bloggang.com mainmenu search

.

.

.


รูปวาด "หันยวี่" (韓愈)


.

.

เมื่อครั้งที่อัพบล๊อกบทบทกวีของหลิ่วจงหยวน
ได้กล่าวถึง "หันยวี่" (韓愈 พ.ศ.1311-1367) ว่า...
...เป็นปราชญ์สมัยถังที่แอนตี้พุทธศาสนา

กระนั้นขึ้นชื่อว่า "ปราชญ์" แม้ความคิดเห็นและความเชื่อจะแตกต่าง
ผมก็คิดว่าน่าจะลองศึกษาความคิดและเหตุผลของเขาดู

จึงได้แปลฎีกาเรื่องนี้ของหันยวี่มาลองให้เพื่อนๆบล๊อกได้ลองอ่านดู




"ฎีกาเรื่องพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า"


ข้าพระองค์ขอกราบบังคมทูล : พุทธศาสนานั้นเป็นลัทธิของคนป่าเถื่อน
ที่นำเข้าสู่แผ่นดินจีนเมื่อสมัยราชวงศ์ฮั่นหลัง และนับแต่โบราณกาลมา
ก็ไม่ได้ปรากฏอยู่เลย จักรพรรดิ์หวงตี้เสวยราชย์นาน 100 ปี ทรงมีพระ
ชนมายุยืนยาวถึง 110 พรรษา จักรพรรดิ์ส่าวเฮ่าเสวยราชย์นาน 80 ปี
ทรงมีพระชนมายุ 100 พรรษา จักรพรรดิ์จวนซวีเสวยราชย์นาน 79 ปี
ทรงมีพระชนมายุ 98 พรรษา จักรพรรดิ์กู้เสวยราชย์นาน 70 ปี ทรงมี
พระชนมายุ 105 พรรษา จักรพรรดิ์เหยาเสวยราชย์นาน 98 ปี ทรงมีพระ
ชนมายุ 118 พรรษา จักรพรรดิ์ซุ่นและจักรพรรดิ์หยวี ทั้งสองพระองค์มี
พระชนมายุ 100 พรรษา ตลอดเวลาที่ผ่านมาแผ่นดินจีนมีความสงบสุข
ประชาชนล้วนมีความสุขและอายุยืนยาว ซึ่งตอนนั้นแผ่นดินจีนก็มิได้มี
พุทธศาสนาเลย

ต่อมาจักรพรรดิ์ทังแห่งราชวงศ์ยิน ซึ่งทรงมีพระชนมายุถึง 100 พรรษา
และทรงมีพระราชโอรสคือไท้วู่ เสวยราชย์นาน 75 ปี และหวู่ติงได้เสวย
ราชย์นาน 59 ปี ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ขาดการบันทึกตอนสิ้นพระชนม์ แต่
ก็เชื่อกันว่าแต่ละพระองค์ทรงมีพระชนมายุไม่น้อยกว่า 100 พรรษา
ในสมัยราชวงศ์โจว พระเจ้าโจวเหวินหวางทรงมีพระชนมายุ 97 พรรษา
พระเจ้าโจวหวู่หวางทรงมีพระชนมายุ 93 พรรษา พระเจ้าโจวมู่หวางเสวย
ราชย์อยู่นานถึง 100 ปี และในยุคนั้นพุทธศาสนาก็ยังมิได้เข้ามาสู่แผ่น
ดินจีนเลย การที่พระผู้เสวยราชย์มีพระชนมายุยืนยาวนั้นก็หาได้เกิดจาก
การกราบไหว้บูชาพระพุทธเจ้าไม่

เมื่อถึงสมัยราชวงศ์ฮั่น ยุคจักรพรรดิ์ฮั่นหมิงตี้พุทธศาสนาได้เข้ามาถึงแผ่น
ดินจีนเป็นครั้งแรกและจักรพรรดิ์พระองค์นี้ก็เสวยราชย์อยู่ได้เพียง 18 ปี
ในกาลต่อๆมาบ้านเมืองเกิดโกลาหลจลาจลวุ่นวาย หลังความวุ่นวาย ก็พบ
ว่าผู้ปกครองแผ่นดินก็มิได้มีอำนาจปกครองอยู่นานเลย ตั้งแต่สมัยราชวงศ์
ซ่ง ฉี เหลียง เฉิน และเว่ย์เหนือ ในช่วงเวลายุคเหล่านี้ พุทธศาสนาได้รับ
การยอมรับมากขึ้นเรื่อยๆ แต่ผู้ครองแผ่นดินกลับมีชนมายุสั้นลงๆ ยกเว้น
จักรพรรดิ์เหลียงหวู่ตี้ที่เสวยราชย์อยู่นาน 48 ปี ซึ่งในช่วงพระชนม์ชีพทรง
บำเพ็ญเพียรทรมานพระองค์อยู่ 3 ครั้ง เพื่อถวายเป็นพุทธบูชา ในพิธีเซ่น
ไหว้ในศาลบรรพชนขององค์จักรพรรดิ์ อาหารจำพวกเนื้อวัว แกะ และหมู
เป็นสิ่งต้องห้าม พระองค์ทรงบำเพ็ญโดยเสวยพระกระยาหารเพียงวันละ
มื้อเดียว และเสวยเป็นมังสวิรัต มีแค่ผักและผลไม้ ในวาระสุดท้ายพระองค์
ทรงถูกโหว้จิ่งก่อการบีบบังคับ จนสิ้นพระชนม์จากการอดพระกระยาหาร
ที่พระตำหนักไถเฉิง(อยู่ในพระราชวังที่หนานจิง) เป็นกาลสิ้นสุดรัชกาลอัน
สั้นของพระองค์

จึงพอสรุปได้ว่าการสักการะบูชาพระพุทธเจ้านั้นเพื่อหวังจะได้พรอันประเสริฐ
กลับได้เคราะห์กรรมมาแทน กล่าวง่ายๆก็คือ พระพุทธเจ้านั้นไม่ได้มีคุณค่า
อันใดควรแก่การกราบไหว้ถวายตัวอุทิศเลย

จักรพรรดิ์เกาจู่แห่งราชวงศ์ถังทรงมีพระดำริที่จะขจัดพุทธศาสนาตั้งแต่แรก
เริ่มเสวยราชย์ต่อจากราชวงศ์สุย อย่างไรก็ตามข้าราชบริพารสมัยนั้นก็มิได้
มีสายตาอันยาวไกลพอ ไม่มีความรู้ลึกซึ้งพอที่จะเพ็ดทูลถึงการปกครอง
ของบรรดาผู้ทรงเสวยราชย์ในโบราณกาล ไม่รู้ว่าสิ่งใดเหมาะสมกับกาลอดีต
หรือกาลปัจจุบัน พวกเขาจึงไม่ยอมรับพระวิจารณญาณอันชาญฉลาดของ
องค์จักรพรรดิ์ที่ทรงคาดหวังว่าแผ่นดินจีนจะอยู่รอดปลอดภัย และพ้นจาก
การต้องคำสาป ไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้นเพื่อสนองพระราชดำริขององค์จักรพรรดิ์
ที่ทรงปรารถนาดี เป็นที่น่าเสียดายยิ่งนัก

นับพันปีมาแล้ว ไม่มีผู้ครองแผ่นดินพระองค์ใดจักเทียบเท่าพระองค์ ไม่ว่า
ในด้านพระสติปัญญาหรือความกล้าหาญ เมื่อพระองค์ทรงเถลิงราชย์ครั้ง
แรก ทรงห้ามราษฎรมิให้บวชเป็นพระภิกษุ ชี และนักพรตเต๋า ทรงห้ามการ
สร้างวัดวาอารามและสำนักสงฆ์ ข้าพระองค์เชื่อว่าองค์จักรพรรดิ์เกาจู่ทรง
คาดการณ์ล่วงหน้าไว้แล้วว่าสักวันหนึ่งฝ่าพระบาทจักต้องได้ปกครองแผ่น
ดินจีน

