แอฟ ทักษอร

“แอฟ – ทักษอร” ตอบชัดทุกคำถาม ? บทบาทใหม่ ชีวิตคุณแม่ สถานะหัวใจ

Alternative Textaccount_circle
แอฟ ทักษอร
แอฟ ทักษอร

ช่วงที่ผ่านมา “แอฟ-ทักษอร ภักดิ์สุขเจริญ” ถูกพูดถึงมากในหลายด้าน ไม่ว่าจะเป็นบทบาทในละครเรื่องใหม่ที่ฉีกลุคนางเอกเรียบร้อยไปเป็นตัวตึงสุดร้ายในละครเรื่อง แค้น ความรักที่มีกระแสเชียร์จับคู่เธอกับทั้งหนุ่มน้อยหนุ่มใหญ่ ไปจนถึงความน่ารักแสนซนของน้อง “ปีใหม่” ลูกสาวคนเดียวที่นับวันยิ่งฉายแววซุป’ตาร์ ไหนจะลุคที่เปลี่ยนไปจนดูฮ็อตขึ้นเรื่อยๆ วันนี้ แพรว ได้คุยยาวๆ อีกครั้งกับเธอคนเดิม ที่เพิ่มเติมคือความแซ่บ

สัมภาษณ์เอ็กซ์คลูซีฟ “แอฟ – ทักษอร” ตอบชัดทุกคำถาม ? บทบาทใหม่ ชีวิตคุณแม่ สถานะหัวใจ

ได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบ 2 ปี ต้องบอกว่าแอฟดูสวยและแซ่บขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เกิดอะไรขึ้นคะ

“ขอบคุณค่ะ แต่อย่าชมขนาดนี้เลย เดี๋ยวใครจะว่านี่คือสวยแล้วใช่ไหม (หัวเราะ) เอาเป็นว่าอาจจะไม่ใช่ความสวย แต่เป็นความสุขกับตัวเองแล้วกันค่ะ แอฟว่าไม่ว่าใครก็ตามถ้ามีความสุขกับตัวเองก็จะมีความมั่นใจ และทำให้คนรอบข้างสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง จนรู้สึกว่าคนนี้น่ามอง คงเป็นอย่างนั้นมากกว่า

“ที่มีความสุขแบบนี้คงเพราะแอฟเปิดใจมั้ง ไม่รู้จะใช้คำว่าอะไร คือพออายุมากขึ้น ก็รู้สึกสบายใจและสบายตัวขึ้น หมายถึงความคิดเราก็สบาย อย่างเมื่อก่อนเวลาไปไหน ทำอะไร เจอใคร เราจะกังวลและตื่นเต้นไปหมด ไม่รู้จะวางตัวอย่างไรหรือพูดยังไง แล้วคนอื่นจะคิดอย่างไร แต่พอพูดตรงๆ ว่าแก่ขึ้น (ยิ้ม) เรารู้จักตัวเองดีพอ รู้ว่าตัวเองเป็นอย่างไร ผ่านอะไรมา ทำอะไรอยู่ และกำลังมีจุดมุ่งหมายอะไรในอนาคต พอมั่นใจในตัวเองมากขึ้น จึงไม่ค่อยกังวลกับเรื่องภายนอกเท่าไร เหมือนพอเราสบายใจก็สบายตัว เปิดรับมากขึ้น รู้สึกว่าแต่งตัวได้หลายสไตล์ แล้วแต่งาน ไม่ได้กังวลว่าลุคนี้ต้องระวัง หรือลุคไหนไม่ได้ คือได้หมด บางวันเรียบร้อย แล้วก็ลองเท่บ้าง หวานบ้าง เซ็กซี่บ้าง สลับกันไป ซึ่งพอได้ลองเป็นหลายๆ แบบก็รู้สึกสนุกดีค่ะ แต่ก็ต้องยอมรับว่าการที่เรามีมุมใหม่ๆ อาจจะมีทั้งคนที่ชอบและไม่ชอบ ก็ต้องยอมรับและรับฟังทุกฟีดแบ็กนะคะ แต่ขอให้สบายใจว่าแอฟมีลิมิตอยู่แล้ว เวลาแต่งตัวก็จะเลือกที่สบายใจและมั่นใจจริงๆ”

