นายภูริพัฒน์ ธีระกุลพิศุทธิ์ รองอธิบดีกรมเจ้าท่า (จท.) เปิดเผยว่า ได้รับจัดสรรงบประมาณ ปี 63-66 วงเงินรวม 156.15 ล้านบาท ภายใต้แผนงานบูรณาการสร้างรายได้จากการท่องเที่ยว สอดคล้องกับยุทธศาสตร์การส่งเสริมการท่องเที่ยวเรือสำราญ ปี 61-70 ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา

จึงได้ว่าจ้างกลุ่มบริษัทที่ปรึกษาฯ ดำเนินการศึกษาทั้งในส่วนการศึกษาวิเคราะห์ คัดเลือกพื้นที่ที่มีความเหมาะสม พร้อมศึกษาความเหมาะสมทางเศรษฐกิจ สถาปัตยกรรม วิศวกรรม สิ่งแวดล้อม และรับฟังความคิดเห็นประชาชน เพื่อพัฒนาท่าเรือรองเรือรับสำราญขนาดใหญ่ (Cruise) จำนวน 3 โครงการ ครอบคลุมทุกเส้นทาง การเดินเรือสำราญขนาดใหญ่ผ่านประเทศไทย ทั้งฝั่งทะเลอ่าวไทย และอันดามัน ผลการศึกษามีความเป็นไปได้ในการพัฒนาท่าเรือใน 3 พื้นที่ ได้แก่ เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จ.กระบี่ และ จ.ชลบุรี ปัจจุบันมีคืบหน้าดังนี้

นายภูริพัฒน์ กล่าวต่อว่า 1.โครงการศึกษาและวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนในโครงการพัฒนาท่าเทียบเรือรองรับเรือสำราญ ขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) ที่ อ.เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี จากผลการศึกษาเดิมพบว่า ที่ตั้งที่เหมาะสมของท่าเรือ ได้แก่ บริเวณแหลมหินคม อ.เกาะสมุย ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาร่างหลักเกณฑ์ของโครงการร่วมลงทุน และร่างรายงานการศึกษาและวิเคราะห์โครงการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน

2.โครงการศึกษาวางแผนแม่บทเพื่อพัฒนาท่าเรือสำราญขนาดใหญ่ (Cruise Terminal) และสำรวจออกแบบ ท่าเรือสำราญขนาดใหญ่บริเวณชายฝั่งอันดามัน ได้ข้อสรุปผลการคัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมบริเวณอ่าวแหลมป่อง หมู่ที่ 3 ต.หนองทะเล อ.เมือง จ.กระบี่ โดยพัฒนาเป็นท่าเรือต้นทาง (Home Port) รองรับเรือขนส่งผู้โดยสารไม่เกิน 1,500 คน และเป็นท่าเรือแวะพัก ( Port of call) สำหรับรองรับเรือขนส่งผู้โดยสาร 3,500-4,000 คน อยู่ระหว่างการออกแบบท่าเรือ และกำหนดรูปแบบการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน

นายภูริพัฒน์ กล่าวอีกว่า 3.โครงการศึกษาสำรวจออกแบบ ท่าเรือต้นทาง (Home Port) สำหรับเรือสำราญขนาดใหญ่ (CruiseTerminal) บริเวณอ่าวไทยตอนบน ได้ข้อสรุปที่เหมาะสม ในการพัฒนาท่าเรือบริเวณแหลมบาลีฮาย เมืองพัทยา จ.ชลบุรี ท่าเรือเป็นลักษณะผสมผสาน (Hybrid) คือเป็นท่าเรือต้นทาง (Home Port) รองรับเรือขนส่งผู้โดยสาร ไม่เกิน 1,500 คน และเป็นท่าเรือแวะพัก ( Port of call) สำหรับรองรับเรือขนส่งผู้โดยสาร 3,500-4,000 คน อยู่ระหว่างการออกแบบท่าเรือ และกำหนดรูปแบบการร่วมทุนระหว่างรัฐและเอกชน