แม้นว่าพระราชดำริ(ของถังเกาจู่)จะยังไม่สัมฤทธิ์ผล แต่ก็มิบังควรที่จะให้
มีเหตุปัจจัยใดๆมาส่งเสริมขัดขวาง ข้าพระองค์ได้ทราบว่าฝ่าพระบาททรง
มีพระบรมราชโองการให้บรรดาพระภิกษุไปต้อนรับพระบรมสารีริกธาตุที่
เฟิ่งเฉียง(มณฑลหนึ่งในอดีต ปัจจุบันอยู่ในมณฑลเสิ่นซี) และยังได้ทรง
ตระเตรียมการที่จะเสด็จทอดพระเนตรจากหอสูงตอนนำมาประดิษฐานไว้
ในพระราชวัง ทุกๆพระอารามวัดวาได้รับรับสั่งให้ถวายการต้อนรับพระบรม
สารีริกธาตุและผลัดกันเข้าถวายสักการะโดยลำดับ

การที่ทรงรับสั่งเช่นนี้(ข้าพระองค์เห็นว่า)เป็นสิ่งที่ไม่สมด้วยเหตุผล(เหลว
ไหล)เป็นที่สุด คงทรงเชื่อคำเพ็ดทูลว่าฝ่าพระบาทมิได้หลงผิด ฝ่าพระบาท
ปรารถนาพรอันประเสริฐ จึงได้ถวายสักการะบูชาพระพุทธเจ้า

ปัจจุบันนี้ทั่วทั้งพระราชอาณาจักรล้วนเปี่ยมด้วยความสุขสมบูรณ์พูนผลอยู่
แล้ว หากฝ่าพระบาทรับสั่งให้ทำพิธีเฉลิมฉลองต้อนรับพระบรมสารีริกธาตุ
เพราะทรงคาดว่าประชาราษฎร์จะเลื่อมใส ทำให้พระเกียรติยศแห่งนครหลวง
เกริกกำจรไกล ทรงสำคัญผิดแล้วสำหรับสร้างค่านิยมอันแปลกประหลาดผิด
ธรรมเนียมแบบนี้ พระจักรพรรดิ์ผู้เปี่ยมด้วยพระปรีชาญาณเยี่ยงฝ่าพระบาท
จะทรงเชื่อจริงจังในสิ่ง(เหลวไหล)เช่นนี้ละหรือ?

อย่างไรก็ตาม ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์มักจะคิดตื้นๆและถูกหลอกง่าย เป็นสิ่ง
ที่ยากนักที่จะให้พวกเขารู้แจ้งเห็นจริง พวกเขาเห็นฝ่าพระบาทรับสั่งให้ปฏิบัติ
แบบใด ก็จะเชื่อทันทีว่าฝ่าพระบาททรงมีพระราชศรัทธาอย่างแน่วแน่ต่อ
พระพุทธเจ้า และพวกเขาก็จะกล่าวขานกันว่า "แม้แต่องค์จักรพรรดิ์โอรส
แห่งสวรรค์ผู้ทรงปรีชาญาณก็ยังทรงสำแดงการเคารพสักการะบูชาอย่างสูง
สุด พวกเราที่เป็นไพร่ฟ้าสามัญชนจะไม่เห็นดีงามตามพระองค์ละหรือ?"

พวกราษฎรอาจจะยอมเผาผมรมนิ้วมือตนเอง และผู้คนนับร้อยพันจะถอด
เปลื้องถนิมพิมพาภรณ์เป็นทาน บริจาคเงินทองตามๆกันตั้งแต่เช้าจนยันค่ำ
หาไม่ก็จะถูกหาว่าเป็นคนล้าหลัง ทั้งคนแก่เฒ่าและหนุ่มสาวล้วนร้อนรนคลั่ง
ไคล้ ละทิ้งธุรกิจการงาน แม้นไม่หยุดงานกันทันทีก็จะเที่ยวตระเวณตาม
แห่ไปยังวัดโน้นอารามนี้ อาจถึงตัดแขน แล่เนื้อตนเองถวายเป็นเครื่องเซ่น
สังเวยบูชา พฤติการณ์เยี่ยงนี้คงจะเป็นที่น่าหัวเราะเยาะหยันไปทั้งแผ่นดิน
จึงนับว่าเรื่องนี้มิใช่เป็นเรื่องเล็กน้อยแล้ว

พระพุทธเจ้านั้นเป็นคนป่าเถื่อน ภาษาของพระพุทธเจ้าไม่สามารถสื่อสาร
ได้กับคนจีน การแต่งกายก็แตกต่างจากคนจีนเรา พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรง
ตรัสตามแบบโบราณราชประเพณีแห่งจักรพรรดิ์กษัตริย์จีน ฉลองพระองค์
พัสตราภรณ์ล้วนผิดแผกจากพวกเรา พระพุทธเจ้ามิได้ทราบถึงความสัมพันธ์
ระหว่างผู้ปกครองแผ่นดินกับเสวกามาตย์ และไม่ทราบถึงความรักใคร่ผูกพัน
ฉันบิดากับบุตร หากแม้นพระพุทธเจ้ายังมีพระชนม์ถึงสมัยทุกวันนี้(สมัยถัง)
และได้รับภารกิจมาเป็นราชทูตจากประเทศของพระองค์(อินเดีย)ฝ่าพระบาท
จะทรงถวายการต้อนรับอย่างไร? จะทรงจัดงานเลี้ยงต้อนรับ จะทรงพระราช
ทานเสื้อผ้าแพรภัณฑ์ แล้วก็คงจัดถวายอารักขาส่งกลับจนถึงชายแดน หาก
เป็นเยี่ยงนี้ก็จะไม่เป็นการทำให้ไพร่ฟ้าประชาชนเราหลงผิด พระพุทธเจ้าได้
สิ้นพระชนม์นิพพานไปนานมากแล้ว เหตุไฉนฝ่าพระบาทจะทรงให้พวกเรา
ยินยอมที่จะเห็นดีงามตามกับสิ่งที่เสื่อมสลายดังพระบรมสารีริกธาตุนี้ ที่เป็น
ดังสิ่งอัปมงคลเข้าไปเป็นมลทินยังพระราชวังอันสำคัญละหรือ?