เล่าถึงบท “ปรางทอง” จากละครเรื่อง แค้น ที่ดูร้ายจังหน่อยนะคะ

“คือแอฟรู้ตั้งแต่ตอนอ่านบทแล้วว่าท้าทายที่สุดสำหรับตัวเอง ถ้าให้พูดตรงๆ ต้องบอกว่าเป็นบทที่มีความเสี่ยงสูงมาก จำได้ว่าตอนถ่ายทำยังพูดกับคนใกล้ตัวว่าบท ‘ปรางทอง’ ไม่มีเซฟโซนเลยนะ ถ้าไม่รุ่งก็ร่วง คนดูจะมีแค่ชอบหรือไม่ก็ตรงข้ามไปเลย ไม่น่ามีเฉยๆ หรือกลางๆ แบบก็โอเคนะอะไรอย่างนี้ เพราะเป็นตัวละครที่ทำอะไรสุดโต่งแบบเราคิดไม่ถึง บอกไม่ได้เลยว่าคนดูจะชอบหรือไม่ชอบ แต่แอฟตั้งใจแล้วว่าในเมื่อรับเล่น เราก็จะเชื่อในตัวละครตัวนี้ให้สุด ไม่มีข้อกังวลสงสัยใดๆ แล้วลุย”

แอฟ ทักษอร

ระหว่างการเป็นนักแสดงกับพิธีกร มีจุดที่ชอบหรือท้าทายต่างกันอย่างไรคะ

“สำหรับแอฟ เสน่ห์ของการแสดงคือเราได้รับโจทย์ใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ซ้ำกันเลยค่ะ จึงเหมือนมีความท้าทายใหม่ๆ ในการทำงานตลอด ขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกงานยังไง ถ้าเราชอบเล่นแบบเดิมที่รู้ว่าเป็นเซฟโซนแล้วแฮ็ปปี้ก็ไม่ผิดอะไร เพราะต่อให้คุณเล่นโรแมนติกคอมเมดี้ตลอด แต่ในแต่ละเรื่องก็มีรายละเอียดของตัวละครไม่เหมือนกัน ยังไงก็ได้เจอโจทย์ใหม่เสมอ หรือถ้าจะเลือกฉีกออกมาสุดๆ ไปเลยเหมือนที่แอฟรับบทปรางทองก็ได้เหมือนกัน ท้าทายไปอีกแบบและสนุกได้ตลอด

“ส่วนพิธีกร สารภาพว่าเมื่อก่อนปฏิเสธ เพราะธรรมชาติของเราไม่ค่อยอยากรู้เรื่องคนอื่น คือถ้าในฐานะคนฟัง เราฟังได้ เอนจอยประมาณหนึ่ง แต่ไม่ถึงขนาด ‘จริงเหรอ แล้วเป็นอะไรยังไงต่อนะ’ คือเราไม่มีความกระตือรือร้นที่จะอยากรู้เหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต้องขอบคุณคุณนิด (อรพรรณ วัชรพล) ที่ให้โอกาสแอฟได้ลองทำอะไรใหม่ๆ เหมือนค่อยๆ เปิดประตูทีละบาน ต้องบอกว่ากว่าจะกล้าเปิดประตูบานแรกในฐานะพิธีกรรายการข่าว แอฟตัดสินใจนานมาก คิดวนไปวนมา ไม่กล้าออกจากเซฟโซน รู้สึกว่าจะทำได้เหรอ กระทั่งคุณนิดบอกว่าต้องกล้าที่จะเปิดประตูใหม่ๆ เพื่อให้โอกาสใหม่ๆ เข้ามาบ้าง จึงลองทำดู ซึ่งช่วงแรกถามตามสคริปต์หมดเลย ช่วงหลังจึงเริ่มเข้าใจว่า อ๋อ เราอาจจะไม่ต้องอยากรู้เรื่องของแขกรับเชิญทั้งหมด แต่เราอาจค้นพบบางด้านบางมุมของเขาที่เราอยากรู้ อย่างแอฟเพิ่งค้นพบว่าเราจะมีความสุขมากกับการสัมภาษณ์คนที่ไม่ค่อยรู้จักเรื่องส่วนตัวของเขามาก่อน หรือคนที่มีไลฟ์สไตล์ไกลตัวแอฟมากๆ รู้สึกมีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้เราอยากรู้ เช่น เมื่อไหร่ที่มีนักร้องมานะ แอฟชอบจังเลย โดยเฉพาะนักร้องชาย” (หัวเราะ)

