๆ และให้ความรู้สึกว่ามีเทคโนโลยีสูงมากๆ ด้วย” เขาชี้ให้เห็น “ผมอยากจะสร้างเสียงให้กับเขา ที่จะบาดทะลุ แต่ก็แง่มุมต่างๆ เหล่านี้ของตัวละครตัวนี้ด้วย ทั้งความลึกลับ ความเข้มแข็ง ความรู้สึกของเทคโนโลยี และสิ่งที่คุณจะสามารถเชื่อมโยงกับตัวละครตัวนั้นได้ทันทีน่ะครับ”

กระบวนการของนักประพันธ์เกี่ยวข้องกับการทดลองมากมาย “ในช่วงเริ่มแรก ผมได้ทำการค้นคว้าและพัฒนา ด้วยการรวบรวมไอเดียและเสียงต่างๆ ที่น่าสนใจสำหรับผม” เพมเบอร์ตันกล่าว “หนังเรื่องนี้นำเสนอลายเซ็นทางดนตรีมากมาย ตั้งแต่อิเล็คทรอนิคทันสมัย ไปจนถึงอิเล็คทรอนิคแบบเก๋ากึ้ก มีเสียงผิวปากที่ผมบันทึกเอาไว้ในสุสานที่มาอยู่ในดนตรีประกอบเรื่องนี้ด้วย…มันเป็นการตามหาโทนเสียง ทำงาน ทำงาน และทำงาน เป็นการลองผิดลองถูกเพื่อสร้างสิ่งที่จับต้องได้จากมันครับ”

ธีมของมิเกล โอ‘ ฮารา: “สำหรับ 2099 ผมมีเสียงที่คนจะจดจำได้ในทันที แต่เราก็สามารถทำหลายสิ่งหลายอย่างเกี่ยวกับมันได้ด้วย คุณสามารถเข้าถึงท่อนริฟฟ์หลักของเขาได้ แต่เราก็สามารถดัดแปลงมันเพื่อมาใช้กับหลายๆ ตอนในเรื่องราวได้ด้วย โดยเนื้อแท้แล้ว หนังคือการมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้กับคุณและประสบการณ์พวกนั้นก็จะเป็นประสบการณ์ที่ติดตรึงในใจคุณไปตลอดกาล เมื่อคุณได้เห็น ได้ยินและได้สัมผัสอะไรใหม่ๆ เป็นครั้งแรก มันก็เป็นอะไรที่ทรงพลังมากๆ และกับ Spider-Verse เราได้สร้างทุกอย่างขึ้นมาใหม่ มันจะต้องมีเสียงแบบที่คุณไม่เคยได้ยินมาก่อนในทุกก้าวย่างเลยครับ”

ธีมของเกวน สเตซี: “ในเรื่องราวนี้ เกวนมีบทบาทที่ยิ่งใหญ่ขึ้นกว่าเดิม การพยายามหาโลกเสียงของเธอเป็นความท้าทายที่ค่อนข้างจะยิ่งใหญ่ทีเดียว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพราะผู้ชมคุ้นเคยกับตัวละครตัวนี้ดีอยู่แล้ว ทีมผู้สสร้างต้องการให้โลกเสียงของเกวนได้รับอิทธิพลจากดนตรีที่เธอเล่นและดนตรีที่เธอฟัง ในตอนหนึ่ง ผมกำลังสำรวจเส้นทางร็อค แต่สิ่งที่ใช้การได้ดีที่สุดกลับเป็นซินธ์ร็อค ซึ่งมีเสียงเหมือนวงดนตรีร็อคแต่ด้วยคีย์บอร์ด มันมีความรู้สึกของเวทมนตร์ ความรู้สึกของการมองโลกในแง่ดี ซึ่งอ่อนเยาว์มากกว่า แก่นสำคัญของเพลงธีมของเธอคือเสียงซินธีไซเซอร์ที่ล่องลอย ลักษณะที่เธอเคลื่อนไหวทั้งสง่างามและเบาสบาย และผมก็อยากแสดงให้เห็นถึงเรื่องนั้นในเสียงด้วยครับ”

ธีมของไมลส์ โมราเลส: “ผมชื่นชอบการได้กลับมาที่ไมลส์ครับเพราะเขาเป็นแกนหลักของไตรภาคนี้ ในหนังภาคแรก เราทำในสิ่งที่มีเอกลักษณ์จากมุมมองด้านดนตรี เพื่อทำให้ตัวละครตัวนี้โดดเด่นขึ้นมา เราแนะนำเทคนิคที่ผมเรียกว่า ‘การเกาออร์เคสตรา’ ตัวละครของไมลส์ได้แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมฮิปฮ็อป และผมก็พยายามถ่ายทอดมันออกมาในดนตรีประกอบ เรราได้ใส่ไอเดียของศิลปะการเล่นแผ่นเสียงเข้าไปในดนตรีประกอบหนังเรื่องนี้ ด้วยการนำดนตรีออร์เคสตรามาอัดใส่ลงไปในแผ่นไวนิล แล้วเกาแผ่นเพื่อสร้างเสียงแปลกใหม่ขึ้นมา ในซีเควลนี้ เราก้าวไปอีกขั้นด้วยการใส่วัฒนธรรมรีมิกซ์เข้าไป เหมือนเป็นการบิดดนตรีออร์เคสตราน่ะครับ ตอนที่เราพบกับไมลส์ในหนังเรื่องนี้ครั้งแรก เราจะได้ยินเพลงธีมที่คุ้นเคยของเขา แต่เราก็รีมิกซ์มัน เกามัน และทำในสิ่งที่เข้ากับรากเหง้าเปอร์โต ริโก้ของเขามากขึ้น นอกจากนั้น เรายังได้ขยายไอเดีย ‘การเกา’ ไปกับเสียงซาวน์เอฟเฟ็กต์ในหนังเรื่องนี้ จากเสียงของการวาดด้วยปากกา การพ่นสี รถชน การต่อสู้ และอื่นๆ เพื่อทำให้มันมีลักษณะบิดเบี้ยวออกไปน่ะครับ”

Spider-Man: Across the Spider-Verse – เกร็ดน่ารู้

● งานของนักออกแบบแห่งโลกอนาคต ซิด มี้ด ผู้มีส่วนร่วมในการออกแบบภาพยนตร์เรื่อง Star Trek the Movie, Blade Runner และ TRON เป็นแรงบันดาลใจสำคัญสำหรับลุคของเมืองนิววา ยอร์กของมิเกล โอ‘ ฮาราในโลก-928
● ผู้กำกับจัสติน เค. ธอมป์สันได้ร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างฟิล ลอร์ดและคริส มิลเลอร์ครั้แรกในผลงานการกำกับเรื่องแรกของพวกเขา ภาพยนตร์โซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเรื่อง Cloudy with a Chance of Meatballs
● โลกของพวกมีและไม่มีในโลก-928 ถูกแบ่งแยกกันด้วยสภาพทางกายภาพและภาพวิชวล ประชากรบนพื้นดินใช้ชีวิตอยู่ในโลกอุดมคติที่มีแต่สีฟ้าและเส้นสายสะอาดตา ในขณะที่โลกใต้ดินและมืดหม่นกว่าและมีธรรมชาติแบบบรูทัลลิสต์
● นักวาดภาพวิชวลเบื้องหลังโลกลูกผสมอย่างมุมบัตตันจะต้องทำให้แม่น้ำอีสต์เหือดแห้งไปเพื่อสร้างเหวยักษ์ ที่ด้านบนนั้นมีเมืองสร้างอยู่เป็นชั้นๆ และเป็นฉากหลังที่มีภาพวิชวลน่าทึ่งที่กลุ่มสไปเดอร์จะเคลื่อนตัวผ่าน
● ทีมผู้สร้างแสดงความเคารพต่อภาพยนตร์บางเรื่องที่เป็นแรงบันดาลใจทางภาพให้กับพวกเขาผ่านทางภาพยนตร์เรื่องนี้ แฟนภาพยนตร์จะสามารถเจอรายละเอียดบางอย่างที่แสดงความเคารพต่อภาพยนตร์คลาสสิกตั้งแต่จาก Blade Runner และ TRON ไปจนถึง Akira และ Heat ในการไปเยือนสไปเดอร์-เวิร์สครั้งนี้
● ไม่มีใครอายุน้อยเกินกว่าจะทำความรู้จักกับวายร้ายสไปดี้ได้หรอก! คอยสังเกตตุ๊กตาด็อค อ็อคและกรีน ก็อบลินในเปลของหนูน้อยเมย์เดย์เอาไว้นะ
● ลุคของวัลเจอร์ได้แรงบันดาลใจจากภาพวาดเครื่องจักรมีปีกจากปลายศตวรรษที่ 15 ที่ลึกซึ้งของลีโอนาร์โด ดา วินชี
● ภาพวิชวลสำหรับเบน รีลลี (หรือสการ์เล็ต สไปเดอร์-แมน) ได้แรงบันดาลใจจากหนังสือการ์ตูนจากยุค 1990s ตามที่ฟิล ลอร์ดกล่าวไว้ว่า “กล้ามเนื้อของเขามีกล้าม และถ้าคุณผ่าตัวเขา คุณก็จะพบว่าเขาไม่ใช่มนุษย์เพราะเขาไม่ได้มีสภาพทางกายภาพเหมือนมนุษย์ปกติ เขามีข้อต่อเป็นสองหรือสามท่อนและทำให้คุณนึกถึงคนที่ใช้เวลาขลุกอยู่ในฟิตเนสและมีไฟตลอดเวลาน่ะครับ!”
● เจ้าของร้านขายของในจาไมก้า ที่ปรากฏอยู่ในองก์แรกของภาพยนตร์เรื่องนี้ พากย์เสียงโดยซิกกี้ มาร์เลย์ ศิลปินเร็กเก้นั่นเอง

