ผู้เขียน | พรสุดา คำมุงคุณ |
---|
พิษโควิดล็อกดาวน์จนนักดนตรีบ่น‘ลืมเนื้อ’
เสียงจาก‘ห้องซ้อม’
วอนรัฐเลิกร้องเพลงผิดคีย์
หลังวิกฤตยาวนานนับปีของสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลให้แทบทุกสาขาอาชีพได้รับผลกระทบไม่มากก็น้อย รวมถึงกลุ่มศิลปิน นักร้อง นักดนตรี และคนกลางคืน ตลอดจนผับ บาร์ คาราโอกะที่โดน ‘ปิดก่อน-เปิดทีหลัง’ กระทั่งต้องปิดกิจการกันไปมากมาย เมื่อสายป่านทางการเงินยาวไปไม่ถึงวันที่สถานการณ์คลี่คลาย
ล่าสุด 27 กันยายนที่ผ่านมา คณะกรรมการบริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 มีมติ ‘เห็นชอบ’ ให้มีการ ‘เล่นดนตรีในร้านอาหาร’ ได้ เริ่มตั้งแต่ 1 ตุลาคม เป็นต้นไป
ตลอดระยะเวลากว่า 1 ปีที่ไร้งาน ขาดรายได้ คนเหล่านี้ไม่เคยอยู่นิ่งเฉย ไม่ใช่แค่พยายามดำเนินตามมาตรการรัฐเพื่อสกัดโควิดให้อยู่หมัดได้เร็วที่สุด ยังพากันรวมตัวจัดทำข้อเสนอ รวมถึงยื่นหนังสืออย่างเป็นทางการขอผ่อนปรนและการเยียวยาจากภาครัฐตามสิทธิที่ควรได้
ในการชุมนุมทางการเมือง ศิลปินหลายรายขึ้นเวทีปราศรัย หนึ่งในนั้นคือ เอ้ เดอะวอยซ์ ซึ่งเคยปล่อยมุขทีเล่นทีจริงว่า ‘ลืมเนื้อร้อง’ เพราะตกงานมานานนับปี ทั้งหมดนี้สะท้อนความเดือดร้อนที่ไม่อาจมองข้าม
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งธุรกิจในวงการดนตรีที่กลับไม่ถูกกล่าวถึงมากนัก อย่าง ‘ห้องซ้อม’ ย่อมเจอผลกระทบอย่างหนัก เพราะถ้านักดนตรีไม่มีงานให้เล่น ก็ไม่มีใครมาใช้บริการ
แม้ ‘พรุ่งนี้’ จะเป็นวันแรกของการกดปุ่มไฟเขียวให้ร้องเพลงในร้านอาหารได้ แต่ก็ยังไม่อาจการันตีว่าธุรกิจห้องซ้อมดนตรีจะฟื้นตัวได้มากน้อยเพียงใด
‘นักดนตรีไม่มีงานก็ไม่มีใครมา(ห้อง)ซ้อม’
กลับมาเปิดก็เหมือน‘เริ่มใหม่’
สันติ ปัญจขันธ์ และ กันตา แซ่ตั้ง เจ้าของห้องซ้อม Music Group เล่าถึงสถานการณ์ที่ทำให้ลูกค้าและรายได้ที่หายไปอย่างฉับพลันจากการระบาดของโควิด-19
ห้องซ้อมแห่งนี้นับเป็นขวัญใจของเหล่านักดนตรี เปิดให้บริการทั้งมือสมัครเล่นไปจนถึงศิลปินชื่อดังมาเป็นเวลากว่า 30 ปี โดยเช่าพื้นที่ ‘แฟลต (ย่าน) ดินแดง’ มาทำเป็นห้องซ้อม