ปัจจุบันอยู่ระหว่างการจัดทำร่างรายงานวิเคราะห์การให้เอกชนร่วมลงทุนฯ เพื่อนำเสนอสำนักงานคณะกรรมการ นโยบายรัฐวิสาหกิจ (สคร.) เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน กรมเจ้าท่า กระทรวงคมนาคม จะนำเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติโครงการฯ ต่อไป

นายภูริพัฒน์ กล่าวด้วยว่า สำหรับแนวคิดในการพัฒนาท่าเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่นี้ เพื่อรองรับกลุ่มนักท่องเที่ยวระดับกลางถึงระดับสูง ที่มีการใช้จ่ายเงินในการท่องเที่ยวจำนวนมาก สร้างเม็ดเงินให้กับประเทศ และระบบเศรษฐกิจสูง การศึกษาฯ คำนึงถึงความเป็นไปได้ ที่จะพัฒนาให้มีท่าเรือต้นทาง (Home Port) ในประเทศไทย ซึ่งนักท่องเที่ยวจะเดินทางมาท่องเที่ยวในประเทศไทยล่วงหน้า เพื่อที่จะลงเรือเริ่มต้นเส้นทางท่องเที่ยวทางทะเล หรือขึ้นจากเรือเมื่อสิ้นสุดการเดินทางและท่องเที่ยวต่อในประเทศไทย ก่อนเดินทางกลับ

พร้อมพัฒนาให้มีท่าเรือแวะพัก (Port of call) ที่จะเป็นท่าเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ที่มีเส้นทางเดินเรือ ผ่านประเทศไทย ทั้งฝั่งทะเลอ่าวไทย และอันดามัน อันจะทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในธุรกิจท่องเที่ยว การบริการและธุรกิจต่อเนื่อง ทั้งธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดย่อม ไปถึงผู้ค้า ผู้ให้บริการรายย่อย การออกแบบท่าเรือจะนำเอาแนวคิดที่เป็นอัตลักษณ์ ของประเทศไทยและท้องถิ่นมาผสมผสาน เพื่อให้ท่าเรือมีความโดดเด่นเป็นแลนด์มาร์คแห่งท้องทะเลไทย

เนื่องจากประเทศไทยมีธรรมชาติทางทะเลที่สวยงามติดอันดับโลก ตลอดจนวัฒนธรรม ประเพณี ธรรมชาติ และแหล่งท่องเที่ยวบนฝั่งที่งดงาม หากแต่ยังไม่มีท่าเรือรองรับเรือสำราญขนาดใหญ่ที่เหมาะสม มีสิ่งอำนวยความสะดวก ปลอดภัยให้แก่ผู้โดยสารลดเวลาในการขึ้น-ลง จากเรือ เพื่อให้มีเวลาในการท่องเที่ยวมากขึ้น ดังนั้นหากมีท่าเรือที่เหมาะสม จะช่วยดึงดูดให้เรือสำราญขนาดใหญ่ เข้ามาจอดเทียบ สร้างรายได้ให้กับประเทศ และการก่อสร้างท่าเรือจะทำภายใต้พระราชบัญญัติการร่วมลงทุนระหว่างรัฐและเอกชน พ.ศ.2562

นายภูริพัฒน์ กล่าวต่ออีกว่า ที่ผ่านมาการพัฒนาท่าเรือเพื่อตอบสนองความต้องการใช้งาน ทั้งด้านการค้า การขนส่ง การสัญจรทางน้ำ เชื่อมโยง กับระบบขนส่งอื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อสนับสนุนการท่องเที่ยวทางน้ำ สร้างรายได้ให้ประเทศ กรมเจ้าท่าเห็นแล้วว่า ก่อนสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 การท่องเที่ยวโดยเรือสำราญมีแนวโน้มขยายตัวมากขึ้น สามารถ สร้างรายได้ให้ประเทศเป็นอย่างมาก ดังนั้นเพื่อพัฒนาท่าเทียบเรือสำราญ เพื่อการท่องเที่ยวอย่างเต็มรูปแบบ และประเทศไทยเป็นจุดหมายปลายทางของการเดินทางท่องเที่ยวโดยเรือสำราญที่มีคุณภาพและได้มาตรฐานสากล สามารถสร้างรายได้ให้ประเทศตามนโยบายกระทรวงคมนาคม