ประวัติทีมผู้สร้าง

ฟิล ลอร์ดและคริส มิลเลอร์ (มือเขียนบท/ผู้อำนวยการสร้าง)
ฟิล ลอร์ดและคริส มิลเลอร์เป็นคู่หูผู้ทำหน้าที่มากมาย เจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดในปัจจุบันหลายเรื่อง รวมถึง Spider-Man: Into the Spider-Verse, The Lego Movie, The Mitchells vs. The Machines, 21 & 22 Jump Street และ Cloudy with a Chance of Meatballs ลอร์ดและมิลเลอร์ ผู้เป็นที่รู้จักจากสุนทรียศาสตร์และทัศนคติบ้าบิ่นในฐานะมือเขียนบท ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับ ได้ใช้ผลงานของพวกเขาในการผลักดันขอบเขตความคิดสร้างสรรค์ เพื่อนำเสนอมุมมองแปลกใหม่ที่คาดไม่ถึงในแต่ละโปรเจ็กต์ของพวกเขา

ด้านภาพยนตร์ เมื่อเร็วๆ นี้ ลอร์ดและมิลเลอร์ได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง The Mitchells Vs. The Machines ซึ่งเปิดตัวทางเน็ตฟลิกซ์ในเดือนเมษายน ปี 2021 ภาพยนนตร์เรื่องนี้ ซึ่งปัจจุบันได้คะแนน 97% ทางเว็บไซต์รอทเทน โทเมโทส์ ได้รับการยกย่องว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์อนิเมชันที่ยอดเยี่ยมที่สุดของปี 2021 และได้รับการยกย่องจากสไตล์วิชวลที่โดดเด่นของมัน ภาพยนตร์เรื่องนี้กลายเป็นภาพยนตร์อนิเมชันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในรอบปีของเน็ตฟลิกซ์และยังคงเป็นหนึ่งในผลงานอนิเมชันที่มียอดผู้ชมสูงสุดของบริการสตรีมมิงนี้ตลอดกาลด้วย Mitchells ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดในปี 2022 ในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม
ในปี 2018 ลอร์ดและมิลเลอร์ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดจากภาพยนตร์อนิเมชันเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse ภาพยนตร์เรื่องนี้ ซึ่งลอร์ดร่วมเขียนบทและทั้งคู่ได้อำนวยการสร้างร่วมกัน นำเสนอมุมมองใหม่เกี่ยวกับจักรวาลของสไปเดอร์-แมน ด้วยการเปลี่ยนโฟกัสของเรื่องราวไปที่ไมลส์ โมราเลส ผู้อยู่เบื้องหลังหน้ากากที่น้อยคนจะรู้จักเรื่องของเขา ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวด้วยสถิติคะแนน 100% ทางเว็บไซต์รอทเทน โทเมโทส์และได้รับเสียงชื่นชมจากนักวิจารณ์จากภาพวิชวลแปลกใหม่ที่เนรมิตชีวิตให้กับลายเส้นหนังสือการ์ตูนในแบบที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม ตลอดจนได้รับรางวัลบาฟตา อวอร์ด เจ็ดรางวัลแอนนี อวอร์ดและกว่ายี่สิบรางวัลภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมจากสถาบันนักวิจารณ์ต่างๆ รวมถึงรางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์ภาพยนตร์บรอดคาสและสมาคมนักวิจารณ์ลอสแองเจลิสและนิวยอร์กอันทรงเกียรติอีกด้วย

นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังอยู่เบื้องหลังแฟรนไชส์ภาพยนตร์ Lego Movie ที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงด้วย ในปี 2014 ลอร์ดและมิลเลอร์ได้เขียนบทและกำกับ The Lego Movie ซึ่งเปิดตัวที่อันดับหนึ่งและครองอันดับสูงสุดของบ็อกซ์ออฟฟิศได้สี่สัปดาห์ติดต่อกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรายได้ไปกว่า 469 ล้านเหรียญทั่วโลกและเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้ในประเทศสูงสุดตลอดกาลเป็นอันดับห้าในปี 2014 ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ลอร์ดและมิลเลอร์ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากสุนทรียศาสตร์ที่โดดเด่นและบรรเจิดด้วยจินตนาการ รวมถึงได้รับรางวัลบาฟตา พีจีเอและบีเอฟซีเอ คริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม รางวัลสมาพันธ์นักวิจารณ์แห่งชาติสาขาบทภาพยนตร์ออริจินอลยอดเยี่ยมและรางวัลแอนนี อวอร์ดสาขาเขียนบทดีเด่นสำหรับภาพยนตร์อนิเมชัน นอกจากนี้ ‘The Lego Movie’ ยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบภาพยนตร์ยอดเยี่ยมประจำปี 2014 ในลิสต์ของนักวิจารณ์กว่า 75 คนอีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นแรงบันดาลใจให้เกิดสปินออฟสองเรื่อง ได้แก่ The Lego Ninjago Movie และ The Lego Batman Movie ซึ่งเปิดตัวในปี 2017 ท่ามกลางเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลามและความสำเร็จด้านบ็อกซ์ออฟฟิศและคำวิจารณ์อย่างยิ่งใหญ่ ในปี 2018 ทั้งคู่ได้เขียนบทและอำนวยการสร้าง The Lego Movie 2 ซีเควลของแฟรนไชส์นี้ที่ประสบความสำเร็จอย่างใหญ่หลวง

นอกจากนี้ ลอร์ดและมิลเลอร์ยังได้กำกับ 21 และ 22 Jump Street ซึ่งรวมกันแล้วกวาดรายได้ไป 531 ล้านเหรียญในบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลกและทำให้ทั้งคู่ได้รับคำชมเชยจากความสามารถในการเปลี่ยนวัตถุดิบที่เหลือเชื่อให้เป็นภาพยนตร์ที่ยอดเยี่ยมได้ ภาพยนตร์เรื่องแรกของทั้งคู่คือภาพยนตร์ปี 2009 เรื่อง Cloudy with a Chance of Meatballs ซึ่งพวกเขาเขียนบทและกำกับ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีเค้าโครงหลวมๆ มาจากหนังสือสำหรับเด็กชื่อเดียวกันที่เป็นที่ชื่นชอบและทำให้ลอร์ดและมิลเลอร์ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำและคริติกส์ ชอยส์สาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมรวมถึงได้รับการเสนอชื่อชิงสี่รางวัลแอนนี อวอร์ดสำหรับความยอดเยี่ยมในอนิเมชัน ซึ่งรวมถึงสาขากำกับภาพยนตร์ยอดเยี่ยมและบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมด้วย

สำหรับผลงานภาพยนตร์หลังจากนี้ ลอร์ดและมิลเลอร์เป็นผู้อยู่เบื้องหลังภาพยนตร์ที่กำลังจะเข้าฉายเรื่อง Spider-Man: Across the Spider-Verse ที่มีกำหนดเข้าฉายในเดือนมิถุนายน ปี 2023 นอกเหนือจากนั้น พวกเขายังมีหลายโปรเจ็กต์ที่อยู่ในขั้นตอนต่างๆ ของการพัฒนา รวมถึงภาพยนตร์ไลฟ์แอ็กชันฟอร์มยักษ์เรื่อง The Last Human สำหรับโซนี, ภาพยนตร์ฟ็อกซ์เรื่อง Artemis ที่สร้างจากนิยายโดยแอนดี้ เวียร์และ Project Hail Mary ที่ดัดแปลงจากนิยายใหม่ของเวียร์ และนำแสดงโดยไรอัน กอสลิงสำหรับเอ็มจีเอ็ม พวกเขาอยู่ระหว่างการทำงานขั้นตอนโพสต์โปรดักชันในภาพยนตร์สองเรื่อง รวมถึง Strays ที่นำแสดงโดยวิล เฟอร์เรล, เจมี ฟ็อกซ์และวิล ฟอร์เต้และ Los Frikis ที่กำกับโดยไมค์ ชวอร์ซและไทเลอร์ นิลสัน ล่าสุด ลอร์ดและมิลเลอร์ยังได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลเรื่อง Cocaine Bear ที่มีอลิซาเบธ แบงค์กำกับอีกด้วย

โปรเจ็กต์อื่นๆ ที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาสำหรับลอร์ด มิลเลอร์รวมถึงภาพยนตร์ที่สร้างจากนิยายขายดีของไมเคิล ลูอิสเรื่อง The Premonition: A Pandemic Story, Everyday Parenting Tips ที่นำแสดงโดยไรอัน เรย์โนลด์ส และสร้างจากเรื่องสั้นในนิวยอร์กเกอร์ของไซมอน ริชและ 48 Hours in Vegas เกี่ยวกับการเดินทางในตำนานของเดนนิส ร็อดแมนที่ไปเยือนลาสเวกัสระหว่างการแข่งขันเอ็นบีเอรอบสุดท้ายในปี 1998 ของทีมชิคาโก้ บุลส์

