PM 2.5 เกิดจากการสะสมของฝุ่นละออง ตามที่มีเครื่องวัดคุณภาพอากาศ ซึ่งเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ ซึ่งประเทศไทยอยู่อันดับที่ 2 ที่มีค่าฝุ่นละออง PM 2.5 มากที่สุด กลุ่มที่มีความเสี่ยงในเรื่องของ สุขภาพที่จะได้รับผลกระทบจากฝุ่น PM 2.5 ซึ่งได้แก่ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ ผู้สูงอายุ และผู้มีโรคประจำตัว ในพื้นที่ที่ฝุ่นละอองเกินมาตรฐานควรหลีกเลี่ยงการทำกิจกรรม หรือออกกำลังกายกลางแจ้ง หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านเป็นเวลานาน ควรสวมหน้ากากอนามัย เพื่อเป็นการป้องกันฝุ่นละออง รวมถึงป้องกันโรคติดต่อในระบบทางเดินหายใจ โดยพื้นที่ที่มีค่าฝุ่น PM 2.5 เกินมาตรฐานควรเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
7 วิธีการป้องกัน
1. ควรพักอาศัยอยู่ในบ้าน เลี่ยงการเปิดประตูหรือหน้าต่าง ใช้ผ้าชุบน้ำทำความสะอาดสิ่งของต่าง ๆ ในบ้าน เลี่ยงการใช้ไม้กวาดเนื่องจากจะทำให้ฝุ่นฟุ้งกระจาย
2. ใช้หน้ากากเพื่อป้องกันฝุ่นละอองขนาดเล็กตามที่ได้มาตรฐาน N95 เป็นหน้ากากที่สามารถกรองฝุ่นขนาดเล็กได้
3. ลดการออกกำลังกายกลางแจ้ง หรือการออกกำลังกายที่ต้องออกแรงเยอะ เพราะจะเพิ่มอัตราการหายใจมากกว่าปกติ 10 – 20 เท่า ซึ่งจะนำมลพิษเข้าสู่ร่างกายได้ง่ายมากขึ้น4. การใช้เครื่องกรองอากาศและแผ่นกรองอากาศ เพื่อช่วยลดฝุ่นละอองที่จะเข้ามาภายในอาคาร5. ลดแหล่งมลพิษในบ้าน เช่น การสูบบุหรี่ การใช้เตาถ่าน การทำกิจกรรมที่ทำให้เกิดควัน6. เลี่ยงการใช้เครื่องผลิตโอโซน หรือเครื่องเพิ่มปริมาณออกซิเจน มักจะโฆษณาชวนเชื่อว่าสามารถลดแบคทีเรียในอากาศได้ แต่ความจริงแล้วมันมีโทษมากกว่าประโยชน์7. ภายในรถยนต์ควรปิดช่องระบายอากาศให้เป็นระบบหมุนเวียนภายใน
การป้องกันตนเองจากมลพิษ PM 2.5
หน้ากากอนามัยจากภาพเบื้องต้นสามารถป้องกันฝุ่นละออง PM 2.5 ได้อย่างน้อย 95% ทุกคนควรมีติดตัวไว้ถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ที่เฝ้าระวังก็ตาม
เพราะฝุ่นละอองเป็นสิ่งที่เราไม่สามารถควบคุมได้แต่เราสามารถป้องกันตัวเองจากฝุ่นละอองได้
เวลาซื้อหน้ากากอนามัย ต้องสังเกตอะไรบ้าง
การได้รับรองมาตรฐาน บางอันเขียนว่า N95 , FFP2 , P2 รหัสเหล่านี้ คือ สัญลักษณ์การรับรองมาตรฐานของแต่ละประเทศ
N95 : เป็นการรับรองของประเทศสหรัฐอเมริกาโดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 95%
(หากเลขมากกว่านั้น เช่น N99 หมายถึงมีประสิทธิภาพในการกรอง 99%)
FFP2 : เป็นการรับรองของฝั่งยุโรป โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 94% (หากเป็น FFP3 จะหมายถึง มีประสิทธิภาพในการกรอง 99%)
P2 : เป็นการรับรองของประเทศออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ โดยรับรองว่าหน้ากากนี้มีประสิทธิภาพในการกรอง 94% (หากเป็น P3 จะหมายถึง มีประสิทธิภาพในการกรอง 99%)
หน้ากากอนามัยควรเปลี่ยนเมื่อไหร่ จริง ๆ แล้วข้อแนะนำที่ดีที่สุด คือ ควรเปลี่ยนหน้ากากทุกวัน เพราะประสิทธิภาพในการป้องกันฝุ่นของหน้ากากจะลดลงตามอายุการใช้งาน รวมทั้งยังเป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคและแบคทีเรียอีกด้วยแต่ด้วยราคาที่ค่อนข้างสูง จะให้เปลี่ยนทุกวันอาจจะกระทบกับเงินในกระเป๋า ดังนั้น เราอาจใช้วิธีสังเกตสีของหน้ากาก ว่าเปลี่ยนไปมากน้อยแค่ไหน ถ้าจากสีขาวสะอาดๆ เริ่มเปลี่ยนเป็นสีเทา ก็ถึงคราวต้องเปลี่ยนได้แล้ว (โดยส่วนใหญ่ไม่ควรใช้ซ้ำเกิน 3 วัน) หรืออีกข้อสังเกต คือ หากเรามีอาการไอ จาม บ่อย ๆ หรือต้องผ่านในสถานที่ที่มีฝุ่นละอองมาก ๆ ก็สมควรต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ เช่นกัน
อย่ามองข้ามเรื่องฝุ่นละอองเป็นเรื่องไกลตัวถึงแม้จะไม่ได้อยู่ในพื้นที่เฝ้าระวังก็ต้องดูแลตัวเองและหลีกเลี่ยงจากสถานที่หรือสถานการณ์จากฝุ่นละอองที่เกิดขึ้น เพราะฝุ่นละอองมันเล็กมากเราไม่สามารถกรองหรือมองเห็นได้ ถ้าเกิดเราละเลยหรือมองข้ามมันไปอาจทำให้เราป่วยเป็นโรคเรื้อรัง โรคร้ายแรงไปเลย กันไว้ดีกว่าแก้เจ็บป่วยมาตัวเราเองจะลำบากและอาจจะนำพาคนรอบข้างลำบากไปกับเรา มาดูแลสุขภาพกันนะคะ