bloggang.com mainmenu search
กรุงโรมมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจมากมาย และสถานที่ที่นักท่องเที่ยวจะต้องไม่พลาดไปชม ก็คือ โคลอสเซียม น้ำพุเทรวี และบันไดสเปน ผมและคณะมีโอกาสไปชมในภาคบ่ายของวันที่อยู่กรุงโรมเต็มวัน ขอนำมาเล่าให้ฟังรวมกันในตอนนี้ครับ




สิ่งที่น่าสนใจทั้ง 3 อย่างนี้ ตั้งอยู่ไม่ไกลกันนักตามแผนที่ท่องเที่ยวด้านล่าง ผมจะเล่าไปตามลำดับหมายเลข คือ 1 โคลอสเซียม, 2 น้ำพุเทรวี และ 3 บันไดสเปน




โคลอสเซียม (Colosseo หรือ Coliseum) มีชื่อเต็มว่า Flavian Amplitheatre เป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดที่ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยอาณาจักรโรมัน เป็นงานที่แสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ทางด้านการออกแบบ สถาปัตยกรรม และวิศวกรรม

อาณาจักรโรมันสร้างสนามกีฬาไว้หลายแห่งด้วยกัน อาจจะกล่าวได้ว่า เกือบทุกแห่งที่อาณาจักรโรมันแผ่อิทธิพลไปถึงก็ว่าได้ แม้แต่ในกรุงโรมเองก็มีอยู่หลายแห่ง แต่สนามกีฬาโคลอสเซียมแห่งนี้นับว่ายิ่งใหญ่ที่สุด ถูกสร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 70-72 สมัยจักรพรรดิ Vespasian สำเร็จบริบูรณ์ในปี ค.ศ. 80 สมัย Titus และได้รับการปรับปรุงเพิ่มเติมในสมัยของ Domitian สามารถบรรจุผู้ชมได้ 50,000 คน ใช้เพื่อชมการแข่งขันการต่อสู้ของนักสู้ซึ่งรู้จักกันในนามของ Gladiators และชมการแสดงต่าง ๆ ถูกใช้งานเป็นเวลานานถึง 500 ปี

นอกเหนือจากการชมการต่อสู้ของนักรบแล้ว การแสดงอื่น ๆ ที่น่าสนใจก็มี เช่น การแสดงการต่อสู้ทางทะเล ชาวโรมันสามารถปรับเปลี่ยนสนามกีฬาให้เป็นสมรภูมิทางทะเลได้อย่างน่าอัศจรรย์ทีเดียว ทั้งนี้ ก็มาจากการออกแบบโครงสร้าง ระบบท่อส่งน้ำและระบบน้ำของชาวโรมันนั่นเอง นอกจากนี้ยังใช้เป็นที่ประหารชีวิตนักโทษ ทั้งนักโทษการเมือง นักโทษจากการทำสงคราม และนักโทษทางศาสนา

ปัจจุบัน สนามกีฬาแห่งนี้เป็นสัญลักษณ์แห่งความเจริญของอาณาจักรโรมัน และได้รับการยกย่องให้เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ของโลกด้วย


เข้ามาถึงบริเวณโคลอสเซียมแล้ว ด้านซ้ายมือคือประตูชัยคอนสแตนติน




ประตูชัยคอนสแตนติน (Arch of Constantine) ต้นแบบประตูชัยที่พบเห็นในเมืองใหญ่ ๆ ทั่วยุโรป ประตูชัยแห่งนี้มีขนาดใหญ่และสภาพสมบูรณ์ที่สุดในกรุงโรม สร้างขึ้นเพื่อฉลองชัยชนะของจักรพรรดิคอนสแตนตินที่ 1 ที่มีชัยชนะเหนือ Maxentius ในสงคราม Milvian Bridge




เข้ามาใกล้โคลอสเซียมมากแล้ว ไม่สามารถถ่ายเฟรมเดียวเก็บภาพได้ทั้งหมด จึงแบ่งออกเป็นสามภาพ ภาพนี้คือภาพแรก




ภาพนี้เป็นภาพที่สอง




และนี่คือภาพที่สาม




แล้วนำมารวมกันในลักษณะพาโนรามา ได้ภาพที่สวยงามดังภาพนี้ครับ (คลิกที่ภาพจะขยายเต็มจอ)




เมื่อเข้าไปภายใน นักท่องเที่ยวทั่วไปจะต้องต่อแถวยาวมาก(ขวามือ) สำหรับกลุ่มทัวร์ที่ไปกับไกด์ท้องถิ่นจะเข้าทาง Fast track (ซ้ายมือ) ทำให้ประหยัดเวลาได้มาก