แม้ไม่ได้ถูกสั่งปิดโดยตรง แต่ด้วยบรรยากาศและสถานการณ์โรคระบาด ทำให้จำนวนลูกค้าที่มาใช้บริการลดลงอย่างเห็นได้ชัด แม้มีมาตรการคัดกรองลูกค้าก่อนเข้าใช้บริการ จากที่เคยปิดบริการไปช่วงหนึ่ง แม้กลับมาเปิดหลังคลายล็อก แต่ยังคงเงียบเหงา
“เปิดมา 34-35 ปี คนมาซ้อมเยอะ ส่วนมากเป็นวงอินดี้ซ้อมไปอัดเพลง ทำเพลง วงนักเรียนก็เยอะ บางทีเยอะจนขี้เกียจ วันละ 14-15 วง บางวงจองยาวๆ 10.00 น. ถึง 20.00 น. อัดส่งงานอะไรอย่างนี้ ช่วงนี้กลับมาเปิดก็เหมือนเริ่มใหม่หมด มาวันละ 1-2 วง ยังไม่ค่อยมีใครมาซ้อม คนยังกลัว บางวันไม่มีเลย มาตรการของร้านส่วนใหญ่จะรับเฉพาะคนที่รู้จัก คุ้นเคยกัน จองผ่านเพจเฟซบุ๊ก ให้ลูกค้าล้างมือบ่อยๆ ใส่หน้ากากอนามัย เช็กอุณหภูมิ ยังไม่มีการตรวจเอทีเคในตอนนี้” สันติเล่า
กันตา เสริมด้วยว่า วิกฤตนี้กระทบหนัก ถ้าคิดเป็นเปอร์เซ็นต์จากร้อยเหลือแค่ 5 ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไปอีกสักปีก็อาจต้องปิดกิจการ
“อาจเปลี่ยนไปทำอย่างอื่นเพราะอายุมากแล้ว มีน้องนักดนตรีบางคนอัพรูปในเฟซบุ๊ก กลับไปทำไร่ที่บ้านแล้วก็มี ไปอยู่ต่างจังหวัด กระจัดกระจายกันหมด”
ระลอก 3 ทำรายได้เป็นศูนย์
‘เรียนออนไลน์’ อีกเหตุลูกค้าหาย
อีกหนึ่งห้องซ้อมที่ได้รับผลกระทบหนักถึงขั้นรายได้เป็นศูนย์จากโควิดระลอก 3 คือ Soundspace ห้องซ้อมและห้องอัดย่านปิ่นเกล้า ซึ่งก่อนหน้าการมาถึงของไวรัสโคโรนา 2019 มีนักเรียน นักศึกษามาใช้บริการแทบทุกวัน กระทั่งธุรกิจต้องพลิกผันอย่างไม่ทันตั้งตัว
สฐิร จุฬาพงษ์วนิช หรือเป้ และ มนัส ศรยุทธเสนี หรือเดฟ เจ้าของกิจการ เล่าว่า ในช่วงที่มีการปิดผับ ปิดร้านอาหาร นักดนตรีไม่สามารถเล่นดนตรีได้ จึงไม่ได้มาซ้อม พอไม่มีผับ ไม่มีร้านอาหาร ไม่มีความบันเทิง ศิลปินไม่มีงานให้เล่น ก็ไม่มีความจำเป็นที่ต้องมาซ้อม