ด้านจอแก้ว ทั้งคู่อยู่เบื้องหลัง The Afterparty ซึ่งเปิดตัวทางแอปเปิล ทีวีพลัส ในเดือนมกราคม ปี 2022 ซีรีส์นี้ ซึ่งมิลเลอร์เป็นผู้สร้าง เขียนบทและกำกับและลอร์ดเป็นผู้ควบคุมงานสร้าง เล่าเรื่องของปริศนาฆาตกรรมในงานคืนสู่เหย้าไฮสคูล ซึ่งแต่ละเอพิโซดนำเสนอมุมมองของตัวละครที่แตกต่างกันออกไปที่มีต่อเรื่องราวเดียวกัน ด้วยสไตล์วิชวลที่มีเอกลักษณ์ ซีรีส์นี้ได้รับการสร้างซีซันที่สองต่อ และจะเข้าฉายในช่วงปลายปีนี้ หลังจากนี้ ลอร์ดและมิลเลอร์รับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในซีรีส์ที่นำเสนอมุมมองที่ทันสมัยขึ้นของซีรีส์คอเมดีอนิเมชันที่ได้รับเสียงวิจารณ์แปลกใหม่เรื่อง Clone High สำหรับเอชบีโอ แม็กซ์ ซึ่งมีกำหนดเข้าฉายในปี 2023

ทั้งคู่เดินหน้าพัฒนาซีรีส์ไลฟ์แอ็กชันและอนิเมชันทั้งที่เป็นคอเมดีและดรามาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงซีรีส์หลายๆ เรื่องที่สร้างจากตัวละครมาร์เวลของโซนี เมื่อเร็วๆ นี้ ลอร์ดและมิลเลอร์ทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างในซีรีส์คอเมดีอนิเมชันของฟ็อกซ์เรื่อง Bless the Harts จากผู้สร้างเอมิลี สไปวีย์และยังอยู่เบื้องหลังซีรีส์คอเมดีที่ประสบความสำเร็จของฟ็อกซ์เรื่อง The Last Man on Earth จากนักแสดงและผู้สร้างวิล ฟอร์เต้ ทั้งสองได้กำกับสองเอพิโซดแรกของซีรีส์ The Last Man on Earth ซึ่งทำให้พวกเขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลไพรม์ไทม์ เอ็มมี อวอร์ด นอกจากนี้ ทั้งคู่ยังได้กำกับเอพิโซดไพล็อตของซีรีส์แปลกใหม่ยอดนิยมเรื่อง Brooklyn Nine-Nine และรับหน้าที่ผู้ร่วมควบคุมงานสร้างในซีรีส์ซิทคอมทางซีบีเอสเรื่อง How I Met Your Mother

การร่วมงานกันของลอร์ดและมิลเลอร์เริ่มต้นขึ้นในตอนที่ทั้งคู่ได้พบกันสมัยเป็นนักศึกษาที่ดาร์ทมัธ คอลเลจ ทั้งคู่ยอมรับว่าความผิดพลาดทำให้ทั้งคู่ได้งานพัฒนาการ์ตูนเช้าวันเสาร์สำหรับวอลท์ ดิสนีย์ คัมปะนี ซึ่งนำไปสู่งานพัฒนาซีรีส์อนิเมชันช่วงไพรม์ไทม์สำหรับทัชสโตน เทเลวิชันของพวกเขา ในปี 2002 พวกเขาได้ควบคุมงานสร้าง เขียนบทและกำกับซีรีส์ออริจินอล Clone High ซึ่งแม้จะฉายได้ไม่นานแต่ก็สร้างเสียงฮือฮาได้ ซีรีส์นี้ได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์และผ่านการพัฒนามาอย่างดีเยี่ยม รวมไปถึงบทพูดที่ฉับไวและคมกริบของมัน แต่บางที มันอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากการก่อให้เกิดการอดอาหารประท้วงในอินเดียและถูกยกเลิกอย่างรวดเร็ว มิลเลอร์พากย์เสียงตัวละคร จอห์น เอฟ. เคนเนดี้และมิสเตอร์บัตเลอร์ทรอนและลอร์ดพากย์เสียงครูใหญ่สคัดเวิร์ธ, เจงกิส ข่านและเกลด์เฮมัวร์ เดอะ ฮัมกี้คอร์น

วาคิม ดอส ซานโตส (ผู้กำกับ)
วาคิม ดอส ซานโตส ปัจจุบัน กำลังกำกับภาพยนตร์ใหม่ของโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเรื่อง Spider-Man: Across the Spider-Verse ซึ่งเป็นซีเควลที่หลายคนรอคอยของ Spider-Man: Into the Spider-Verse ซึ่งได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมปี 2019 ร่วมกับจัสติน เค. ธอมป์สันและเคมป์ พาวเวอร์ส ก่อนหน้านี้ ดอส ซานโตสเคยกำกับ อำนวยการสร้างและวาดสตอรีบอร์ดซีรีส์อนิเมชันหลายเรื่องเช่น The Legend of Korra and Avatar: The Last Airbender โดยนิคเคลโลเดียน, Voltron: Legendary Defender โดยดรีมเวิร์คส์ อนิเมชันและ Justice League Unlimited และ Teen Titans โดยดรีมเวิร์คส์ อนิเมชัน

จัสติน เค. ธอมป์สัน (ผู้กำกับ)

ปัจจุบัน จัสติน เค. ธอมป์สัน กำลังร่วมมือกับวาคิม ดอส ซานโตสและเคมป์ พาวเวอร์ส ในการกำกับภาพยนตร์ใหม่ของโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเรื่อง Spider-Man: Across the Spider-Verse ซีเควลที่หลายคนรอคอยของ Spider-Man: Into the Spider-Verse ซึ่งได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมในปี 2019
ก่อนหน้านี้ ธอมป์สันรับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างใน Spider-Man: Into the Spider-Verse ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลแอนนี อวอร์ดจากเอเอสไอเอฟเอ-ฮอลลีวูดสาขาความสำเร็จดีเด่นสำหรับงานออกแบบงานสร้างในผลงานภาพยนตร์อนิเมชันและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลผู้กำกับศิลป์สาขาออกแบบงานสร้างสำหรับภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม
นอกจากนี้ เขายังรับหน้าที่ผู้ออกแบบงานสร้างของภาพยนตร์โดยโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเรื่อง Cloudy with a Chance of Meatballs และซีเควล Cloudy with a Chance of Meatballs 2 บทบาทนี้ทำให้ธอมป์สันได้สร้างลุคของแฟรนไชส์ภาพยนตร์ที่เป็นที่รัก

ด้วยประสบการณ์กว่า 20 ปีในวงการอนิเมชัน ธอมป์สันได้สร้างผลงานในซีรีส์โทรทัศน์ที่แปลกใหม่ที่สุดหลายเรื่อง ในช่วงสิบปีที่ผ่านมา เขาได้ขยับไปสู่งานพัฒนาวิชวลและออกแบบงานสร้างในภาพยนตร์ดิจิตอล อนิเมชัน ก่อนหน้าที่จะเข้าทำงานที่โซนี พิคเจอร์ส อนิเมชัน ธอมป์สันได้ทำงานที่ดิ ออร์เฟนเนจ อนิเมชัน สตูดิโอส์, เดอะ จิม เฮนสัน คัมปะนีและลูคัสฟิล์ม อนิเมชัน ผลงานของเขารวมถึง How to Eat Fried Worms (ผู้กำกับศิลป์), The Power of the Dark Crystal (นักวาดภาพพัฒนาวิชวล) และ Viking (ผู้กำกับศิลป์)

ธอมป์สันทำงานที่การ์ตูน เน็ตเวิร์คนานห้าปีและมีผลงานในซีรีส์มากมายเช่น The Powerpuff Girls (นักวาดภาพสตอรีบอร์ด/ออกแบบแบ็คกราวน์หลัก) และ Samurai Jack (นักออกแบบแบ็คกราวน์หลัก) นอกจากนี้ เขายังทำหน้าที่นักวาดภาพพัฒนาวิชวล/ซูเปอร์ไวเซอร์ฝ่ายแบ็คกราวน์ในซีรีส์ยอดนิยมทางการ์ตูน เน็ตเวิร์คเรื่อง Star Wars: The Clone Wars ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัลเอ็มมีสาขาความสำเร็จบุคคลดีเด่นในอนิเมชัน นอกจากนี้ เขายังเป็นส่วนหนึ่งของทีมสร้างสรรค์ที่นำ The Powerpuff Girls สู่จอเงิน ทั้งในฐานะนักวาดภาพพัฒนาวิชวลและนักออกแบบแบ็คกราวน์หลักของภาพยนตร์เรื่องนี้

เคมป์ พาวเวอร์ส (ผู้กำกับ)

ปัจจุบัน เคมป์ พาวเวอร์สกำลังร่วมมือกับจัสติน เค. ธอมป์สันและวาคิม ดอส ซานโตสในการกำกับภาพยนตร์ใหม่ของโซนี พิคเจอร์ส อนิเมชันเรื่อง Spider-Man: Across the Spider-Verse ซีเควลที่หลายคนรอคอยของ Spider-Man: Into the Spider-Verse ซึ่งได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมในปี 2019

พาวเวอร์สเป็นมือเขียนบท นักเขียนบทละคร ผู้อำนวยการสร้างและผู้กำกับที่ได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด และเขายังได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิบมือเขียนบทน่าจับตามองประจำปี 2020 ของวาไรตี้อีกด้วย ปัจจุบัน เขากำลังทำงานในภาพยนตร์สองเรื่องให้กับเน็ตฟลิกซ์ ได้แก่ Ireedeemable ที่มีเจย์เมส ซามวลส์กำกับและเจย์-ซี, ซามวลส์และเจมส์ แลสซิเตอร์อำนวยการสร้าง โดยภาพยนตร์เรื่องนี้สร้างจากซีรีส์การ์ตูนเรื่อง Irredeemable and Incorruptible โดยมาร์ค เวดและวาดภาพประกอบโดยปีเตอร์ ครอสและ Eloquent ที่มีไฮเยอร์ กราวน์อำนวยการสร้างและมีเค้าโครงจาก Frederick Douglass: Prophet of Freedom อัตชีวประวัติที่ได้รับรางวัลพูลิทเซอร์ของเดวิด ดับบลิว. ไบลท์