"เคารพภูติและเทพอันศักดิ์สิทธิ์ แต่จงอยู่ให้ห่างเป็นประมาณ" ขงจื่อกล่าว
ไว้ ในอดีตมา เมื่อกฎุมพีผู้หนึ่งจะไปแสดงความเสียใจในงานศพ เขาจะส่ง
พ่อมดหมอผีไปล่วงหน้าเพื่อปัดรังควานด้วยไม้กวาดกิ่งท้อ แต่บัดนี้ฝ่าพระ
บาทได้ทรงยินยอมที่จะให้ทรากสรีระที่เสื่อมสลาย อันเป็นสิ่งมีมลทินนำมา
ทอดพระเนตรอย่างไร้เหตุผล โดยไม่มีพ่อมดหมอผีไปทำพิธีปัดเป่าเสีย
ก่อน ไม่มีการใช้ไม้กวาดกิ่งท้อเลย หากเป็นเช่นนี้แล้วไม่มีข้าราชบริพารผู้
ใดกล้ากล่าวทักท้วงฝ่าพระบาท ไม่มีเสนาบดีมนตรีใดกล้ากล่าวทัดทาน ข้า
พระองค์ละอายใจยิ่งนัก

ข้าพระองค์ขอทูลวิงวอนว่าทรงโปรดรับสั่งเจ้าพนักงานนำพระบรมสารีริกธาตุ
ไปลอยน้ำหรือปลงฌาปนกิจด้วยไฟเถิด จักเป็นการทำลายให้หมดสิ้นอย่าง
ถาวร ผู้คนรุ่นหลังจะได้ผ่อนคลายปราศจากกังขา ไพร่ฟ้าประชาราษฎร์จึง
จะได้รับรู้ทั่วกันว่านี่เป็นพระราชโองการของพระผู้เป็นปราชญ์เหนือคนทั้ง
หลายทั้งปวง ผู้คนจักได้กล่าวอุทานว่า "นี่ช่างเป็นที่สง่างามนัก! เป็นสิ่งที่
ฉลาดปราดเปรื่องถูกต้องแท้ๆ!"

ถ้าพระพุทธเจ้าจะมีอิทธิฤทธิ์ปาฏิหารย์สามารถบันดาลความวิบัติได้ ข้าพระ
องค์จะขอน้อมรับเองอย่างเต็มที่ ขอสวรรค์จงเป็นพยานด้วยเถิด ข้าพระองค์
จะไม่เสียใจและเรียกร้องขอชดเชยเลย

ด้วยความจงรักภักดีและสำนึกในพระกรุณาธิคุณ ข้าพระองค์ขอทูลเกล้า
ถวายฎีกาบันทึกนี้

พระอาญาไม่พ้นเกล้า



...............................................................................





รูปวัดฟาเหมินซื่อ (法門寺 วัดธรรมทวารา)
ที่พบพระบรมสารีริกธาตุ ที่หันยวี่กล่าวถึง





รูปเจดีย์ในวัดฟาเหมินซื่อ (法門寺 วัดธรรมทวารา)
คูหาใต้ฐานเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ






ขอนำภาษาจีนมาแปะไว้ให้เทียบ
แปลเป็นพากย์ไทยแล้วยาวขึ้นมากพอดู
เพราะต้องใช้ราชาศัพท์หลายคำ หันยวี่ไม่ได้นับถือ
พุทธศาสนา คงใช้ศัพท์สามัญ เช่นคำว่า กระดูกพระพุทธเจ้า
แต่ผู้แปลเป็นพุทธศาสนิกชน ขอใช้คำแปลตามศัพท์พุทธศาสนา
ที่คุ้นเคยซึ่งเป็นการเทิดทูนพระพุทธศาสนาไว้อย่างสูงยิ่ง
ผิดพลาดอย่างไรขอได้โปรดชี้แนะด้วยครับ




  韩愈《论佛骨表》

  臣某言:伏以佛者,夷狄之一法耳,自后汉时流人中国,上古未尝有也。昔者黄帝在位百年,年百一十岁;少昊在位八十年,年百岁;颛顼在位七十九年,年九十八岁;帝喾在位七十年,年百五岁;帝尧在位九十八年,年百一十八岁;帝舜及禹,年皆百岁。此时天下太平,百姓安乐寿考,然而中国未有佛也。其后殷汤亦年百岁,汤孙太戊在位七十五年,武丁在位五十九年,书史不言其年寿所极,推其年数,盖亦俱不减百岁。周文王年九十七岁,武王年九十三岁,穆王在位百年。此时佛法亦未人中国,非因事佛而致然也。
  汉明帝时,始有佛法,明帝在位,才十八年耳。其后乱亡相继,运祚不长。宋、齐、梁、陈、元魏已下,事佛渐谨,年代尤促。惟梁武帝在位四十八年,前后三度舍身施佛,宗庙之祭,不用牲牢,昼日一食,止于菜果,其后竞为侯景所逼,饿死台城,国亦寻灭。事佛求福,乃更得祸。由此观之,佛不足事,亦可知矣。高祖始受隋禅,则议除之。当时群臣材识不远,不能深知先王之道,古今之宜,推阐圣明,以救斯弊,其事遂止,臣常恨焉。伏维睿圣文武皇帝陛下,神圣英武,数千百年已来,未有伦比。即位之初,即不许度人为僧尼道士,又不许创立寺观。臣常以为高祖之志,必行于陛下之手,今纵未能即行,岂可恣之转令盛也?
  今闻陛下令群僧迎佛骨于凤翔,御楼以观,舁入大内,又令诸寺递迎供养。臣虽至愚,必知陛下不惑于佛,作此崇奉,以祈福祥也。直以年丰人乐,徇人之心,为京都士庶设诡异之观,戏玩之具耳。安有圣明若此,而肯信此等事哉!然百姓愚冥,易惑难晓,苟见陛下如此,将谓真心事佛,皆云:“天子大圣,犹一心敬信;百姓何人,岂合更惜身命!”焚顶烧指,百十为群,解衣散钱,自朝至暮,转相仿效,惟恐后时,老少奔波,弃其业次。若不即加禁遏,更历诸寺,必有断臂脔身以为供养者。伤风败俗,传笑四方,非细事也。
  夫佛本夷狄之人,与中国言语不通,衣服殊制;口不言先王之法言,身不服先王之法服;不知君臣之义,父子之情。假如其身至今尚在,奉其国命,来朝京师,陛下容而接之,不过宣政一见,礼宾一设,赐衣一袭,卫而出之于境,不令惑众也。况其身死已久,枯朽之骨,凶秽之馀,岂宜令入宫禁?
  孔子曰:“敬鬼神而远之。”古之诸侯,行吊于其国,尚令巫祝先以桃茹祓除不祥,然后进吊。今无故取朽秽之物,亲临观之,巫祝不先,桃茹不用,群臣不言其非,御史不举其失,臣实耻之。乞以此骨付之有司,投诸水火,永绝根本,断天下之疑,绝后代之惑。使天下之人,知大圣人之所作为,出于寻常万万也。岂不盛哉!岂不快哉!佛如有灵,能作祸祟,凡有殃咎,宜加臣身,上天鉴临,臣不怨悔。无任感激恳悃之至,谨奉表以闻。臣某诚惶诚恐。



...............................................................................



อ่านแล้วมีความเห็นยังงัยบ้างครับ?

ครูดิ่งเองต้องขอวิพากษ์และให้ข้อสังเกตว่า . . .

1. หันยวี่เป็นข้าราชสำนักประเภทอนุรักษ์นิยมและเชื่อมั่นในลัทธิขงจื่อ
ได้แสดงความมั่นคงในจุดยืนอย่างแน่วแน่เด็ดเดี่ยว

2. หันยวี่เป็นนักปกครอง แสดงความห่วงใยในบ้านเมือง ราชสำนัก และ
ประชาชน มุ่งรักษาความมั่นคงของชาติ ห่วงใยศรัทธาของราษฎรต่อจักร
พรรดิ์

3. หันยวี่เป็นนักเขียนชั้นปราชญ์ แสดงวิธีการใช้วาทะโวหาร แสดงความเห็น
แบบสร้างเหตุถึงผลและจากผลที่มาจากเหตุ ทำให้น่าเชื่อถือ

4. การเผยแพร่พุทธศาสนาสู่จีนนั้นมีอุปสรรคมากมายนับแต่โบราณกาลจน
ตราบปัจจุบัน แม้แต่ในยุคคอมมูนิสต์มีอำนาจและบอกว่า "ศาสนาคือยาเสพ
ติด" ทำไมพุทธศาสนายังคงอยู่ได้ แต่อยู่ได้อย่างไร? แค่ไหน?