“เปิดร้านมาเป็นปีที่ 8 แล้ว กลุ่มลูกค้ามีทั้งนักดนตรีอาชีพ วงนักเรียน คนทั่วไป ที่นี่มีบริการทั้งห้องซ้อมและห้องอัด เมื่อก่อนมีคนใช้บริการ 1-3 วงต่อวัน แต่จะมีทุกวัน พอเกิดโควิด เปลี่ยนแบบทันทีเลย ไม่ใช่ค่อยๆ เปลี่ยนนะ แบบหายไปเลยเป็นศูนย์ ตอนรอบแรกรอบสอง ยังไม่หนักมาก ยังพอมีลูกค้าใกล้ๆ เด็กมหา’ลัยใกล้ๆ มาซ้อม แต่พอมารอบสามมันหนักขึ้น รายได้เป็นศูนย์มา 2 เดือนแล้ว จากมีลูกค้าทุกวัน ตอนนี้ไม่มีเลย”
ที่น่าสนใจคือ เป้และเดฟยังบอกด้วยว่า การ เรียนออนไลน์ ยังเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ห้องซ้อมไม่อยู่ในลิสต์ของวิถีชีวิตของเยาวชน
“เด็กนักเรียนทยอยหายไป ยิ่งเรียนออนไลน์เด็กไม่ได้เจอกัน ไม่ได้มีกิจกรรมวันปีใหม่ ไม่มีงานโรงเรียนให้เด็กแสดงความสามารถ เมื่อไม่มีความจำเป็นต้องเล่นทำให้ไม่มีใครมาใช้บริการ”
สำหรับมาตรการของทั้งห้องซ้อมและห้องอัด ทั้งคู่บอกว่า ดูแลตั้งแต่ความสะอาด จนถึงการจำกัดจำนวนผู้เข้าใช้บริการ
“ก่อนเปิดห้องซ้อมจะมีการฉีดฆ่าเชื้อ เช็ดทำความสะอาด และจำกัดจำนวนคน ไม่ให้เกินจำนวนเครื่องดนตรีที่เล่น ไม่ให้มีผู้ติดตาม ส่วนที่ใบฉีดวัคซีนหรือผลตรวจเอทีเค ไม่ได้ถาม เพราะถามไปก็คงไม่มีใครพร้อมมาให้ทุกคน บางคนเขาก็ไม่สะดวกให้ การไปตรวจมันแพงเกิน บางคนมาซ้อมตกคนละไม่เกิน 50 บาท แต่ไปตรวจชุดละ 200-300 บาท คงไม่มีใครยอมเสียเงินมากกว่าค่าห้องซ้อม ยิ่งเราจี้ถามหรือมีกฎเยอะเกินไป ก็เหมือนไล่ลูกค้า…แบบที่นี่เข้มงวดจังเลย ส่วนการคัดกรองใช้ความคุ้นเคย คุ้นหน้า ขาจรจะไม่รับเลย พวกขาประจำถามว่าเสี่ยงไหมที่รับมาก็เสี่ยง แต่ก็ยอมรับความเสี่ยงได้เพราะทุกคนก็พยายามดูแลตัวเอง ใครไม่เอาหน้ากากอนามัยมา ที่นี่ก็มีให้ เอาจริงๆ ต่างคนก็ต่างไม่มั่นใจกันเอง เรากลัวลูกค้า ลูกค้าก็กลัวเรา” เจ้าของ Soundspace ทั้งสองร่วมกันเปิดใจ
1 ตุลาฯ ขยับเคอร์ฟิว เล่นดนตรีได้
(ไม่) ช่วยแก้ปัญหา?
สำหรับความคืบหน้าล่าสุดที่ภาครัฐอนุญาตให้เล่นดนตรีในร้านอาหารได้ และขยับเวลาเคอร์ฟิวเป็น 22.00 น. จากเดิมขีดเส้น 3 ทุ่มตรง ถามว่า จะส่งผลดีต่อธุรกิจความบันเทิงได้มากน้อยแค่ไหน ?