เข้าไปได้แล้วไกด์ก็พาขึ้นบันไดไปชั้นสอง ไกด์แนะนำประวัติความเป็นมาของห้องต่าง ๆ ในโคลอสเซียมให้ฟัง




ลักษณะของหัวเสา เป็นหินอ่อนแกะสลักที่เคยติดอยู่ปลายเสาแบบโรมันในโคลอสเซียม นำมาจัดแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชมถึงความยิ่งใหญ่อลังการในอดีต




เดินเข้าไปชมบริเวณตรงกลางสนาม มีนักท่องเที่ยวกำลังถ่ายภาพเป็นจำนวนมาก




มองลงไปด้านล่างจะมองเห็นสภาพของสนามในโคลอสเซียมเป็นรูปวงรี ประกอบด้วยห้องต่าง ๆ สำหรับเก็บหรือพัก Gladiator และสัตว์ร้ายที่ใช้ในการต่อสู้ ลานต่อสู้จริง ๆ อยู่ด้านบน ปัจจุบันเหลืออยู่เพียงส่วนหนึ่ง เปิดออกเพื่อให้มองเห็นสภาพด้านล่าง




ดูความยิ่งใหญ่อลังการของโคลอสเซียมจากภาพแบบพาโนรามา เป็นภาพสุดท้ายครับ (คลิกที่ภาพจะขยายเต็มจอ)




ใครที่เคยไปเที่ยวกรุงโรมมักจะติดใจจนอยากไปอีก จึงต้องไปยังสถานที่ท่องเที่ยวแห่งหนึ่งที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้อธิษฐานเพื่อให้ได้กลับมากรุงโรมอีกครั้ง นั่นก็คือน้ำพุเทรวี



ที่น้ำพุเทรวี (Trevi Fountain หรือ Fontana di Trevi) มีตำนานที่เล่าขานสืบต่อกันมา ถึงการจะได้กลับมากรุงโรมอีกครั้งหนึ่ง เป็น 3 ตำนาน ดังนี้

ตำนานเรื่องแรก เล่าว่า ผู้ที่โยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในน้ำพุเทรวี จะได้กลับมา กรุงโรมอีกครั้ง แต่หากโยน 2 เหรียญจะพบคู่ครองและได้แต่งงาน แต่ถ้าใครอยากจะหย่าร้างกับคู่ครอง ให้โยน 3 เหรียญ พูดง่าย ๆ ก็คือ ใครอยากจะหย่าร้างกับคู่ครอง ก็ต้องลงทุนมากหน่อย

ตำนานเรื่องที่สอง เล่าว่า ผู้ที่โยนเหรียญ 1 เหรียญลงไปในน้ำพุเทรวี จะได้กลับ มากรุงโรมอีกครั้ง แต่ใครที่ปรารถนาจะได้โชคลาภ ก็ต้องโยนเหรียญ 3 เหรียญด้วยมือขวา โดยโยนผ่านไหล่ซ้ายของตน วิธีเดียวที่ทำเช่นนี้ได้ จึงต้องหันหลังให้กับ “น้ำพุเทรวี” เพราะเหตุนี้ ปัจจุบัน ใคร ๆ ที่โยนเหรียญก็มักจะหันหลังให้กับน้ำพุ ที่จริงก็ไม่จำเป็นนัก แต่ก็สนุกดีเหมือนกัน เพราะเวลาที่เราหันหลังโยนเหรียญ จะทำให้เราถ่ายรูปได้สวย และสามารถมองเห็นทั้งหน้าเราและก็น้ำพุด้วย และก็มีหลักฐานว่า เราได้ไปโยนเหรียญที่น้ำพุแห่งนี้มาแล้วด้วย

ตำนานเรื่องที่สาม เป็นตำนานที่เล่าอยู่ในหลักสูตรและในตำราเรียนของอิตาเลียน เล่าว่าผู้ใดปรารถนาจะพบกับรักแท้ รักเดียวใจเดียว ให้โยนเหรียญ 1 เหรียญผู้ใดปรารถนาจะได้โชคลาภให้โยนเหรียญ 2 เหรียญ เลข 2 มีความหมายเท่ากับทวีคูณ ผู้ใดปรารถนาจะกลับมาที่กรุงโรมอีกครั้ง ก็ให้โยนเหรียญ 3 เหรียญ เลข 3 มีความหมายถึงนิรันดรกาล ความหมายนี้อาจจะมาจากความหมายในความเชื่อทางศาสนาคริสต์ด้วย