5. ประเทศไทยมีคนนับถือพุทธศาสนามากมาย พุทธศาสนาในไทยจะเสื่อม
เพราะคนนอกศาสนาต่อต้าน หรือว่าเสื่อมเพราะคนไทยเองหลงผิด ดุจสนิม
เกิดแต่เนื้อในตนเอง ศาสนาพุทธเสื่อมไปตามธรรมชาติดังพุทธทำนายว่าจะ
ดำรงอยู่ได้ 5,000 ปี จริงหรือ?

6. หันยวี่เป็นนักปราชญ์ฉลาดนัก แต่ต่อต้านพุทธศาสนา ขณะที่สมัยถังเช่น
กันมีปราชญ์ราชกวีนับถือพุทธมากหลาย เช่น หวางเหวย หลิ่งจงหยวน ฯลฯ
หันยวี่ต่อต้านเพราะศึกษาพุทธอย่างลึกซึ้งหรืออย่างผิวเผิน


จะได้คำตอบ . . . คงต้องศึกษาประวัติของหันยวี่และประวัติศาสตร์ยุคถัง
ผมคิดว่าจะนำมาเล่าในภาค 2 เพราะเอ็นทรี่นี้น่าจะยาวมากแล้ว

แต่ขอสรุปให้ทราบถึงผลของการถวายฎีกานี้ครับ . . . หันยวี่เฟลครับ!

จักรพรรดิ์เซี่ยนจงทรงกริ้วจัด ถ้าเป็นงิ้วก็คงทรงอ่านแล้วตัวสั่นกระทืบพระ
บาทชี้หน้ารับสั่งให้หาตัวหันยวี่เข้าเฝ้าด่วน . . . ทรงลงโทษน่าจะถึงประหาร
หรือติดคุกหัวโต แต่ทรงระลึกถึงความดีงามที่หันยวี่เคยทำถวายมาจึงลด
โทษให้ เ น ร เ ท ศ ไปชายแดนภาคใต้สุด (เอ๊ะ! มาคล้ายประเทศสารขันธ์
เราได้งัยเนี่ย?) คือเมืองเฉาโจว (ก๊อคือเมืองแต้จิ๋ว...บ้านนอกกันดารสุดๆ
ซึ่งก็คือบ้านเมืองของบรรพชนคนจีนส่วนใหญ่ในไทยเรานั่นแหละครับ)

.

.

ที่อยากยกย่องหันยวี่มากที่สุดก็คือ ค ว า ม ก ล้ า ห า ญ

ด้วยสติปัญญาของเขาคงพอจะคาดการณ์ถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาได้

หันยวี่ไม่กลัวเกรงราชทัณฑ์ ไม่ห่วงอนาคตความก้าวหน้าในราชการของตน

แต่ยอมรักษาอุดมการณ์ที่ตนเองคิดว่าเป็น ค ว า ม ถู ก ต้ อ ง เพื่อ . . .

ผลประโยชน์ของบ้านเมือง ประเทศชาติ และประชาชน


.

.

.

จะถึงเทศกาลนักเลือกตั้งไทย . . .

พวกผู้แทนแคนดิเดทจะได้แข่งขันกันรักชาติ ประชาชน

สำแดงอาการอวดอุดมการณ์กันสนั่นเมือง

ครูดิ่งกราบพระอธิษฐาน . . .

ขอให้นักการเมืองไทย

ได้สำนึกและมีความกล้าหาญแค่ครึ่งหนึ่งของหันยวี่

กล้าทัดทานขัดขวางสิ่งผิดและความเลวร้ายทั้งปวง

เพื่อประโยชน์ของชาติ ประชาชน

โดยไม่หวั่นเกรงต่ออิทธิพลใดๆทั้งสิ้น . . . สาธุ !




..........................................................................




สำหรับเพลงไพเราะคราวนี้ขอเสนอเพลงเฉาโจว (แต้จิ๋ว)
เพลงของเมืองใต้สุดแสนกันดารที่หันยวี่ถูกเนรเทศไปงัยครับ
เพลงนี้ชื่อ ลิ่วแชเนี้ย (柳青娘) แปลว่า แม่นางหลิวเขียว
เป็นเพลงมาตรฐานที่นิยมกัน เล่นตั้งแต่เริ่มจังหวะช้า ปานกลาง
และลงท้ายแบบเร็วจี๋ คล้ายๆเพลงเถาของไทยเรา




ขอบคุณ You Tube ที่นำพาเพลงไพเราะสู่เราเสมอมา


สวัสดีครับ







เชิญอ่านต่อที่ Group Blog เดียวกัน

ประวัติหันยวี่ และพระบรมสารีริกธาตุที่หันยวี่ ภาค 2
  • Comment
    *ใช้ code html ตกแต่งข้อความได้เฉพาะสมาชิก
  • สวัสดีครับพี่ดิ่ง
    หายไปนานจังครับพี่
    โดย: panwat 23 มิถุนายน 2554 0:24:12 น.
  • ไม่เจอกันนานเลยนะครับ ยังจำโอเล่ได้ไหมครับ
    ฮ่าๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

    โดย: zerxiustor 23 มิถุนายน 2554 15:52:14 น.
  • อ่านมาตั้งแต่แรก พอมาตอนจบ หักมุมสุด ๆ เลยครับ
    โดย: tothza_one 23 มิถุนายน 2554 16:22:42 น.
  • สวัสดียามค่ำๆค่ะครูดิ่ง ข้อมูลพร้อมสมการรอคอยจริงๆค่ะ
    โดย: sawkitty 23 มิถุนายน 2554 21:30:46 น.
  • - - ปาฏิหารย์ จังเลยค่ะ
    - - เวลาเราดูรูป รูปเจดีย์ในวัดฟาเหมินซื่อ (法門寺 วัดธรรมทวารา)
    - - คูหาใต้ฐานเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ
    - - เลื่อนเมาส์ขึ้น-ลง.....ภาพจะใหญ่ขึ้น ใหญ่ขึ้น
    - - ครูดิ่ง เห็นอย่างฟาร์เห็นหรือเปล่าคะ?
    - -
    - - ขอบคุณสำหรับคำชมเชย...จากครูนะคะ
    - - ชื่นใจ กว่าโอสถใดใด ค่ะ
    - -
    - - ด้วยรักและเคารพสุดสุด ค่ะ


    ...................................
    โดย: go far far 23 มิถุนายน 2554 23:25:22 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง

    แค่เนื้อหาก็น่าสนใจมากแล้ว
    เดี๋ยวผมไปนั่งอ่านเงียบๆที่ร้านอีกครั้งครับพี่









    โดย: กะว่าก๋า 24 มิถุนายน 2554 6:40:09 น.
  • ผมมานั่งอ่านบล้อกพี่ดิ่งอย่างช้าๆครุ่นคิดตาไมปด้วย

    ผมเพิ่งอ่านการ์ตูนขงจื๊อจบไปครับ
    เคยอ่านต้นฉบับที่เป้นคำภีร์คุณธรรมแล้ว
    แต่จำเนื้อความไม่ค่อยได้ครับ

    แต่สรุปแล้ว
    แนวคิดท่านน่าจะเป็นลักษณะ "ประเพณีนิยม"