นอกจากนี้ พาวเวอร์สยังได้ร่วมเขียนบทและร่วมกำกับภาพยนตร์รางวัลออสการ์เรื่อง Soul สำหรับพิกซาร์ อนิเมชัน สตูดิโอส์อีกด้วย ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับสองรางวัลลูกโลกทองคำสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม-อนิเมชันและดนตรีประกอบออริจินอลยอดเยี่ยม-ภาพยนตร์ นอกเหนือจากนั้น Soul ยังได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสองรางวัลในสาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมและดนตรีประกอบออริจินอลยอดเยี่ยม และได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดสาขาเสียงยอดเยี่ยมอีกด้วย

อาวี อารัด (ผู้อำนวยการสร้าง)

อาวี อารัด ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการและซีอีโอของมาร์เวล สตูดิโอส์ ซึ่งเป็นแผนกภาพยนตร์และโทรทัศน์ของมาร์เวล เอนเตอร์เทนเมนต์และดำรงตำแหน่งซีซีโอของมาร์เวล เอนเตอร์เทนเมนต์ ในเดือนมิถุนายน ปี 2006 อารัดได้ออกไปตั้งบริษัทโปรดักชันของตัวเองในชื่อ อารัด โปรดักชันส์, อิงค์. อารัดเป็นแรงผลักดันเบื้องหลังการนำตัวการ์ตูนชื่อดังที่สุดของมาร์เวลขึ้นสู่จอเงิน ด้วยประวัติที่น่าตื่นตาตื่นใจ ซึ่งรวมถึงภาพยนตร์ที่เปิดตัวที่อันดับหนึ่งของบ็อกซ์ออฟฟิศหลายเรื่อง

อารัดได้อำนวยการสร้างภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse ภายใต้การกำกับโดยบ็อบ เปอร์ซิเช็ตติ, ปีเตอร์ แรมซีย์และร็อดนีย์ ร็อธแมน และปัจจุบัน กำลังอยู่ระหว่างการอำนวยการสร้าง Spider-Man: Across the Spider-Verse ซีเควลของภาพยนตร์เรื่องนั้น ภายใต้การกำกับของวาคิม ดอส ซานโตส, เคมป์ พาวเวอร์สและจัสติน เค. ธอมป์สัน รวมถึง Spider-Man: Beyond the Spider-Verse ภาคสามของแฟรนไชส์ ‘Spider-Verse’

ผลงานของเขาในฐานะผู้อำนวยการสร้างหรือผู้ควบคุมงานสร้างได้แก่ Spider- Man, Spider-Man 2, Spider-Man 3, The Amazing Spider-Man, The Amazing Spider-Man 2 (โคลัมเบีย พิคเจอร์ส); X-Men, X2: X- Men United, and X-Men: The Last Stand (ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์); The Hulk (ยูนิเวอร์แซล); Daredevil (นิว รีเจนซี); The Punisher (ไลออนส์ เกท เอนเตอร์เทนเมนต์); Blade, Blade II และ Blade: Trinity (นิวไลน์ ซีเนมา); Elektra (ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์); The Fantastic Four และซีเควล Fantastic Four: Rise of the Silver Surfer (ทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์); Ghost Rider และ Ghost Rider Spirit of Vengeance (โคลัมเบีย พิคเจอร์ส); Iron Man (พาราเมาท์ พิคเจอร์ส); The Incredible Hulk (ยูนิเวอร์แซล) และ Ghost In The Shell (ดรีมเวิร์คส์/ พาราเมาท์ พิคเจอร์ส), Venom Venom: Let There Be Carnage, Moebius และ Uncharted (โคลัมเบีย พิคเจอร์ส) และ ฯลฯ

นักพากย์เสียง

ชามี้ค มัวร์ (พากย์เสียง ไมลส์ โมราเลส/สไปเดอร์-แมน)
ชามี้ค มัวร์เป็นนักแสดงและศิลปินมากความสามารถที่กำลังสร้างชื่อเสียงในฮอลลีวูด
เขาจะกลับมาพากย์เสียง ไมลส์ โมราเลสอีกครั้งในซีเควลที่หลายคนรอคอยของโซนีเรื่อง Spider-Man: Across The Spider-Verse ในเดือนมิถุนายน ปี 2023 Spider-Man: Into The Spider-Verse ซึ่งเป็นภาคแรก ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2019 สาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยม โดยภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องราวของไมลส์ โมราเลสที่กลายเป็นสไปเดอร์-แมนในจักรวาลของเขาและการผจญภัยเพื่อหยุดยั้งเหล่าร้ายของเขา
เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งรับบท เรควอน ในซีรีส์ออริจินอลทางฮูลูเรื่อง Wu-Tang: An American Saga ซึ่งแพร่ภาพซีซันที่สามในเดือนกุมภาพันธ์ปี 2023 ซีรีส์ชื่อดังเรื่องนี้กำกับโดยแร็ปเปอร์ นักแสดง คนทำหนังและผู้อำนวยการสร้างชื่อดัง ริซา ซีรีส์นี้เล่าเรื่องราวการก่อตั้งของอู๋-ถัง แคลน วิสัยทัศน์ของบ็อบบี้ ดิ๊กส์ ผู้ใฝ่ฝันจะรวมเอาเด็กหนุ่มผิวดำหลายสิบคน ที่ต้องเลือกระหว่างดนตรีและอาชญากรรม แต่ท้ายที่สุดก็ผงาดขึ้นสู่การเป็นเรื่องราวความสำเร็จที่เหลือเชื่อที่สุดของชาวอเมริกัน ซีซันแรกเปิดตัวในเดือนกันยายน ปี 2019
นอกจากนี้ มัวร์ยังได้แสดงในภาพยนตร์โดยจูเลียส เอเวอรีเรื่อง Samaritan ซึ่งเปิดตัวโดยอเมซอน ไพรม์ วิดีโอในปี 2022 ผลงานจอแก้วและจอเงินเรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึงการแสดงใน Cut Throat City ที่กำกับโดยริซา, Stuart และ Let It Snow ทางเน็ตฟลิกซ์, ภาพยนตร์โดยบาซ ลูห์แมนเรื่อง The Get Down และการแสดงแจ้งเกิดของเขาในบทมัลคอล์มในภาพยนตร์ยอดนิยมในเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์โดยริค ฟามูยิวะเรื่อง Dope
นอกเหนือจากการแสดงแล้ว ชามี้ค มัวร์ยังเป็นศิลปินที่โดดเด่นอีกด้วย เขาได้ปล่อยผลงานเพลงออกมาภายใต้ชื่อ ‘มัวร์’ และมักจะร่วมงานกับผู้อำนวยการสร้างเจ้าของรางวัลแกรมมีอย่างอาโย เอ็น คีย์ซ ทั้งคู่ร่วมงานกับมัวร์ในซิงเกิลล่าสุดของเขาด้วย ความสามารถทางดนตรีที่แข็งแรงของเขาได้รับความสนใจเป็นครั้งแรกในตอนที่เขาบันทึกเสียงให้กับภาพยนตร์เรื่อง Dope ร่วมกับศิลปินรางวัลแกรมมี อวอร์ด ฟาร์เรล วิลเลียมส์
มัวร์มาจากจอร์เจียและปัจจุบัน ใช้ชีวิตอยู่ในเจอร์ซีย์ ซิตี้

เฮลีย์ สเตนเฟลด์ (พากย์เสียง เกวน สเตซี/สไปเดอร์-เกวน) นักแสดงหญิงผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ศิลปินเจ้าของผลงานมัลติแพลตินัมและผู้อำนวยการสร้าง เฮลีย์ สเตนเฟลด์ยังคงเป็นบุคคลทรงอิทธิพลในวงการบันเทิงเช่นเคย ด้วยวัยเพียงแค่ 25 เธอก็มีผลงานที่น่าอิจฉามากมายแล้ว เช่น True Grit, Pitch Perfect และ Edge of Seventeen ในเดือนมิถุนายน ปี 2023 สเตนเฟลด์จะกลับมารับบท สไปเดอร์-เกวนอีกครั้งใน Spiderman: Across the Spider-Verse ภาคก่อนนี้ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์สาขาภาพยนตร์อนิเมชันยอดเยี่ยมในปี 2019 ล่าสุด สเตนเฟลด์ได้รับบทนำ เคท บิช็อป ในซีรีส์มาร์เวลเรื่อง Hawkeye ประกบเจเรมี เรนเนอร์ ซีรีส์ที่หลายคนรอคอยเรื่องนี้เปิดตัวในวันที่ 24 พฤศจิกายน ปี 2021 ทางดิสนีย์พลัส ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโกลเดน โทเมโท อวอร์ดสาขานักแสดงหญิงขวัญใจแฟนๆ ประจำปี 2021 สเตนเฟลด์ได้นำแสดงในซีรีส์ออริจินอลยอดนิยมทางแอปเปิล ทีวีพลัสเรื่อง Dickinson ซึ่งเป็นการเล่าเรื่องราวชีวิตของกวีชื่อดังก้องโลก เอมิลี ดิคคินสัน อย่างน่าขบขัน ซีรีส์นี้ทำให้เธอได้รับรางวัลพีบอดี้ อวอร์ดปี 2020 ซีรีส์ออริจินอลยอดนิยมเรื่องนี้กลับมาฉายซีซันที่สาม ซึ่งเป็นซีซันสุดท้ายในเดือนพฤศจิกายน ปี 2021 ในซีรีส์ สเตนเฟลด์ได้กลับมารับหน้าที่นักแสดงนำและผู้ควบคุมงานสร้างของเรื่อง นอกจากนี้ เธอยังได้พากย์เสียง วี ใน Arcane ที่สร้างจากเกม League of Nations ของค่ายไรออท เกมส์ และแพร่ภาพทางเน็ตฟลิกซ์ในปัจจุบัน ในปี 2018 สเตนเฟลด์ได้นำแสดงในภาพยนตร์พาราเมาท์เรื่อง Bumblebee ในการสนับสนุนการเข้าฉายของภาพยนตร์เรื่องดังกล่าว ศิลปินมากความสามารถคนนี้ได้เปิดตัว “Back to Life” เพลงออริจินอลในซาวน์แทร็คของเรื่องด้วย