มีการประมาณกันว่า แต่ละวันมีผู้โยนเหรียญลงในน้ำพุเฉลี่ยแล้ววันละ 3,000 ยูโร เหรียญเหล่านี้จะถูกเก็บไปโดยเจ้าหน้าที่ของกรุงโรม บางครั้งก็อาจจะหลาย ๆ วันติดกัน ในกรณีที่มีนักท่องเที่ยวมาก ๆ แต่บางครั้งก็เว้นระยะด้วย กรุงโรมนำเงินทั้งหมดนี้ไปสมทบกองทุนช่วยเหลือคนยากจนของกรุงโรม

เสน่ห์ของ “น้ำพุเทรวี” ทำให้ภาพยนตร์หลายเรื่องพากันมาถ่ายทำที่นี่ เรื่องที่มีชื่อเสียงมากหน่อย เห็นจะเป็นเรื่อง “Three Coins in The Fountain” และเรื่อง “La Dolce Vita”



ชื่อ Trevi : เทรวี มาจากคำภาษาอิตาเลียน Tre vie หมายความถึง ถนน 3 สาย น้ำพุแห่งนี้สร้างตรงจุดเชื่อมต่อของถนน 3 สาย และเป็นจุดปลายทางของท่อส่งน้ำ (Aqueduct) ที่มีชื่อว่า “Aqua Virgo” ซึ่งเป็นท่อส่งน้ำที่เก่าแก่ที่สุดอันหนึ่งของกรุงโรม มีเรื่องที่เล่าสืบต่อกันมาว่า ทหารโรมันได้รับคำสั่งให้มาหาแหล่งน้ำ เด็กหญิงคนหนึ่งได้ชี้ให้มาพบแหล่งน้ำนี้ และปรากฏว่า เป็นน้ำบริสุทธิ์ มีคุณภาพดีมาก จึงตั้งชื่อน้ำนี้ว่า “น้ำแห่งผู้บริสุทธิ์” หรือ Aqua Virgo ที่มีความหมายว่า Virgin Water จากจุดนี้ น้ำได้ถูกส่งไปหล่อเลี้ยงกรุงโรมไกลถึง 13 กิโลเมตร ท่อส่งน้ำนี้ใช้งานตั้งแต่สมัยอาณาจักรโรมันรุ่งเรือง จนกระทั่งถูกพวกโกธ (Goth) ที่เข้าปล้นกรุงโรม ได้ทำลายไปในปี ค.ศ. 537-538 ตามปกติแล้วชาวโรมันจะสร้างน้ำพุไว้บริเวณปลายทางของท่อส่งน้ำ



(คลิกที่ภาพจะขยายเต็มจอ)

น้ำพุเทรวี เป็นน้ำพุที่ใหญ่ที่สุดในกรุงโรม เป็นศิลปะแบบบารอค (Baroque) ที่ดูสง่างามและยิ่งใหญ่ ปราสาทด้านหลังของน้ำพุ ชื่อเต็มว่า Palazzo Conti Duca di Poli เป็นปราสาทประจำตระกูล Conti มีตำแหน่งเป็นท่านดยุ๊ค (Duke)


รูปปั้นแกะสลักสวยงามด้านบนของตึก




รูปปั้นแกะสลักด้านหน้าและในผนังตึก ที่งดงาม




ตรงกลางของน้ำพุเทรวี่เป็นเทพเจ้าเนปจูน ด้านซ้ายล่างเป็นเทพเจ้าไตรตันที่กำลังปราบม้าพยศ




รูปปั้นสาวพรหมจรรย์ ชื่อทริเวีย (Trivia) อยู่ในช่องกำแพงด้านซ้าย ชื่อของเธอก็คือชื่อของน้ำพุแห่งนี้




รูปปั้นจักรพรรดิออกัสตัส อยู่ในช่องกำแพงด้านขวา




นักท่องเที่ยวกำลังโยนเหรียญลงไปในน้ำพุหลังจากกล่าวคำอธิษฐานแล้ว เชื่อกันว่าถ้าจะให้คำอธิษฐานเป็นจริงต้องหันหลังให้กับน้ำพุ แล้วโยนเหรียญด้วยมือขวาให้ข้ามไหล่ซ้าย แต่ถ้าสังเกตหญิงสาวที่สวมชุดสีฟ้า เธอผู้นี้อาจมีความเชื่อที่แตกต่างออกไปก็ได้ครับ (ภาพจากอินเทอร์เน็ต)




