ทั่วโลกต่างจับจ้องที่ขั้วโลกเหนือว่าทะเลน้ำแข็งมีขนาดเหลืออยู่อย่างน้อยเท่าไหร่พร้อมทั้งเปรียบเทียบกับปีที่ผ่านมาในช่วงกลางเดือนกันยายนของทุกปี

การตั้งถิ่นฐานของพลเมือง Tasilaq ในกรีนแลนด์ © Greenpeace/ Nick Cobbing

การตั้งถิ่นฐานของพลเมือง Tasilaq ในกรีนแลนด์ © Greenpeace/ Nick Cobbing

ตัวชี้วัดความเปลี่ยนแปลง 

ปริมาณของทะเลน้ำแข็งที่น้อยที่สุด (และมากที่สุดในช่วงเดือนกุมภาพันธ์) ในแต่ละปีเป็นตัวชี้วัดที่มีประสิทธิภาพที่สุดที่ใช้ดูผลกระทบจากอุณหภูมิที่สูงขึ้น การเปลี่ยนแปลงของกระแสน้ำและภูมิอากาศที่มีต่อน้ำแข็งที่ขั้วโลกเหนือ ขนาดของทะเลน้ำแข็งหรือพื้นที่บริเวณมหาสมุทรอาร์กติกที่ถูกทะเลน้ำแข็งปกคลุมแตกต่างกันไปในแต่ละปีแต่แนวโน้มเป็นสิ่งที่เราสามารถดูได้ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม

การวัดขนาดของทะเลน้ำแข็ง  

การสำรวจทะเลน้ำแข็งทางดาวเทียมเริ่มต้นในปีค.ศ.1979 นับตั้งแต่ดาวเทียมสำรวจน้ำแข็งถูกปล่อยออกไป แต่นั่นมิได้หมายความว่าข้อมูลก่อนหน้านั้นจะไม่ปรากฎ ข้อมูลจากการสำรวจทางเรือและเครื่องบิน, เป็นส่วนหนึ่งในการศึกษาแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นได้

ขนาดหรือปริมาตร 

ในทางทฤษฎีแล้ว ปริมาตรของทะเลน้ำแข็ง หรือ ขนาดคูณด้วยความหนานั้นคือตัวชี้วัดความสมบูรณ์ของทะเลน้ำแข็งในอาร์กติก แต่ข้อมูลการวัดปริมาตรที่แม่นยำจากดาวเทียมมีเพียงไม่กี่ปีย้อนหลังเท่านั้น ดังนั้นการวัดขนาดของทะเลน้ำแข็งจึงยังเป็นการวัดที่ดีที่สุดที่มีอยู่ในขณะนี้ในการสร้างแนวโน้มระยะยาว แม้ว่า รูปแบบการเปลี่ยนแปลงทางปริมาตรเพียงเล็กน้อยเริ่มจะปรากฎให้เห็นแล้วก็ตาม

น้ำแข็งเก่ากับน้ำแข็งใหม่  

อายุและความหนาของทะเลน้ำแข็งมีความสำคัญเท่าๆกับขนาดของมัน น้ำแข็งปีแรก หรือน้ำแข็งที่เกิดขึ้นครั้งแรกในฤดูหนาว จะมีความหนาไม่เกิน1-2 เมตร เมื่อน้ำแข็งนั้นรอดพ้นจากการละลายในฤดูร้อนอย่างน้อยหนึ่งครั้งมันจะกลายเป็นน้ำแข็งหลายปีซึ่งโดยทั่วไปจะมีความหนาประมาณ 3-4 เมตร จากปริมาณน้ำแข็งที่เพิ่มขึ้นในแต่ละฤดูหนาวสะสมกัน และ การชนกันของแผ่นน้ำแข็งหรือที่เรียกว่า “แพน้ำแข็ง” (floes) จากการพัดพาของลม กระแสน้ำ และกระแสน้ำขึ้นน้ำลง