ก่อนหน้านี้ สเตนเฟลด์ได้แสดงนำในภาคสามของแฟรนไชส์ยอดนิยมเรื่อง Pitch Perfect และได้รับการเสนอชื่อชิงสามรางวัลทีน ชอยส์ อวอร์ดจากผลงานของเธอทั้งในด้านการแสดงและการร้องเพลง เธอได้ปรากฏตัวครั้งแรกในแฟรนไชส์ภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์เรื่องนี้ใน Pitch Perfect 2 การแสดงนำของสเตนเฟลด์ในภาพยนตร์ชื่อดังปี 2016 เรื่อง The Edge of Seventeen ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงสองรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ดและหนึ่งรางวัลลูกโลกทองคำ เธอเปิดตัวผลงานจอเงินเรื่องแรกในปี 2010 ด้วยภาพยนตร์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง True Grit ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลออสการ์ นอกเหนือจากเส้นทางจอแก้วและจอเงินที่รุ่งโรจน์แล้ว ศิลปินจากค่ายรีพับลิค เรคคอร์ดส์ผู้นี้ยังได้สร้างชื่อเสียงให้กับตัวเองในฐานะศิลปินแถวหน้าในวงการเพลงป๊อปด้วยการปล่อยเพลงฮิตที่ทำยอดขายถล่มทลายมามากมาย เมื่อเร็วๆ นี้ สเตนเฟลด์เพิ่งปล่อยซิงเกิลล่าสุด “Coast” (ฟีเจอริง แอนเดอร์สัน .ปาค) ตามมาด้วยการปล่อยมิวสิค วิดีโอ ที่กำกับโดย .ปาคออกมาอย่างรวดเร็ว ผลงานเพลงที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของเธอยังรวมถึงซิงเกิลเปิดตัวที่ทำยอดขายระดับดับเบิล แพลตินัม “Love Myself,” ซิงเกิลฮิตที่ทำยอดขายระดับทริปเปิล แพลตินัม Starving และซิงเกิลระดับแพลตินัม “Most Girls” และ “Let Me Go” จนถึงปัจจุบัน สเตนเฟลด์มียอดผู้ฟังเพลงของเธอเกือบแปดพันล้านครั้งทั่วโลกและได้ร่วมทัวร์กับศิลปินอย่างเคที เพอร์รี, ชาร์ลีย์ พูธและเมแกน เทรนเนอร์

ออสการ์ ไอแซ็ค (พากย์เสียง มิเกล โอ’ ฮารา/สไปเดอร์-แมน 2099) ออสการ์ ไอแซ็ค เป็นนักแสดง ผู้อำนวยการสร้างและนักดนตรีที่เคยได้รับรางวัลมาก่อน ปัจจุบัน เขาได้แสดงในละครเวทีที่ชุบชีวิตใหม่ให้กับเรื่อง The Sign In Sidney Brustein’s Window ของลอร์เรน แฮนเบอร์รี ภายใต้การกำกับของแอน คอฟแมนที่แบม ฮาร์วีย์ เธียเตอร์ ประกบราเชล บรอสนาฮาน ล่าสุด ไอแซ็คได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลแซ็กและเอ็มมี อวอร์ดปี 2022 จากการแสดงของเขาในภาพยนตร์เอชบีโอโดยฮาไก เลวีที่ดัดแปลงจากเรื่อง Scenes From A Marriage ในปี 2016 เขาได้รับรางวัลลูกโลกทองคำและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคริติกส์ ชอยส์จากการแสดงของเขาในมินิซีรีส์เอชบีโอเรื่อง Show Me A Hero ในปี 2014 เขาได้รับรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลลูกโลกทองคำจากการแสดงบทนำในภาพยนตร์โดยพี่น้องโคเอนเรื่อง Inside Llewelyn Davis ผลงานจอแก้วและจอเงินที่ผ่านมารวมถึง A Most Violent Year (2014), Ex Machina (2015), Star Wars Sequel Trilogy (2015-2019), The Promise (2016), Operation Finale (2018), Triple Frontier (2019), At Eternity’s Gate (2019), The Card Counter (2021), Dune (2021), Moon Night (2022) ในปี 2017 ไอแซ็คได้แสดงนำใน Hamlet โปรดักชันฤดูร้อนของเดอะ พับลิค เธียเตอร์ ภายใต้การกำกับของแซม โกลด์ ไอแซ็คได้แสดงในละครเวทีของโซอี้ คาซานเรื่อง We Live Here ที่แมนฮัตตัน เธียเตอร์ คลับ แสดงบทโรมิโอใน Romeo and Juliet และใน Two Gentlemen of Verona โดยละครเวทีสองเรื่องหลังนี้เป็นโปรดักชันสำหรับเทศกาลเชคสเปียร์ อิน เดอะ ปาร์คของเดอะ พับลิค เธียเตอร์ ผลงานละครเวทีเรื่องอื่นๆ รวมถึง Beauty of the Father (แมนฮัตตัน เธียเตอร์ คลับ), Grace (เอ็มซีซี เธียเตอร์), When It’s Cocktail Time in Cuba(เชอร์รี เลน เธียเตอร์), Spinning Into Butter (แฮงเกอร์ เธียเตอร์) ในปี 2019 ไอแซ็คและเอลวิรา ลินด์ ภรรยาของเขาที่เป็นมือเขียนบทและผู้กำกับด้วย ได้ก่อตั้งบริษัทโปรดักชันในชื่อ แมด จีน มีเดีย ขึ้นมา The Letter Room โปรเจ็กต์แรกภายใต้แบนเนอร์ของพวกเขา เป็นภาพยนตร์ขนาดสั้นที่เขียนบทและกำกับโดยลินด์และนำแสดงโดยไอแซ็ค ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับการเสนอชื่อเข้าขิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2021

อิซซา เรย์ (พากย์เสียง เจสสิกา ดรูว์/สไปเดอร์-วูแมน) ด้วยอารมณ์ขันโดดเด่นที่ทำให้คนอื่นรู้สึกแบบเดียวกันของเรย์ เธอได้รับความสนใจครั้งแรกจากซีรีส์เว็บที่ได้รับรางวัลของเธอและหนังสือเบสต์เซลเลอร์นิวยอร์ก ไทม์ที่มาคู่กันอย่าง The Misadventures of Awkward Black Girl เธอได้สร้างและนำแสดงในซีรีส์เอชบีโอที่ได้รับรางวัลพีบอดี้เรื่อง Insecure ที่ทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงหลายรางวัลเอ็มมีและลูกโลกทองคำ นอกจากนี้ เธอยังได้พากย์เสียงให้กับภาพยนตร์ขนาดสั้นที่ได้รับรางวัลออสการ์โดยโซนี พิคเจอร์ อนิเมชันเรื่อง Hair Love และเธอก็ได้สร้างชื่อเสียงในแวดวงจอเงิน ด้วยการนำแสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Photograph และ The Lovebirds ด้วย

ในปี 2020 เรย์ได้ก่อตั้ง ฮูเรย์ บริษัทสื่อที่ทำงานหลากหลายและพัฒนาคอนเทนท์ในสื่อประเภทต่างๆ ด้วยความพยายามที่จะสานต่อการทำลายพรมแดนในการเล่าเรื่องและการนำเสนอ ฮูเรย์ประกอบไปด้วยฮูเรย์ มีเดียสำหรับภาพยนตร์ โทรทัศน์และดิจิตอล; เรดิโอ ค่ายเพลง บริษัทดูแลงานดนตรีและเสียงและคัลเลอร์ครีเอทีฟ แผนกการจัดการของพวกเขา ผ่านทางข้อตกลงกับวอร์เนอร์มีเดียของฮูเรย์ อิซซาได้ขยายขอบเขตการทำหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างของเธอด้วย A Black Lady Sketch Show ที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี, ซีรีส์สารคดีขวัญใจแฟนๆ Sweet Life และซีรีส์ใหม่ทางเอชบีโอแม็กซ์เรื่อง RAP SH*T