    ที่สำคัญเป็นสิ่งที่น่าฉงยไม่น้อยว่า
    ในยุคที่ท่านยังมีชีวิตอยู่นั้น
    ท่านพยายามเผยแพร่แนวคิด
    แต่กลับไม่ได้รับการยอมรับจากชนชั้นปกครองในเวลานั้น
    ไม่ว่าจะเป็นแคว้นใด
    เนื่องจากเป็นยุครณรัฐ
    ที่คนโหยหาอำนาจที่ได้มาจากการรบพุ่งมากกว่าการปกครองด้วยสันติ
    จากการสอนปรัชญา ปัญญา หรือศาสนา


    จนเมื่อท่านได้อำลาโลกนี้ไปเป็นร้อยเป็นพันปี
    แนวคิดของท่านจึงได้ถูกนำกลับมาใช้ในสังคมจีนอีกครั้ง

    แต่ที่สุดแล้วแผ่นดินจีนก็เปลี่ยนถ่ายราชวงศ์อย่างต่อเนื่อง
    จนถึงวันที่สิ้นสุดไปของระบอบจักรพรรดิ์

    วันนี้ศาสนาขงจื๊อยังอยู่
    แถมยังไปผลิบานยังนอกแผ่นดินจีนอีกด้วย


    เมื่อครั้งที่ผมไปอินเดีย
    ผมคาดหวังเล็กๆว่า
    จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ในร่องรอยประวัติศาสตร์
    ของความเป็นพุทธศาสนา
    ซึ่งศาสดาของเราได้ถือกำเนิด เผยแพร่ธรรมที่ดินแดนแห่งนี้

    แต่สิ่งที่ไ่ด้พบมีเพียงซากกองอิฐกองดินเล็กๆ
    ที่หากไม่ปักป้ายไว้
    เราคงไม่ทราบว่าสถานที่แห่งนี้เคยเป็นแผ่นดินที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ทางพุทธศาสนามาก่อน

    เมื่อผมได้พูดคุยกับไกด์ชาวอินเดีย
    เขาบอกว่าแม้ในอดีตศาสนาพุทธยุคที่รุ่งเรืองที่สุด
    ก็ไม่ได้เข้ามาทดแทนศาสนาหรือความเชื่อเดิมที่อินเดียเคยมี
    คือระบบพรามห์และศาสนาฮินดู

    การที่เราคิดไปเองว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ดีที่สุดในโลก
    หรือคิดไปว่าพระพุทธเจ้าเป็นศาสดาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก
    นั่นอาจเป็นการตีความไปตามความเข้าใจ ความรู้สึก
    และความเชื่อของเราเอง


    ปัจจุบันคนอินเดียที่นับถือศาสนาพุทธมีไม่ถึง 1 เปอร์เซนต์จากจำนวนประชากรที่นับถือศาสนาทั้งหมด


    ท่านหันยวี่ในทัศนะของผม
    จึงเป็นนักปกครองที่ซื่อตรงต่อ "ระบบ" และ "ระบอบ" ดั้งเดิมที่ตนเคยเชื่อมั่นยึดถือ
    สิ่งที่น่ากลัวคือพอเรา "ยึดมั่นถือมั่น " ในระบบระบอบใดสักอย่าง
    แล้วเชื่อมั่นอย่างฝังจิตฝังใจว่า
    ระบบระบอบนั้นดีที่สุด
    ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นอื่นใดได้เลย

    ท่านจึงยืนยันว่าศาสนาพุทธเป็นอันตรายต่อระบบระบอบในขณะนั้น

    แทนที่จะมองว่าในเนือ้หาสาระของศาสนาพุทธนั้น
    แท้จริงแล้วแทบมิได้มีสิ่งใดแตกต่างไปจากคำสอนของขงจื๊อ
    เต๋า หรือแม้ศาสนาอื่นๆที่มีอยู่เลย


    ถ้าหากว่าท่านหันยวี่ได้มีโอกาสศึกษาธรรมะอย่างลึกซึ้ง
    ท่านจะมองข้ามชื่อเรียกขานในนามศาสนาทั้งหมด
    แต่จะมองเห็น "ธรรมมะ" ที่แท้ที่
    ....ธรรมซึ่งมีหนึ่งเดียว

    หากธรรมนั้นเป็นธรรมที่ถูกต้องดีงาม
    ย่อมนำมาใช้บริหารปกครองบ้านเมืองให้ร่มเย็นเป็นสุขได้โดยง่าย

    ถ้อยคำฏีกาของท่านจึงแฝงไปด้วยความห่วงใยในบ้านเมือง
    แต่ขณะเดียวกันก็สะท้อนถึงการไม่ยอมรับปรับเปลี่ยนแนวคิดให้สอดคล้องกับยุคสมัย

    ไม่ต่างอะไรกับการเมืองในบ้านเราขณะนี้
    ที่ยังคงเลือกที่จะ "ย่ำอยู่กับที่" หรือ "ก้าวเดินไปข้างหน้า"
    การเมืองของเราจึงมีเพียง "ผู้กุมอำนาจ" และ "ผู้สูญเสียอำนาจ"
    เราจึงมีเพียง "ชนชั้นไพร่" หรือ "ชนชั้นอำมาตย์"
    แล้วก็ช่วงชิงอำนาจกัน
    โดยไม่เห็นหัวประชาชนเลย



    โดย: กะว่าก๋า 24 มิถุนายน 2554 11:27:05 น.
  • คงต้องรออ่านภาค 2 ถึงจะเข้าใจว่าทำไมหันยวี่ถึงได้ตัดสินใจทำอย่างนั้น ในฐานะปราชญ์ หันยวี่น่าจะเดาได้ถึงผลที่จะตามมาอย่างท่านพี่ว่า แต่การที่กล้าทำเช่นนั้นย่อมน่าจะมีอิทธิพลอื่นมีส่วนหนุน

    หากหันยวี่เองไม่ศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจัง(ซึ่งดูคล้ายๆ เช่นนั้น จากเหตุผลแปลกๆ ที่เขายกมาในฎีกา) การที่เขากล้าเขียนเช่นนี้จะเป็นเพราะความยึดมั่นถือมั่นใน"ประเพณีนิยม"เท่านั้นหรอกหรือ?

    ข้อนี้ท่านพี่คงตอบได้ดีกว่า...เพราะกระผมเองก็มีความรู้เรื่องลัทธิขงจื๊อน้อย..ถึงน้อยมากที่ซู้ดดด

    การที่พุทธศาสนาเสื่อมความนิยมง่ายดายกว่าศาสนาอื่น เพราะตัวเนื้อหาด้วยส่วนหนึ่ง เพราะพุทธศาสนาไม่ได้มีกฏข้อบังคับห้ามโน่นนี่นั่นให้คนนับถือกลัวแบบศาสนาอื่น แล้วไม่เคยห้ามให้ใครไปศึกษาศาสนาอื่น เน้นการพ้นทุกข์ด้วยตัวเอง ไม่ต้องไปพึ่งพระเจ้าหรือเทวดาอารักษ์ที่ไหน

    โอกาสที่จะโดนกลืนจากความแร้งส์ส์ของศาสนาอื่นย่อมเป็นธรรมดาโลก

    ดูแต่ลัทธิคลั่งสียุคนี้สิขอรับ แทบจะเป็นศาสนาใหม่ขึ้นมาแล้ว เป็นลัทธิที่บังเกิดขึ้นด้วยเหตุแห่งวัตถุทั้งนั้น ธรรมะของพุทธศาสนาดูจะช่วยอะไรไม่ได้ แล้วปรากฏการณ์เหล่านี้ถ้ามองย้อนไป มันล้วนบังเกิดขึ้นเป็น Circle เหมือนเมื่อเป็นร้อยปีที่ผ่านมายุคกรุงศรีอยุธยาแตก มันจะบอกอะไรได้ไหมขอรับ? หรือว่า คนไทยถูกสาปให้เป็นเช่นนี้มาแต่ไหนแต่ไร? (อุ๊ย..ชักใกล้หันยวี่เข้าไปทุกที)

    เมืองไทยนี่ก็แปลก มีพระอริยสงฆ์มาบังเกิดก็ไม่น้อย แต่ก็มีพญามารตามมาเกิดไล่ๆ กันชนิดไม่ให้ขาดช่วง
    โดย: น้องหมี (Bkkbear ) 24 มิถุนายน 2554 15:09:32 น.