ทาง Soundspace มองว่า มีแค่นักดนตรีบางกลุ่มที่จะสามารถทำงานได้ และเวลาเพียง 1 ชั่วโมงก็ไม่เพียงพอกับรูปแบบการทำงานของนักดนตรี
“มันก็เป็นแค่วงดนตรีบางประเภทที่ไปต่อได้ อย่างพวกวงอะคูสติก หรือร้องกับแบ๊กกิ้งแทร็ก ส่วนวงที่เล่นเต็มวง วงร็อกไม่สามารถเล่นได้ หรือการจ้างศิลปินไปเล่น แต่เพิ่มเวลาแค่ชั่วโมงเดียว ไม่เพียงพอกับการโชว์ของเขา คนที่ไปนั่งรับประทานอาหารที่ร้านเองก็อาจจะยังไม่วางใจที่จะออกจากบ้านนานๆ อาจไปแค่ครึ่งชั่วโมงแล้วกลับ ไม่ได้ไปนั่งฟังเพลง ประชาชนยังไม่มั่นใจกับการจัดการปัญหาของรัฐ เลยคิดว่าการคลายล็อกคงไม่ช่วยอะไรมากนัก รัฐบาลต้องให้ความมั่นคงทางวัคซีนและความปลอดภัยให้คนไทยก่อน จากนั้นทุกอย่างจะตามมาเองอย่างเป็นธรรมชาติเลย”
ถอดสมการพลาด ร้องเพลงผิดคีย์
รัฐบาลยังแก้ไม่ถูกจุด
ส่วนโอกาสและแนวโน้มที่ธุรกิจดนตรีที่จะกลับมาคึกคักอีกครั้งหนึ่งนั้น เจ้าของกิจการห้องซ้อม-ห้องอัดทั้ง 2 แห่ง แสดงความเห็นตรงกันว่า ขึ้นอยู่กับการจัดการของรัฐบาล หากแก้อย่างตรงจุดและถูกต้อง นักดนตรีก็จะสามารถกลับมาทำงานได้และธุรกิจดนตรีก็จะเดินหน้าได้เช่นกัน
“ถ้ารัฐบาลคลายล็อกร้านเหล้า ผับบาร์ หรือคอนเสิร์ต ก็คิดว่าเราก็น่าจะมีคนมาซ้อมเยอะขึ้น ถ้ามีงานวงก็มาซ้อม ช่วงนี้โควิดคนก็เซฟเงินกัน นอกจากจำเป็นต้องซ้อมทำเพลง มีงาน ส่วนใหญ่เป็นวงจริงจังมากกว่า วงเล่นๆ ก็มีบ้าง รัฐบาลยังแก้ไม่ตรงจุด อย่างร้านอาหารเปิดให้นั่งกินเมื่อก่อนแค่คนละโต๊ะก็ยังดี คนยังขายของได้ คนละโต๊ะดีกว่าคนละเตียง” สันติ เจ้าของห้องซ้อม Music Group กล่าวพร้อมยิงมุขตบท้าย
ส่วน สฐิร แห่ง Soundspace บอกว่า ได้แต่หวังให้รัฐบาลแก้ปัญหาตรงจุด
“ถ้าถามว่านักดนตรีจะกลับมาทำงานกันแบบจริงๆ จังๆ เมื่อไหร่ ไม่รู้เลย ในเมื่อรัฐบาลทำงานกันแบบนี้ โจทย์ปัญหาการถอดสมการ โจทย์มันต้องถูกตั้งแต่แรก เราจึงจะหาค่า x ได้ แต่ตั้งโจทย์มาผิดยังไงเราก็ไม่มีวันหาค่า x ได้ ก็ได้แต่หวังว่ารัฐจะแก้ปัญหาได้ตรงจุดสักที จากการระบาดรอบแรกคนรู้วิธีป้องกันตัวเองมากขึ้น แต่ความปลอดภัยในประเทศน้อยเท่าเดิม
ประเพณีการเกิดวงดนตรีมันเป็นวงจร ถ้ารุ่นหนึ่งหายไปมันชอร์ตหมด มันก็จะหายไปเรื่อยๆ งานโรงเรียน งานแสดงสดหรือคอนเสิร์ตไม่มี เด็กรุ่นใหม่ไม่มีต้นแบบก็จะไม่มีแรงบันดาลใจให้เล่นดนตรี มันจะเกิดการล่มสลายของวงดนตรี”
เมื่อไหร่รัฐบาลเลิกร้องเพลงผิดคีย์ ตีกลองให้ถูกจังหวะ เมื่อนั้นธุรกิจดนตรีและความบันเทิงก็อาจฟื้นคืนจากความป่วยไข้ได้เร็วยิ่งขึ้นเท่านั้น
พรสุดา คำมุงคุณ