ความทุ่มเทที่เรย์มีต่อแอลเอใต้ปรากฏชัดทั้งในความเคลื่อนไหวส่วนตัวและทางการทำงานของเธอ หลังจากสร้างรากฐานใกล้กับบ้านในวัยเด็กของเธอ อิซซาก็ตัดสินใจตั้งสำนักงานใหญ่ของฮูเรย์ขึ้นในใจกลางแอลเอใต้ การมีส่วนร่วมของเธอในองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร เดสติเนชัน เครนชอว์เป็นการสานต่อภารกิจของเธอในการยกย่องชาวลอสแองเจลิสผิวดำและการเป็นเจ้าของฮิลท็อป คาเฟ พลัส คิชเชนของเธอก็นำมาซึ่งงานและโอกาสที่จำเป็นอย่างยิ่งสำหรับชาวเมืองรวมถึงเป็นพื้นที่สำหรับผู้ทำงานสร้างสรรค์ในการปลดปล่อยศักยภาพของตนเอง นอกเหนือจากนั้น ในฐานะเจ้าของร่วมของเซียนนา เนเชอรัลส์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงเส้นผมที่มีคนผิวสีบริหารและเป็นเจ้าของ เรย์ตั้งใจที่จะเดินหน้าสร้างคำนิยามใหม่ให้กับความงามและความเป็นอยู่ของชาวผิวดำต่อไป เซียนนา เนเชอรัลส์เป็นผลิตภัณฑ์บำรุงผมวีแกนที่มีประสิทธิภาพสูง และมีรากฐานอยู่บนความยั่งยืนและความตั้งใจ และได้รับรางวัลคอสโมโพลิแทนส์ โฮลี เกรล บิวตี้ อวอร์ดในปี 2021

แดเนียล คาลูยา (พากย์เสียง โฮบี้ บราวน์/สไปเดอร์-พังค์) แดเนียล คาลูยา เป็นเจ้าของรางวัลอคาเดมี อวอร์ด ผู้เป็นที่รู้จักดีที่สุดจากผลงานที่น่าเกรงขามบนหน้าจอของเขาและคุณูปการต่อเนื่องที่เขามีต่อการเผยแพร่วัฒนธรรม บทเฟร็ด แฮมป์ตันของเขาในภาพยนตร์ดรามาอาชญากรรมชีวประวัติสัญชาติอเมริกาโดยชาคา คิงเรื่อง Judas And The Black Messiah ทำให้คาลูยาได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดปี 2021 รางวัลบริติช อคาเดมี ฟิล์ม อวอร์ดและรางวัลลูกโลกทองคำสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม นอกจากนั้น เขายังได้รับการยกย่องจากการแสดงของเขาในภาพยนตร์โดยไรอัน คูเกลอร์เรื่อง Black Panther ซึ่งได้รับรางวัลสมาพันธ์นักแสดงสาขาการแสดงดีเด่นโดยทีมนักแสดงและบทนำของเขาในภาพยนตร์โดยจอร์แดน พีลเรื่อง Get Out ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด รางวัลบาฟตา รางวัลแซ็กและรางวัลลูกโลกทองคำ

ในปี 2018 คาลูยาได้รับรางวัลบาฟตา อีอี ไรซิง สตาร์ อวอร์ด ที่สูงส่ง ล่าสุด คาลูยาได้แสดงในภาพยนตร์โดยจอร์แดน พีลเรื่อง Nope ประกบสตีเฟน หยวนและเกเก้ ปาล์มเมอร์ นอกจากนี้ เขายังได้รับหน้าที่ผู้อำนวยการสร้างภายใต้แบนเนอร์ 59% ของเขาในภาพยนตร์โฟกัส ฟีเจอร์เรื่อง Honk for Jesus and Save Your Soul ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2022 และถูกนำเข้าฉายโดยยูนิเวอร์แซล/พีค็อกในเดือนกันยายน ปี 2022 หลังจากนี้ คาลูยาตั้งใจจะเปิดตัวผลงานการเขียนบทเรื่องแรกด้วยทริลเลอร์ดิสโทเปียเรื่องใหม่ของเน็ตฟลิกซ์ The Kitchen ที่เขาอำนวยการสร้างด้วยและจะแสดงและอำนวยการสร้างภาพยนตร์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง The Upper World ที่สร้างจากนิยายโดยเฟมี ฟาดั๊กบา นอกจากนี้ เขายังได้พากย์เสียงโฮบาร์ท โฮบี้ บราวน์ หรือสไปเดอร์-พังค์ใน Spider-Man: Across the Spider-Verse ที่จะเข้าฉายในวันที่ 2 มิถุนายน ปี 2023 อีกด้วย ผลงานอื่นๆ ของคาลูยารวมถึงภาพยนตร์ที่กำกับโดยสตีฟ แม็คควีนเรื่อง Widows: Sicariyo สำหรับผู้กำกับเดนิส วิลเลอเนิฟและเอพิโซดที่กำกับโดยยูโรส ลินของซีรีส์ Black Mirror (Fifteen Million Merits) คาลูยารับบท พอช เคนเนธในซีรีส์อังกฤษยอดนิยมเรื่อง Skins ที่เขารับหน้าที่ทั้งหัวหน้าและทีมงานเขียนบทในเอพิโซดต่างๆ นอกจากนี้ เขายังรับบทนำในซีรีส์อังกฤษที่ได้รับรางวัลบาฟตาเรื่อง The Fades ที่สร้างและเขียนบทโดยแจ็ค ธอร์นอีกด้วย คาลูยามีพื้นเพที่แข็งแรงจากแวดวงละครเวที โดยเขาได้แสดงในละครเวทีหลายเรื่องในลอนดอนตลอดหลายปีที่ผ่านมา ในปี 2010 เขาได้รับรางวัลอีฟนิง สแตนดาร์ด เธียเตอร์ อวอร์ดสาขานักแสดงหน้าใหม่ดีเด่นจากการแสดงของเขาในละครโดยรอย วิลเลียมส์เรื่อง Sucker Punch โปรดักชันของรอยัล คอร์ท เธียเตอร์

เจค จอห์นสัน (พากย์เสียง ปีเตอร์ บี. ปาร์คเกอร์) เจค จอห์นสัน เพิ่งปิดกล้องภาพยนตร์เรื่อง Self Reliance ซึ่งเขาเขียนบท กำกับ อำนวยการสร้างและนำแสดง ภาพยนตร์เรื่องดังกล่าวเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์เมื่อฤดูใบไม้ผลิที่ผ่านมา ปัจจุบัน เขาได้แสดงใน Minx ทางเอชบีโอ แม็กซ์ จากผู้ควบคุมงานสร้างพอล ฟิ้กและผู้ควบคุมงานสร้าง/ผู้สร้าง เอลเลน แร็พพาพอร์ท ปัจจุบัน ซีรีส์นี้กำลังถ่ายทำซีซันที่สอง นอกจากนี้ เขายังได้แสดงใน Ride the Eagle ประกบซูซาน ซาแรนดอน, ดิ’ อาร์ซี คาร์เดนและเจ.เค. ไซมอนส์ ซึ่งเขาได้ร่วมเขียนบทภาพยนตร์เรื่องนี้กับเทรนท์ โอ’ ดอนเนลและ Lost Ollie ซีรีส์จำกัดทางเน็ตฟลิกซ์ ที่เขาแสดงประกบจินา โรดริเกซก็เพิ่งแพร่ภาพเมื่อปี 2022 เจคอาจเป็นที่รู้จักดีที่สุดจากบทขวัญใจแฟนๆ อย่างนิค มิลเลอร์ในซีรีส์ซิทคอมยอดนิยมของฟ็อกซ์เรื่อง New Girl ผลงานอื่นๆ ของเขารวมถึงภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Spider-Man: Into The Spider-Verse ที่อำนวยการสร้างโดยฟิล ลอร์ด & คริส มิลเลอร์, ภาพยนตร์ขวัญใจงานซันแดนซ์โดยโคลิน เทรเวอร์โรว์เรื่อง Safety Not Guaranteed, ภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลโดยโคลินเรื่อง Jurassic World, ภาพยนตร์โดยโจ สวอนเบิร์กเรื่อง Drinking Buddies ประกบโอลิเวีย ไวลด์และแอนนา เคนดริค, ภาพยนตร์ทเวนตี้ เซนจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง Let’s Be Cops, ภาพยนตร์สัตว์ประหลาดยูนิเวอร์แซลโดยทอม ครูซ/อเล็กซ์ เคิร์ทซ์แมนเรื่อง The Mummy และภาพยนตร์คอเมดีวอร์เนอร์ บรอส.โดยเจฟฟ์ ทอมซิคเรื่อง Tag

เจสัน ชวอร์ทซ์แมน (พากย์เสียง สปอต)
ปัจจุบัน เจสัน ชวอร์ทซ์แมนกำลังอยู่ระหว่างการถ่ายทำอีพิคเรื่องใหม่ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลาเรื่อง Megalopolis ประกบไชอา ลาบัฟและแคธริน ฮันเตอร์ ล่าสุด เจสัน ชวอร์ทซ์แมนได้นำแสดงในภาพยนตร์ใหม่โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง Asteroid City หลังจากนี้ เจสันจะได้แสดงในภาพยนตร์เรื่อง The Hunger Games: The Bllad of Songbirds and Snakes เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำภาพยนตร์เรื่อง Unt. Sister Comedy โดยเจสสิกา ยู ร่วมกับอควอฟินาและซาราห์ โอห์ เจสันได้แสดงประกบคริส ร็อคและเบน วิชอว์ในภาคสี่ของแฟรนไชส์ชื่อดังเรื่อง Fargo เขาได้แสดงในภาพยนตร์โดยเวส แอนเดอร์สันเรื่อง The French Dispatch เรื่องราวที่เขาร่วมเขียนบทกับแอนเดอร์สันและโรมัน คอปโปลา ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นผลงานเรื่องที่เจ็ดที่พวกเขาร่วมมือกัน