  • มาเยี่ยมชม มาทักทายครับ

    ผมพยายามอ่านแล้วเรื่องราวเยอะมาก ๆ เลยครับ เลยดูดูแต่ภาพกับคลิปอย่างเดียวครับ

    อิอิ
    โดย: อาคุงกล่อง 24 มิถุนายน 2554 18:02:29 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง

    คำถามของพี่หมีน่าสนใจมากครับ
    ทำไมมีพระอริยสงฆ์แล้วจึงมีพญามาร

    เช้านี้เข้ามาโหวตให้พี่ดิ่งในสาขางานเขียน

    เมื่อวานผมได้เล่าเนื้อหาในบล็อกพี่
    ให้กับอาแปะของผมฟังด้วยครับ









    โดย: กะว่าก๋า 25 มิถุนายน 2554 6:28:21 น.
  • อืมม์ อ่านแล้ว คิดแล้วไม่อยากจะเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ปัจุบันในไทยเลยครับ




    โดย: Polarbee 25 มิถุนายน 2554 13:32:35 น.
  • สวัสดีค่ะครูดิ่ง

    ถ้าไม่อ่านบล็อคของครูดิ่งก็คงไม่รู้จักฎีกาของท่านหันยวี่ อ่านแล้วรู้สึกว่าท่านไม่ค่อยเปิดใจเท่าไหร่ การที่เห็นว่าพระชนมายุขององค์ฮ่องเต้ลดน้อยลงแล้วกล่าวโทษศาสนาพุทธ เป็นเรื่องที่ไม่ถูกนัก อาจเป็นเพราะท่านไม่ได้ศึกษาศาสนาพุทธอย่างลึกซึ้ง แต่ก็ต้องนับว่าท่านเป็นผู้ที่กล้าหาญและยึดมั่นในสิ่งที่ตัวเองเชื่อมั่นมาก

    ต้องขอบคุณครูดิ่งมากที่เขียนบล็อคดี ๆ ให้ความรู้แบบนี้ออกมา สำนวนแปลเยี่ยมยุทธ์สุด ๆ เลยค่ะ

    อ้อ ขอบคุณล่วงหน้าสำหรับคำแปลบทกวีของท่านตู้ฝู่นะคะ ค่อย ๆ แปลไปเรื่อย ๆ เสร็จเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น รออ่านได้ค่า
    โดย: haiku 25 มิถุนายน 2554 21:31:38 น.
  • อาแปะไม่ไ่ด้อ่านบล้อกพี่ดิ่งครับ
    สายตาท่านไม่ดี กำลังต้องผ่าตัดตา
    แต่ฟังจากที่ผมเล่าให้ฟัง
    แล้วเราก็ถกกันถึงสภาวะบ้านเมืองในปัจจุับันของไทยนี่ล่ะครับพี่ดิ่ง 555


    มันมีความคล้ายคลึงกันหลายจุด
    โดยเฉพาะเ้รื่องของการยึดมั่นในหลักการ
    จนเสียหายในหลักปกครองน่ะครับ




    โดย: กะว่าก๋า 25 มิถุนายน 2554 23:10:17 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง









    โดย: กะว่าก๋า 26 มิถุนายน 2554 5:57:07 น.
  • มารอภาค 2 ครับ เห็นไป ment ใน blog ผมว่า ภาค 2 มาแล้ว จะตามมาอ่านทุกภาคเลยครับ

    สาธุครับ
    โดย: tothza_one 26 มิถุนายน 2554 12:50:58 น.


  • สวัสดียามค่ำครับท่านอาจารย์ดิ่ง
    โดย: panwat 26 มิถุนายน 2554 22:00:52 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง

    เมื่อวานรัตนะ
    วันนี้ปัทมะครับ









    โดย: กะว่าก๋า 27 มิถุนายน 2554 5:25:19 น.
  • ง่ะ.. แอบมาอัพตั้งกะเมื่อไหร่ ไหงคุณน้องไม่เห็น?
    อ้อ..คุณน้องมัวเมามันละครอยู่นั่นเอง

    หวัดดีค่ะคุณพรี่..(ช้าไปไหมนี่? อิอิ)

    ไม่กล้าีชี้แนะค่ะ เพราะภาษาจีนกระดิกซะที่ไหน กระดิกได้ชัดเจนอยู่ภาษาเดียวคือภาษาไทยค่ะ นอกนั้นก็งูๆปลาๆไปตามเรื่อง ให้แปลเป็นเรื่องเป็นราวน่าอ่านอย่างครูดิ่งนี่ ไม่มีปัญญา

    อ่านแล้วท่านหันยวี่เป็นคนมีเหตุผลตามแนวความคิดของท่าน กล้าคิดและพูดออกมาในสิ่งที่ตัวคิด นึกถึงภาพกระทืบพระบาทก้องพระโรงที่พี่ดิ่งพูดเลยค่ะ

    ภาวนาขอให้การเมืองไทยเป็นไปในทางที่ดีอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันเหมือนกันค่ะ

    เห็นแว้บๆว่ามีภาคสองต่อ ชะแว้บบ ไปอ่านดีกว่า..
    โดย: ป้าโซ 27 มิถุนายน 2554 15:23:12 น.
  • สวัสดีค่ะครูดิ่ง แวะมาชวนไปชมภาพวาดโป๊ยเซียนค่ะ เคยบอกว่าซื้อหนังสือภาพวาดจีนจากนิทรรศการหนังสือได้หลายเล่ม เพิ่งจะมีเวลาสแกนภาพ อัพบล็อคใหม่ไปตะกี้นี้เองค่ะ
    โดย: haiku 27 มิถุนายน 2554 23:04:33 น.
  • นึกเป็นห่วงอยู่ค่ะ
    เห็นคุณดิ่งห่างหายไปจากบล็อคศิลปะ นึกว่าป่วยฤา
    แต่เห็นอัพบล็อคนี้ก็ไคแน
    รักษาสุขภาพนะคะลุง
    โดย: buraneemeo 27 มิถุนายน 2554 23:26:12 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง









    โดย: กะว่าก๋า 28 มิถุนายน 2554 6:21:20 น.
  • ผมว่าตอนนี้ประเทศไทยเราเจอ "กรรมะ" แบบรวมหมู่เลยครับพี่ดิ่ง
    แค่เรื่องเขมรว่าแย่แล้ว
    ตอนนี้น้ำท่วมซ้ำเข้าไปอีก
    ครั้งทีแ่ล้วรัฐบาลเต็มตัวยังช่วยล่าช้ามากๆ
    นี่อยู่ในภาวะสุญญกาศ
    ไม่รู้พี่น้องทางเหนือจะหวังพึ่งใครได้แล้วล่ะครับ



    โดย: กะว่าก๋า 28 มิถุนายน 2554 21:11:24 น.