น้ำแข็งทุกฤดูกาลในช่วงครึ่งแรกของศตวรรษนี้มีขนาดเท่าๆกัน แต่ในช่วงเริ่มต้นของกลางศตวรรษนี้เองที่ขนาดที่เล็กที่สุดของน้ำแข็งที่เหลืออยู่ในฤดูร้อนเริ่มจะหดตัวลงในขณะที่น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดในฤดูหนาวยังคงมีขนาดเท่าเดิม  และนับตั้งแต่ปีค.ศ.1975 เป็นต้นมา น้ำแข็งขนาดใหญ่ที่สุดเริ่มหดตัวเล็กลง

องค์การมหาสมุทร และบรรยากาศแห่งชาติ (NOAA) 

การชนกันของแพน้ำแข็งคล้ายกับทฤษฎีการเคลื่อนที่ของแผ่นเปลือกโลก (plate tectonics)กล่าวคือ เมื่อทวีปสองทวีปชนกันจะก่อให้เกิดภูเขาขึ้น ในกรณีของทะเลน้ำแข็ง เมื่อแพน้ำแข็งชนกันทำให้เกิดส่วนที่นูนขึ้นมาเป็นภูเขาน้ำแข็ง โดยอาจจะมีความสูงถึง 5 เมตรและมีขนาด 10-25 เมตรจมอยู่ในทะเล น้ำแข็งปีแรกที่บางจะละลายได้ง่ายกว่าน้ำแข็งหลายปีที่หนา นักวิทยาศาสตร์พบว่าทะเลน้ำแข็งในอาร์กติกที่ถูกสร้างจากทะเลน้ำแข็งหลายปีมีน้อยลงไปทุกที นั่นมิได้หมายความเพียงว่าทะเลน้ำแข็งมีจำนวนลดลงแต่มันยังบางลง และง่ายต่อการละลายที่เพิ่มขึ้นอีกด้วย

น้ำแข็งกำลังละลาย  

การวัดเหล่านี้บอกอะไรเราบ้าง? ทะเลน้ำแข็งขนาดน้อยที่สุดและมากที่สุดในแต่ละปีกำลังหดตัวลงในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา:

ความแตกต่างนี้เห็นได้อย่างชัดเจนจากการเปรียบเทียบภาพถ่ายจากดาวเทียมในช่วงเวลาต่างๆกัน

Record minimum sea-ice extent ขนาดของทะเลน้ำแข็งที่เล็กที่สุดที่เคยมีการบันทึกในประวัติศาสตร์นั้น เกิดขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 Source: Cryosphere Today

Record minimum sea-ice extent ขนาดของทะเลน้ำแข็งที่เล็กที่สุดที่เคยมีการบันทึกในประวัติศาสตร์นั้น เกิดขึ้นในเดือนกันยายน ค.ศ. 2007 Source: Cryosphere Today

ขนาดของน้ำแข็งแถบอาร์กติกที่เล็กที่สุด เกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2007 ด้วยขนาด 4.13 ล้านตารางกิโลเมตร

ขนาดดังกล่าวนั้นเล็กมากจนเหล่านักวิทยาศาสตร์ในช่วงแรกต่างเชื่อว่าเป็นสิ่งผิดปกติ แต่จริงๆแล้วเกิดจากลักษณะของอากาศเฉพาะ (ลม ท้องฟ้าแจ่มใส และอุณหภูมิที่สูง) ที่รวมตัวกันแล้วก่อให้เกิด “พายุอย่างสมบูรณ์แบบ” (perfect storm)

ขนาดของทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติกการเปลี่ยนแปลงของขนาดทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติกโดยเฉลี่ย ในเดือนกรกฎาคม นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ขนาดของทะเลน้ำแข็งในปี ค.ศ. 2011 ลดลงอย่างมากจนทำลายสถิติ Credit: National snow and Ice Data Center

อย่างไรก็ตาม ขนาดของทะเลน้ำแข็งในปี ค.ศ. 2008 ก็เกือบทำลายสถิติที่เคยเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2007, ซึ่งแม้ไม่มีรูปแบบของอากาศเฉพาะที่ผิดปกติเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 2007 ก็ตาม

ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในแต่ละปี สามารถอธิบายได้จากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศในระยะสั้น แต่เราไม่สามารถอธิบายถึงแนวโน้มที่จะเกิดขึ้นในระยะยาวได้ ดังเช่นจากข้อมูลดาวเทียมในรอบ 30 ปี ขนาดของทะเลน้ำแข็งรายปีที่เล็กที่สุดในช่วงสองปีที่ผ่านมาถือว่ามีปริมาณต่ำที่สุดนับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลจากดาวเทียมทีเดียว ซึ่งก็สอดคล้องกับแนวโน้มการหดตัวอย่างต่อเนื่องของทะเลน้ำแข็ง

ขนาดของทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติก การเปลี่ยนแปลงของขนาดทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติกโดยเฉลี่ย ในเดือนกรกฎาคม นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ขนาดของทะเลน้ำแข็งในปี ค.ศ. 2011 ลดลงอย่างมากจนทำลายสถิติ Credit: National snow and Ice Data Centerขนาดของทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติก การเปลี่ยนแปลงของขนาดทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติกโดยเฉลี่ย ในเดือนกรกฎาคม นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ขนาดของทะเลน้ำแข็งในปี ค.ศ. 2011 ลดลงอย่างมากจนทำลายสถิติ Credit: National snow and Ice Data Center

ขนาดของทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติก การเปลี่ยนแปลงของขนาดทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติกโดยเฉลี่ย ในเดือนกรกฎาคม นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ขนาดของทะเลน้ำแข็งในปี ค.ศ. 2011 ลดลงอย่างมากจนทำลายสถิติ Credit: National snow and Ice Data Center

ขนาดของทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติก การเปลี่ยนแปลงของขนาดทะเลน้ำแข็งแถบอาร์กติกโดยเฉลี่ย ในเดือนกรกฎาคม นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1979 ขนาดของทะเลน้ำแข็งในปี ค.ศ. 2011 ลดลงอย่างมากจนทำลายสถิติ Credit: National snow and Ice Data Center

ผลที่จะเกิดตามมา 

การละลายของทะเลน้ำแข็งไม่ได้ส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลเหมือนกับการละลายของน้ำแข็งบนพื้นดิน จริงๆแล้วก็เหมือนกับก้อนน้ำแข็งที่ละลายในแก้วน้ำ แต่ไม่ได้ล้นออกมานอกแก้วนั่นเอง

แต่การหดตัวลงและบางลงของทะเลน้ำแข็งกลับจะส่งผลกระทบอย่างรุนแรงมาก อย่างแรก เมื่อน้ำแข็งสีขาวซึ่งปกติจะสะท้อนแสงอาทิตย์ออกไปละลายลง ก็จะเกิดน้ำในอาร์กติกจำนวนมาก เปิดรับและดูดความร้อนจากแสงอาทิตย์มากขึ้น และยิ่งส่งผลให้น้ำแข็งละลายเร็วมากขึ้นไปอีก หมายความว่าน้ำแข็งที่ละลายก็จะยิ่งทำให้น้ำแข็งอีกจำนวนมากละลายลงด้วย  นอกจากนี้ ชนิดพันธุ์สัตว์ที่ใกล้จะสูญพันธุ์ อย่างเช่นหมีขั้วโลก สิงโตทะเล (Walrus) และ แมวน้ำ (Ice Seal) ซึ่งมีชีวิตพึ่งพิงอยู่กับน้ำแข็ง ก็จะไม่สามารถอยู่ได้ถ้าไม่มีน้ำแข็ง การดำรงชีวิตอยู่ของสัตว์ รวมทั้งคนตามแถบอาร์กติกซึ่งมีวิถีชีวิตและวัฒนธรรมที่ต้องอาศัยสัตว์เหล่านี้และน้ำแข็งมานับล้านๆปี ก็จะได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงด้วย

Fundraising Team in Manila. © Geric Cruz / Greenpeace
ร่วมบริจาค

ด้วยความช่วยเหลือจากคุณ ทำให้เราสามารถใช้วิธีการที่สร้างสรรค์อย่างสันติ เปิดโปงการทำลายสิ่งแวดล้อม ช่วยให้สังคมตระหนักถึงความสำคัญของการปกป้องมหาสมุทร ป่าไม้ แหล่งน้ำ อาหาร และสภาพภูมิอากาศ ซึ่งล้วนเป็นระบบพื้นฐานสำหรับทุกชีวิตบนโลกใบนี้

มีส่วนร่วม