ลูนา ลอเรน เวเลซ (พากย์เสียงริโอ โมราเลส) ลูนา ลอเรน เวเลซ ได้ร่วมแสดงกับทีมนักแสดงของซีรีส์ American Rust โดยเจฟฟ์ แดเนียลส์ และเพิ่งเสร็จจากการทำงานในซีเควลที่หลายคนรอคอย Spider-Man: Across the Spider-Verse ที่เธอกลับมาสู่แฟรนไชส์นี้อีกครั้งในบทริโอ โมราเลส หลังจากนี้ เธอจะได้แสดงใน Transformers: Rise of the Beasts ประกบแอนโธนี รามอส ผลงานภาพยนตร์ล่าสุดรวมถึงภาพยนตร์อนิเมชันที่ได้รับรางวัลอคาเดมี อวอร์ดเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse; ซีเควลของ Shaft ประกบซามวล แอล. แจ็คสัน ด้วยบทภาพยนตร์ที่เขียนโดยเคนยา บาร์ริส, Swallow ประกบฮาลีย์ เบนเน็ตและ Ana ประกบแอนดี้ การ์เซียและดาฟเน คีน ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเธอได้แก่ Windows on the World ประกบเอ็ดเวิร์ด เจมส์ ออลโมส, The First Purge สำหรับยูนิเวอร์แซล พิคเจอร์สและ America Adrift สำหรับอเมซอน ซึ่งเธอรับหน้าที่ผู้ควบคุมงานสร้างด้วยเช่นกัน ผลงานแจ้งเกิดของลูนาคือภาพยนตร์เรื่อง I Like It Like That ซึ่งทำให้เธอได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดและทำให้เธอมีแพลทฟอร์มที่ชาวแอฟโฟร-ลาตินน้อยคนนักจะมี ด้านจอแก้ว ลูนาได้แสดงในซีซันที่ 3 และ 4 ของดรามายอดนิยมโดยชอนดา ไรม์เรื่อง How to Get Away with Murder ในบทสมทบสำคัญประกบวิโอลา เดวิส เวเลซแสดงในบทกัปตันมาเรีย ลาเกอร์ต้า ผู้เซ็กซี ทะเยอทะยานและเข้มแข็งในซีรีส์รางวัลเอ็มมี อวอร์ดทางโชว์ไทม์เรื่อง Dexter นานเจ็ดซีซัน เธอได้รับรางวัลและได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลมากมายจากผลงานของเธอในซีรีส์ยอดนิยมดังกล่าว รวมถึงการได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอัลมา อวอร์ดและคว้ารางวัลมาได้หนึ่งครั้งในสาขานักแสดงโดดเด่นในซีรีส์ดรามา

นอกเหนือจากนั้น เธอและเพื่อนร่วมแสดง Dexter ของเธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลสมาพันธ์นักแสดงติดต่อกันสี่ครั้งในสาขาการแสดงดีเด่นโดยทีมนักแสดงในซีรีส์ดรามา นอกจากนี้ เวเลซยังได้รับการยกย่องจากการแสดงที่บาดใจของเธอในบทดร.กลอเรีย นาธาน ในซีรีส์ดังทางเอชบีโอเรื่อง Oz รวมถึงบทนักสืบนีนา โมรีโนในซีรีส์คลาสสิกเรื่อง New York Undercover อีกด้วย

ไบรอัน ไทรี เฮนรี (พากย์เสียง เจฟเฟอร์สัน เดวิส)
ไบรอัน ไทรี เฮนรี ผู้ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ด, เอ็มมีและโทนี อวอร์ด เป็นนักแสดงผู้มีความสามารถหลากหลาย และมีผลงานครอบคลุมทั้งภาพยนตร์ โทรทัศน์และละครเวที ในปี 2022 เฮนรีได้แสดงประกบเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ในภาพยนตร์โดยเอทเวนตี้โฟร์เรื่อง Causeway ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโตและกำลังแพร่ภาพทั่วโลกทางแอปเปิล ทีวีพลัส บทนี้ทำให้เฮนรีได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลอคาเดมี อวอร์ดและติดลิสต์หนึ่งในสิบการแสดงภาพยนตร์ยอดเยี่ยมแห่งปีของนิตยสารไทม์ นอกจากนี้ เขายังได้รับรางวัลเอเอเอฟซีเอ อวอร์ดและรางวัลแบล็ค รีล อวอร์ดสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลคริติกส์ ชอยส์ อวอร์ด รางวัลฟิล์ม อินดีเพนเดนท์ สปิริต อวอร์ดและรางวัลก็อทแธม อวอร์ดด้วย

เฮนรีเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากการแสดงนำในซีรีส์เอฟเอ็กซ์ที่ได้รับรางวัลเอ็มมี ลูกโลกทองคำและพีบอดี้ อวอร์ดเรื่อง Atlanta เป็นเวลาสี่ซีซันที่เฮนรีรับบท อัลเฟรด ไมเลส แร็ปเปอร์ที่โด่งดังที่สุด ณ ขณะนี้ของแอตแลนตา ผู้ถูกบีบให้ต้องรับมือกับชื่อเสียงไปพร้อมๆ กับการแสดงความจงรักภักดีต่อครอบครัว เพื่อนๆ และตัวเอง เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี แซ็ก คริติกส์ ชอยส์และเอ็มทีวี มูฟวี แอนด์ ทีวี อวอร์ดจากผลงานของเขาด้วย

ปัจจุบัน เขาอยู่ระหว่างการถ่ายทำซีรีส์แอปเปิล ทีวีพลัสเรื่อง Sinking Spring ซึ่งจะกำกับโดยริดลีย์ สก็อตและเขาก็ได้กลับมารับหน้าที่เดิมในภาพยนตร์อนิเมชันโดยโซนีเรื่อง Spider-Man: Across The Spider-Verse ที่จะเข้าฉายเดือนมิถุนายนนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ เขาเพิ่งเสร็จจากการถ่ายทำโปรเจ็กต์ต่างๆ ซึ่งรวมถึงซีเควลภาพยนตร์วอร์เนอร์ บรอส. เรื่อง Godzilla vs. Kong, ภาพยนตร์เอ็มจีเอ็มเรื่อง Flint Strong และซีรีส์ออริจินอลจำกัดของเอฟเอ็กซ์เรื่อง Class Of ’09 ที่เขารับบททาโย ไมเคิลส์ เจ้าหน้าที่เอฟบีไอที่ชาญฉลาดและชอบทำอะไรแหวกขนบ ซีรีส์นี้ ที่เข้าฉายในเดือนพฤษภาคมนี้ สำรวจธรรมชาติของความยุติธรรม ความเป็นมนุษย์และการตัดสินใจของมนุษย์ที่ท้ายที่สุดแล้วเป็นตัวกำหนดชีวิตและสิ่งสืบทอดของพวกเขา

ในปี 2022 เฮนรีรับบท เลมอน ในภาพยนตร์ยอดนิยมของโซนีเรื่อง Bullet Train ประกบแบรด พิตต์และกำกับโดยเดวิด ลิทช์ ในปี 2021 เฮนรีได้แสดงในภาพยนตร์สี่เรื่อง รวมถึงภาพยนตร์มาร์เวลเรื่อง Eternals ซึ่งกำกับโดยโคลอี้ จ้าว เฮนรีรับบท ฟาสโตส นักประดิษฐ์อาวุธและเทคโนโลยีที่ชาญฉลาด นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์บล็อกบัสเตอร์ของวอร์เนอร์ บราเธอร์สเรื่อง Godzilla vs. Kong ในบทเบอร์นีย์ พิธีกรพ็อดคาสต์และนักทฤษฎีสมคมคิด ผู้ตามหาความจริง, ภาพยนตร์อินดีดรามาเรื่อง The Outside Story ที่เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมจากบทนำและในภาพยนตร์เน็ตฟลิกซ์เรื่อง The Woman in the Window ประกบเอมี อดัมส์และแกรี โอลด์แมน

ในปี 2018 เฮนรีมีผลงานจอเงินมากมาย โดยเขาได้นำแสดงในภาพยนตร์หลากหลายแนว เช่น Hotel Artemis ประกบโจดี้ ฟอสเตอร์และสเตอร์ลิง เค. บราวน์, ดรามาโซนีเรื่อง White Boy Rick ประกบแมทธิว แม็คคอนนาเฮย์, ทริลเลอร์โดยผู้กำกับสตีฟ แม็คควีนเรื่อง Widows ประกบวิโอลา เดวิส, ภาพยนตร์อนิเมชันรางวัลออสการ์ของโซนีเรื่อง Spider-Man: Into the Spider-Verse และภาพยนตร์โดยแบร์รี เจนกินส์เรื่อง If Beale Street Could Talk ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงวิจารณ์ชื่นชมล้นหลาม (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพี) จากการแสดงของเขาในบทแดเนียล คาร์ตี้ ในปี 2019 เขาได้นำแสดงในภาพยนตร์เอ็มจีเอ็มเรื่อง Child’s Play, ภาพยนตร์บลัมเฮาส์เรื่อง Don’t Let Go ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์และภาพยนตร์อินดีคอเมดีเรื่อง Fam-i-ly

ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเฮนรีรวมถึงบทบาทที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพีของเขาในภาพยนตร์โดยโซนี พิคเจอร์ อนิเมชันเรื่อง Vivo, Superintelligence ประกบเมลิสซา แม็คคาร์ธีย์และภาพยนตร์อินดีเรื่อง Irreplaceable You, Puerto Ricans in Paris และ Crown Heights ด้านจอแก้ว เขาได้แสดงในซีรีส์มากมาย รวมถึง HouseBroken, Room 104, Drunk History, BoJack Horseman, How To Get Away With Murder, Vice Principals, Boardwalk Empire, The Knick, The Good Wife และ Law & Order ในปี 2017 เขาได้รับบทรับเชิญเป็น ริคกี้ ในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง This Is Us ซึ่งทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็มมี