  • """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""

    คุณพันฯ
    =ผมหายหน้าไปนานเพราะงานแยะครับ
    มีเวลาราว 1 สัปดาห๋เดี๋ยวก็งานเข้าต่ออีกแล้ว


    คุณโอเล่ zerxiustor
    =จำได้เสมอครับ ต่างคนต่างยุ่งนะครับ


    คุณทศซ่า tothza_one
    =ยินดีรู้จักนักปฏิบัติธรรมครับ มาทักทายกันบ่อยๆนะครับ


    คุณสาว
    =หายหน้าไปนานเลยเขียนซะยาว 2 เอ็นทรี่ซ้อนเรย


    คุณ go far far
    =ผมสังเกตเห็นปาฏิหารย์แล้ว
    เป็นปาฏิหารย์ของแสง+สายตา ... เป็น "มายา"
    ไม่ใช่ "มารยา" นะครับ


    คุณน้องก๋า
    =ขอบคุณที่เม้นท์ยาวได้ใจ แสดงว่าน้องก๋าตั้งใจอ่านจริงๆ
    มนุษย์เราล้วนมีซีกมืดซีกสว่าง เหมือนมีดีๆชั่วๆปนกันอยู่
    เราเกิดทีหลังก็มาศึกษาไว้เป็นตัวอย่างละกัน
    พระพุทธเจ้าสอนไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น . . . ก็ ล ะ ว า ง เสีย
    ถ้าไปยึดมั่นแบบคนไทยส่วนหนึ่งที่บ้าสี . . . ก็ตีกันเละ
    ผมว่าถ้าละวางกันได้ แล้ว ตั ด สิ น กันด้วย ปั ญ ญ า
    รู้จัก ผิ ด - ช อ บ - ชั่ ว - ดี
    แค่นี้เมืองไทยเราคงน่าอยู่กว่านี้แยะเลยนะ

    อ้อ เรื่องน้ำท่วมทางเหนือ...ผมเห็นว่าที่นายกฯทั้งสอง
    ริบเร่งขึ้นไปแข่งกันโชว์จะช่วยเหลือแล้วไม่ใช่เหรอครับ?


    น้องหมีบางกอก
    =หันยวี่เป็นพวก Neo-Confucianism (ลัทธิขงจื่อใหม่)
    ยึดมั่นในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคล จักรพรรดิ์-ขุนนาง,
    ขุนนาง-ราษฎร, บิดา-บุตร, ครู-ศิษย์ ฯลฯ โดยมีระบบ
    "จริยธรรม" กำกับหนักแน่น
    วงจรบ้านเมืองเราแม้มีอริยสงฆ์มาบังเกิด แต่ก็ไม่พ้น
    ความเป็น "อนิจจัง"
    ส่วนพญามารนั้นมีความสำคัญเพราะ "มารไม่มีบารมีบ่เกิด"
    ฉะนี้แล ครับน้องหมี


    คุณอาคุงกล่อง
    = 5555 ผมเขียนยาวไปเอง ขี้เกียจอ่านก็ข้ามๆไป ไม่ว่ากาน


    คุณ Polarbee
    =มนุษย์อุจจาระเหม็นยุคไหนๆก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก


    คุณไฮกุ
    =อ่านเล่นๆพอให้ได้ความคิดคนโบราณเนาะ
    หันยวี่มีการเล่นภาษาแบบวิภาษวิธี กล้าที่จะเอาคอพาดดาบ
    ผมคิดถึงคนขวานผ่าซากที่ร่วมสมัยคือ อาจารย์ ส. ศิวรักษ์ งัยครับ

    คุณไฮกุเขียนถึงแปดเซียนพอดี เลยอยากเล่าถึงเซียนนาม
    "หันเซียงจื่อ" ซึ่งเป็นหลานชายและเป็นลูกศิษย์ของหันยวี่
    เซียงจื่อไปเรียนวิชาเต๋ากับลื่อตงปิน และเคยพยายามชวน
    หันยวี่ลาออกจากราชการเพื่อไปเรียนเต๋า เซียงจื่อสำแดง
    ปาฏิหารย์เสกเหล้าให้ไหลออกจากน้ำเต้ารินใส่ถ้วยไม่หยุด

    เขาเคยพยาการณ์ชีวิตให้หันยวี่ว่า
    "เมฆาบดบังเขาฉินหลิ่ง
    ท่านจะไปไหนเล่า?
    หิมะหนาที่หลันกวาน
    ม้าไม่ยอมวิ่งไปข้างหน้า"
    ไม่นานหลังจากนั้นหันยวี่ก็ถูกเนรเทศไปกวางตุ้ง ขณะเดิน
    ทางมาถึงหลันกวานจึงพบว่าหิมะตกหนักจนม้าก้าวขาไม่ออก

    เซียงจื่อมาปรากฏกายช่วยกวาดหิมะ หันยวี่จึงเดินทางต่อไปได้
    ก่อนกลับเซียงจื่อแต่งกลอนทำนายอีกว่า
    "ที่ผ่านมามีคนมากมายรับใช้ชาติ
    มีใครบ้างเล่าที่เก่งเกินท่าน(หันยวี่)ในทางวรรณกรรม
    ท่านไต่เต้ามาตำแหน่งสูงจนปานนี้
    จะถูกฝังร่างไว้ที่ดินแดนอันแฉะชื้นและหมอกคลุ้ม"

    หันยวี่แต่งกลอนอำลาหลานชายด้วยว่า
    "คนทั้งหลายล้วนมัวเมาในเกียรติและเงินทอง
    จงรักษาตนให้อยู่ในวิถีอันประเสริฐเถิด
    ถึงเวลาก็จงเหาะเหิรโบยบินไปในนภากาศ
    แล้จะเห็นทางเปิดสู่จักรวาลสีครามอันมลังมเลือง"

    หันยวี่ซึมเศร้าเมื่อนึกถึงสถานที่ชื้นแฉะที่ถูกเนรเทศไป พลางว่า
    "ข้าเกรงจะถึงแก่ชีวิตโดยไม่ได้พบหน้าครอบครัวอีกแน่ๆ"

    เซียงจื่อจึงปลอบว่า
    "เอาหนังสือนี้ไป (คงเป็นยันต์) ท่าจะได้กลับมาอย่างมีสุขภาพดี
    กลับคืนสู่อ้อมอกของครอบครัว ยังจะได้ตำแหน่งเดิมด้วย"

    และทุกอย่างก็เป็นไปตามคำพยากรณ์ของท่านเซียนนาม "หันเซียงจื่อ"

    เอาแค่นี้ก่อนนะครับ


    คุณน้องป้าโซ
    =ไม่ช้าไปหรอกครับ พี่ดิ่งรออยู่ว่าจะตอบเม้นท์ตอนเพื่อนๆ
    มาพร้อมหน้าพร้อมตาแล้ว
    เอ้า! พวกเราช่วยๆกันภาวนาให้การเมืองไทยพ้นทางตันเสียที
    โอมมมม เพี้ยง!