เดินต่อไปอีกไม่นานก็ถึงบันไดสเปน




บันไดสเปน ประกอบด้วยบันได 138 ขั้น สร้างขึ้นด้วยเงินทุนของนักการทูตฝรั่งเศสที่ชื่อว่า Etienne Guffierด้วยเงิน 20,000 Scudi บันไดนี้สร้างขี้นในระหว่างปี ค.ศ. 1723-1725 เชื่อมระหว่างวัดTrinit des Monti ซึ่งกษัตริย์ราชวงศ์ Bourbon แห่งฝรั่งเศส เป็นองค์อุปถัมภ์กับสถานทูตสเปนประจำสันตะสำนัก (Holy See) ซึ่งตั้ง อยู่ใน Palazzo Monaldeschi ด้านล่าง




ปัจจุบันนี้เป็นที่รู้จักในฐานะที่เป็นย่านร้านค้า บรรดาสินค้าแบรนด์เนมทั้งหลาย เช่น Cucci, Prada, Luis Vitton, Bulgari, Ferragamo, Valentino และอื่น ๆ อีกมาก นอกจากนี้ ก็ยังมีร้านอาหารและร้านกาแฟที่มีชื่อเสียง ได้แก่ Caffe Greco เป็นร้านกาแฟอร่อยจริง ๆ ทั้งรสชาติและราคา (คลิกที่ภาพจะขยายเต็มจอ)




บันไดนี้ชาวอิตาเลียนเรียกว่า Scalinata เป็นบันไดที่กว้างและยาวที่สุดในทวีปยุโรป ที่มีชื่อนี้อาจเพราะมีสถานทูตสเปนอยู่ด้านล่างเท่านั้นเอง บันไดนี้มีประวัติมายาวนานก่อนการสร้าง นับตั้งแต่ปี ค.ศ. 1580 เป็นต้นมา พระสันตะปาปาหลายองค์สนพระทัยจะสร้างบันไดนี้ แต่โครงการก็ถูกแช่แข็งไว้ด้วยเหตุผลต่าง ๆ นานา จนกระทั่งมีการประกวดออกแบบ อย่างจริงจัง ในปี ค.ศ. 1717 ผู้ออกแบบบันไดนี้ ได้แก่ Francesco de Sanctis ที่จริงเทศบาลกรุงโรมออกกฎระเบียบห้ามนั่งกินอาหารที่บันไดแห่งนี้ แต่นักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ก็ชอบที่จะนั่งคุยกัน กินอาหารจานด่วน ดื่มน้ำ ดื่มเครื่องดื่มต่าง ๆ กันอยู่เสมอ หลายครั้งก็มักจะมีการเล่นดนตรี การแสดงเพื่อหาสตางค์ของพวกศิลปินจำเป็น ก็ทำให้บันไดสเปนมีบรรยากาศคึกคัก และเต็มไปด้วยผู้คน




ลานสเปน (Piazza di Spagna) เป็นลานที่อยู่ด้านหน้าของบันไดสเปน ตรงกลางลานจะมีน้ำพุเป็นรูปเรือโบราณ เรียกเป็นภาษาอิตาเลียนว่า La Fontana della Barcaccia แปลว่า “น้ำพุเรือโบราณ” สร้างขึ้นในระหว่างปี ค.ศ. 1627-1629 โดยเป็นศิลปะบารอคยุคต้น สร้างโดย Pietro Bernini ซึ่งเป็นคนออกแบบและแต่งเติม “น้ำพุเทรวี” ที่มาของการสร้างน้ำพุเรือโบราณนี้มาจากพระสันตะปาปา อูรบาโน ที่ 8 พบเรือลำหนึ่ง ถูกน้ำซึ่งท่วมแม่น้ำ Tiber พัดพามาจน ถึงบริเวณนี้ จึงมีความคิดที่จะสร้างเรือน้ำพุนี้เป็นอนุสรณ์ Bob Dylan นักร้องและนักแต่งเพลงที่มีชื่อเสียงชาวอเมริกัน ได้กล่าวถึงบันไดสเปนไว้ในเพลงของเขา ที่ชื่อว่า “When I Paint My Masterpiece” ด้วย

(คำบรรยายภาพ ส่วนหนึ่งเรียบเรียงมาจากเว็บไซต์ของหอจดหมายเหตุอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ //haab.catholic.or.th )



ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามชมครับ.

Create Date :29 เมษายน 2556 Last Update :29 เมษายน 2556 12:31:26 น. Counter : 12345 Pageviews. Comments :21