เขาเป็นคนแรกที่ได้รับบทนายพลในมิวสิคัลบรอดเวย์ชื่อดังเรื่อง The Book of Mormon ซึ่งทำให้เขาได้รับเสียงชื่นชมมากมาย ในฤดูใบไม้ผลิปี 2018 เฮนรีได้กลับคืนสู่เวทีบรอดเวย์อีกครั้งในละครเวทีที่ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนีของเคนเนธ โลเนอร์แกนเรื่อง Lobby Hero บทนี้ทำให้เขาได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลโทนี ดรามา เดสก์และดรามา ลีค อวอร์ด ผลงานละครเวทีที่หลากหลายของเขารวมถึง The Fortress of Solitude และ The Brother/Sister Plays/The Brothers Size (ได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเฮเลน เฮย์ส สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม) ที่โรงละครพับลิค เธียเตอร์ และละครเวทีเรื่อง Romeo and Juliet และ Talk About Race ที่นิวยอร์ก สเตจ แอนด์ ฟิล์มและเดอะ พับลิค

จอร์มา ทัคโคนี (พากย์เสียง เดอะ วัลเจอร์) จอร์มา ทัคโคนีเป็นมือเขียนบท นักแสดง ผู้กำกับคอเมดีชาวอเมริกัน เขาได้แสดงในภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลจากโลนลี ไอแลนด์เรื่อง Popstar ที่เขานำแสดงและร่วมกำกับ นอกจากนี้ เขายังได้แสดงในภาพยนตร์อเมซอนเรื่อง The People We Hate at the Wedding ด้วย

เขาได้รับบทประจำในซีรีส์ดังทางเอชบีโอเรื่อง Girls และได้รับบทรับเชิญในซีรีส์เอ็นบีซีเรื่อง Up All Night, Parks & Recreation และซีรีส์เอฟเอ็กซ์ The League นอกจากนี้ จอร์มายังได้แสดงในภาพยนตร์ฟ็อกซ์เรื่อง The Watch ที่กำกับโดยอากิวา แชฟเฟอร์และนำแสดงโดยวินซ์ วอห์น, โจนาห์ ฮิลและเบน สติลเลอร์ เขาได้แสดงประกบแอนดี้ แซมเบิร์ก, บิล เฮเดอร์และอิสลา ฟิชเชอร์ในภาพยนตร์พาราเมาท์โดยแชฟเฟอร์เรื่อง Hot Rod ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ ของเขารวมถึง Role Models และ Land of the Lost

จอร์มาเป็นหนึ่งในสามสมาชิกของคณะสเก็ตช์คอเมดีในนามของ เดอะ โลนลี ไอแลนด์ เขาได้อำนวยการสร้าง กำกับและขับร้องดนตรีส่วนใหญ่สำหรับ “Incredibad” และ “Turtleneck and Chain” ซึ่งเป็นสองอัลบัมจากโลนลี ไอแลนด์และภาพยนตร์ขนาดสั้นดิจิตอลเกือบร้อยเรื่องจาก Saturday Night Live ก่อนหน้านี้ เขาเป็นมือเขียนบท/นักประพันธ์และผู้กำกับของรายการดังกล่าว ในปี 2009 ทัคโคนีได้กำกับภาพยนตร์เรื่องแรกของเขา Macgruber สำหรับยูนิเวอร์แซล ซึ่งนำแสดงโดยวิล ฟอร์เต้และคริสเตน วิ้ก ผลงานกำกับจอแก้วของเขารวมถึง Parks and Recreation, Up All Night, Brooklyn Nine-Nine, The Last O.G. และซีรีส์ทีบีเอสเรื่อง Miracle Workers

อแมนดา สเตนเบิร์ก (พากย์เสียง มาร์โก้/สไปเดอร์-ไบท์) อแมนดา สเตนเบิร์ก เป็นหนึ่งในศิลปินที่โด่งดังและเป็นที่ต้องการตัวสูงสุดของโลกจากพรสวรรค์ที่ไม่อาจปฏิเสธได้และความเฉลียวฉลาดเกินอายุของเธอ เธอได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วโลกเป็นครั้งแรกจากการเป็นนักแสดงนำของภาพยนตร์ปี 2018 ของทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง The Hate U Give ที่สร้างจากนิยายเปิดตัวของแองเจลา โธมัส ที่ติดอันดับหนังสือขายดีของนิวยอร์ก ไทม์ และได้รับแรงบันดาลใจจากกระแสแบล็ค ไลฟ์ แมทเทอร์ โดยมีจอร์จ ทิลแมน จูเนียร์กำกับบทภาพยนตร์โดยออเดรย์ เวลส์ ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์โตรอนโตและได้รับเสียงชื่นชมจากทั่วโลก ซึ่งเกียรติสูงสุดที่ได้รับคือการที่สเตนเบิร์กได้ร่วมปรากฏตัวในงานอคาเดมี อวอร์ดในฐานะตัวแทนของภาพยนตร์เรื่องนี้ ร่วมกับนักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิพลเมือง จอห์น ลูอิส

มีการยืนยันว่าสเตนเบิร์กจะได้แสดงนำในซีรีส์โดยลูคัสฟิล์มและแอปเปิล ทีวีพลัสเรื่อง The Acolyte ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแฟรนไชส์ Star Wars ในตำนาน ที่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงปลายยุคไฮ รีพับลิค ก่อนหน้าเหตุการณ์ใน Star Wars หลัก ปลายปีนี้ สเตนเบิร์กจะได้แสดงในภาพยนตร์เกี่ยวกับพวกรักร่วมเพศ มนุษย์หมาป่าและการเติบโตเป็นผู้ใหญ่เรื่อง My Animal ซึ่งเปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ปี 2022 ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยแจ็คเกอลิน คาสเทิล ได้ผสมผสานเรื่องรักของหนุ่มสาวและทริลเลอร์แปลกประหลาดเข้าด้วยกัน ภาพยนตร์เรื่องนี้จะถูกพาราเมาท์นำเข้าฉายในช่วงกลางปี 2023

ล่าสุด สเตนเบิร์กได้แสดงในภาพยนตร์คอเมดีเชือดสยองยอดนิยมโดยเอทเวนตี้โฟร์เรื่อง Bodies Bodies Bodies ประกบมาเรีย บาคาโลวาและราเชล เซนน็อทท์ โดยผู้กำกับฮิลนา เรจิน ภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวในงานเทศกาลภาพยนตร์เซาธ์บายเซาธ์เวสต์ปี 2022 ก่อนที่จะเข้าฉายในโรงภาพยนตร์ในเดือนสิงหาคม ปี 2022 ก่อนหน้านั้น สเตนเบิร์กได้แสดงในภาพยนตร์ที่สร้างจาก Dear Evan Hansen สำหรับยูนิเวอร์แซล โดยเค้าโครงเรื่องของภาพยนตร์เรื่องนี้มาจากมิวสิคัลบรอดเวย์ชื่อเดียวกันที่ได้รับรางวัลโทนี อวอร์ดปี 2015 นอกเหนือจากนั้น สเตนเบิร์กยังได้แสดงจอแก้วประกบอังเดร ฮอลแลนด์ในซีรีส์จำกัดทางเน็ตฟลิกซ์เรื่อง The Eddy ซึ่งเล่าเรื่องของเจ้าของคลับแจ๊ส เอลเลียต อูโด (ฮอลแลนด์) สเตนเบิร์กรับบท จูลี ลูกสาวของเอลเลียต ในซีรีส์เรื่องนี้ ที่สร้างโดยผู้กำกับชื่อดัง เดเมียน ชาแซ

สเตนเบิร์กได้รับความสนใจครั้งแรกจากบท รู ในภาพยนตร์ไลออนส์เกทเรื่อง The Hunger Games ประกบเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ หลังจากความสำเร็จของภาพยนตร์เรื่องนั้น สเตนเบิร์กก็ได้รับรางวัลทีน ชอยส์ อวอร์ดในปี 2012 ร่วมกับเจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ในสาขาภาพยนตร์ – เคมียอดนิยม นอกจากนั้น เธอยังได้รับการเสนอชื่อชิงรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดและรางวัลแบล็ค รีล อวอร์ดในปี 2013 จากการแสดงในบท รู ของเธอด้วย ในปี 2017 เธอได้แสดงใน Everything, Everything ที่สร้างจากหนังสือของนิโคลา ยูน ภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่กำกับโดยสเตลลา เมกี ได้รับรางวัลชอยส์ ดรามา มูฟวีจากเวทีทีน ชอยส์ อวอร์ดปี 2017 ภาพยนตร์เรื่องนี้ยังทำให้สเตนเบิร์กได้รับรางวัลเอ็นเอเอซีพี อิเมจ อวอร์ดปี 2018 สาขานักแสดงนำหญิงโดดเด่นในภาพยนตร์อีกด้วย ผลงานภาพยนตร์เรื่องอื่นๆ รวมถึงภาพยนตร์โดยทเวนตี้ เซ็นจูรี ฟ็อกซ์เรื่อง The Darkest Minds, ดรามาสงครามโลกครั้งที่สองเรื่อง Where Hands Touch และ As You Are


[ข่าวประชาสัมพันธ์]

ติดตามข่าวหนังอื่น ๆ เพิ่มเติมได้ที่นี่ Online Station

คำที่เกี่ยวข้อง

สมัครรับข่าว OS

คุณอาจสนใจเรื่องนี้