    คุณ buraneemeo
    =ขอบคุณหลายๆที่เป็นห่วง ยังซำบายดีอยู่ครับ ขอบคุณ


    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
    """""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""""
    โดย: Dingtech 28 มิถุนายน 2554 22:38:02 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง


    อ่านเม้นท์พี่ดิ่ง
    ได้ความรู้เพิ่มขึ้นอีก

    เมื่อก่อนคนจีนเค้าอยากเป็นเซียนนะครับ

    เซียนคือผู้วิเศษ คือผู้ที่มีคนเคารพ

    ในความรู้สึกของผม
    เป็นลักษณะ "อำนาจนิยม" อีกแบบหนึ่งที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรมจีน
    คืออยากเป็นคนสำคัญและมีคนยกย่องนะครับ









    โดย: กะว่าก๋า 29 มิถุนายน 2554 6:18:00 น.
  • สวัสดีค่ะ

    ครูดิ่งเล่าเรื่องราวของท่านเซียงจื่อและท่านหันยวี่ได้สนุกดีจัง ฟังเพลินแถมได้ความรู้ด้วย ท่านเซียงจื่อเป็นลูกศิษย์ที่ดี มีความกตัญญูมากเลยนะคะ เป็นเซียนแล้วก็พยายามชักนำครูไปในทางที่ประเสิรฐ

    ไปหาข้อมูลมาตอบเม้นท์ของคุณอร เจอคนเขียนถึงโป๊ยเซียน บอกว่าโป๊ยเซียนก็คือพรหมแปดองค์ เทียบกับมรรคมีองค์แปด แล้วยังบอกว่าเซียนทั้งแปดองค์จุติลงมาเกิดเป็นคนไทยทั้งหมด จะมาช่วยจรรโลงพุทธศาสนาให้ยืนยาวถึงห้าพันปีได้ ไม่รู้ว่าเป็นจริงแค่ไหน

    เข้าบล็อคครูดิ่งแล้วนึกถึงสุภาษิต "คบบัณฑิต บัณฑิตพาไปหาผล" จริง ๆ ค่ะ ขอบคุณมากนะคะ
    โดย: haiku 29 มิถุนายน 2554 14:49:39 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง








    โดย: กะว่าก๋า 1 กรกฎาคม 2554 6:23:06 น.
  • แถวบ้านผมหัวละ 500 ครับ
    ย้ำว่าทุกพรรคนะครับ 555

    แล้วดันมาเว้นบ้านผมที่ไม่จ่าย
    ไม่รู้ทำไมเหมือนกันครับพี่ 555
    ขนาดบ้านผมมีตั้ง 7 เสียงนะครับ




    ถ้าให้ก็เอาครับ
    แต่ไม่เลือกแน่นอน 5555



    โดย: กะว่าก๋า 1 กรกฎาคม 2554 21:38:45 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง











    โดย: กะว่าก๋า 2 กรกฎาคม 2554 6:44:57 น.


  • สวัสดีครับพี่ดิ่ง
    โดย: panwat 2 กรกฎาคม 2554 8:25:01 น.
  • สวัสดียามค่ำค่ะครูดิ่ง ทางใต้ฝนตก ทางโน้นเป็นยังไงบ้าง รักษาสุขภาพนะคะ
    โดย: sawkitty 2 กรกฎาคม 2554 20:13:29 น.
  • พรุ่งนี้ผมไม่พลาดไปใช้สิทธิ์แน่นอนครับพี่ดิ่ง อิอิิอิ



    โดย: กะว่าก๋า 2 กรกฎาคม 2554 22:48:22 น.
  • สวัสดีค่า

    ช่วงนี้ฝนตกหนักทุกวันเลย ครูดิ่งระวังเป็นหวัดนะคะ แล้วอย่าลืมไปเลือกตั้งด้วยน้า
    โดย: haiku 2 กรกฎาคม 2554 22:48:39 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง











    โดย: กะว่าก๋า 3 กรกฎาคม 2554 6:05:14 น.


  • 3 กรกฎาคม 2554

    เพียง 1 เสียงก็มีความหมาย
    อนาคตของประเทศไทยอยู่ในมือเรา

    ไปทำหน้าที่ประชาชนที่ดีกันนะคะ
    ..............................

    สบายดีนะคะคุณดิ่ง



    โดย: ร่มไม้เย็น 3 กรกฎาคม 2554 14:35:17 น.
  • หวังไว้ลึกๆว่าคงจะมีอะไรที่เปลี่ยนแปลงบ้าง
    ผมเน้นแค่ด้านท่องเท่ยวครับพี่ดิ่ง
    เพราะมีผลกระทบโดยตรงกับร้านของตัวเอง
    อย่าให้พรรคชาติไทยกลับมาดูแลเลย
    เพราะครั้งที่แล้วต้องยอมรับว่าแย่จริงๆครับสำหรับผลงาน

    ส่วนด้านอื่นๆก็ขอรอดูตัวรัฐมนตรีก่อน
    ต่างประเทศและการศึกษาก็สำคัญไม่น้อย

    ก็ต้องยอมรับผลการลงคะแนน
    ทีเ่หลือก็รอลุ้นครับพี่ดิ่ง
    ว่าจะผ่านด่าน กกต. กับ ทหารหรือไม่นะครับ



    โดย: กะว่าก๋า 3 กรกฎาคม 2554 21:03:24 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง









    โดย: กะว่าก๋า 4 กรกฎาคม 2554 7:40:08 น.
  • อรุณสวัสดิ์ครับพี่ดิ่ง









    โดย: กะว่าก๋า 5 กรกฎาคม 2554 6:26:27 น.
  • ที่สำคัญกว่าคือ "ผู้เรียน" จะเก็บเกี่ยวอะรัยได้นอกตำราและเล็คเช่อร์

    .
    .


    เห็นด้วยเต็มๆครับพี่ดิ่ง

    และยิ่งเห็นด้วยกับประโยคนี้ของพี่

    .
    .
    .


    มหาวิทยาลัย คือ ก า ร เ รี ย น รู้ ต ล อ ด ชี วิ ต




    โดย: กะว่าก๋า 5 กรกฎาคม 2554 8:22:00 น.
  • เป็น blog เกี่ยวกับ ภาษาจีน และการ แปลภาษาจีน ที่ดีจริงๆครับ
    โดย: คุณ โตน 11 กรกฎาคม 2554 10:40:30 น.
  • หวัดดียามบ่ายสว.ค่ะคุณพรี่(คำว่าแกร่..ไม่สุภาพพพพ)


    ไต้ฝุ่นผ่านที่นี่ไปอย่างฉิวเฉียด ทำให้อากาศจากที่ร้อนๆกลับมาเย็นลงโดยเฉพาะช่วงเช้าๆกับค่ำๆจะคล้ายฤดูใบไม้ร่วงมาก แต่กลางวันเจอแดดก็สลดเหมือนเคยค่ะ

    ดีที่ไต้ฝุ่นลูกนี้ไม่เข้าจังๆ เพราะรุนแรงเอาการ ขนาดชะแ้ว้บผ่านลมยังกราดเกรี้ยวต้องดึงมู่ลี่อลูมิเนียมลงมาปิดหน้าต่างกระจกชั้นสองเพราะจะเจอลมแรงกว่าชั้นล่าง สมัยป้าโซมาอยู่ใหม่ๆ เจอฤทธิ์ไต้ฝุ่นเข้าแต่ละทีให้อกสั่นขวัญหาย เพราะหลังคาแทบจะเปิง ข้าวของข้างนอกระเนระนาดหมด เกิดมาจากท้องผ่อท้องแหม่ไม่เคยเจ๊ออออ.. ยังเงี้ย มาอยู่ๆไปก็ชักชิน เย้ยยย ไม่มีอะไร้.. มุดหัวอยู่แต่ในบ้าน ไม่ใช่เก่งหรอกนะคะ

    จะมาถามยารักษาโรคห่วงลูก คิดถึงลูกจากรุ่นพี่ผู้ประสบการณ์มากหลายน่ะค่ะ ว่าทำใจยังไงตอนที่ลูกต้องออกจากอกไปเรียนไกลๆ นี่ยังไม่ได้ที่เรียนที่แน่นอนป้าโซก็คิดถึงล่วงหน้าไว้ก่อนแล้ว คิดถึงลูกง่ะ แง้..
    โดย: ป้าโซ 23 กรกฎาคม 2554 15:16:03 น.