กลับมาทำงานเต็มตัวแล้ว แบ่งเวลาระหว่างงานกับการเป็นคุณแม่อย่างไรคะ

“ตอนนี้ต้องยอมรับว่างานอาจจะมาก่อน แต่ไม่ได้เป็นส่วนสำคัญที่สุด คืองานการแสดงเราไม่ได้ทำคนเดียว แต่ต้องใช้คิวของคนทำงานทั้งกลุ่มทั้งก้อน จึงต้องเคารพเวลาคนอื่นด้วย หลังจากนั้นก็ค่อยมาบริหารจัดการเอาว่าจะแบ่งเวลาให้ลูกอย่างไร

“หลักๆ คือแอฟจะสื่อสารให้ลูกรับรู้ทุกวันว่าวันนี้แอฟจะไปทำอะไรที่ไหนบ้าง เช่น เช้านี้แม่จะไปอ่านข่าว ตามด้วยถ่ายละคร หรือไปถ่าย สามแซ่บ นะ ดังนั้นหลังอาหารเช้าแม่ไปส่งปีใหม่ที่โรงเรียนก่อน เสร็จแล้วแม่จะไปทำงานต่อนะคะ ซึ่งก็โชคดีที่เรายังสามารถจัดการเวลาได้ อย่างน้อยอยู่กับเขาในช่วงเช้า ถ้าเย็นเลิกงานไม่ทันที่จะไปรับก็ไม่เป็นไร เขาเข้าใจ เพราะยังไงก็นอนด้วยกันทุกคืน หรือถ้ามีอะไรเขาจะวิดีโอคอลมาหา บางทีเขาแค่อยากเห็นว่าคุณแม่ทำงานอยู่กองถ่ายไหน อยู่กับใครบ้าง บางครั้งมีคุยกับผู้จัดฯหรือผู้กำกับด้วยนะ อย่างตอนถ่ายเรื่อง แค้น เขาก็คุยกับพี่แอน ทองประสม ว่าคุณแม่ทำอะไรอยู่ ถ่ายฉากไหนคะ พอรู้แล้วก็สบายใจ ไม่งอแง ปล่อยแม่ทำงานต่อ แต่แอฟจะพยายามล็อกคิวไว้ว่าสมมติว่าละครถ่ายพฤหัสบดี – อาทิตย์แล้ว จะขอเว้น 1 วัน ไม่เสาร์ก็อาทิตย์ที่จะหยุดอยู่กับลูก เป็นวันที่จะใช้เวลากับครอบครัว”

เวลาครอบครัวทำอะไรกันบ้างคะ

“พาไปเรียนพิเศษ (หัวเราะ) แต่ถ้าว่างจากเรียนก็แล้วแต่เลยค่ะว่าเขาอยากทำอะไร ตามใจ ส่วนใหญ่ก็จะหากิจกรรมให้ทำ เพราะเขาอยู่ในวัยพลังเยอะ ถ้าไม่ได้ออกไปทำกิจกรรมอะไรก็จะนอนดึก ต้องใช้พลังให้หมด ช่วงนี้ให้เขาลองหลายอย่าง เรียนเสริม กีฬา ดนตรี  ลองให้หมดว่าชอบอะไร แต่ความที่ยังเด็ก จึงยังไม่มีอะไรชัดเจนค่ะ”

มีแววว่าจะได้เป็นนักแสดงอย่างคุณแม่ไหมคะ ดูช่างพูดจา กล้าแสดงออก

“เรื่องวงการบันเทิงแอฟก็ไม่ค่อยแน่ใจ แต่ที่ผ่านมาเคยได้ทำงานโฆษณา แล้วเขาชอบเอง ไม่ได้บังคับหรือฝืนใจ ซึ่งแอฟก็รู้สึกว่าดีจังที่เขาชอบ จะได้มีผลงานเก็บไว้ด้วยกัน น่ารักดี ยอมรับว่าบางมุมเขาก็แอดวานซ์และรู้งานกว่าแม่อีก อย่างเวลาถ่ายงานเขาจะมีเซ้นส์อะไรไม่รู้พุ่งเข้าหาลูกค้าหรือผู้กำกับเฉยเลย สมมติไปถ่ายโมษณา เขาจะนั่งประกบผู้กำกับเลยนะ สนใจฟังว่าผู้กำกับอยากได้อะไร เช็กเทปแล้วเป็นยังไง เวลาไปงานอีเว้นต์ก็จะนั่งฟังบรีฟจริงจัง ซึ่งเขาเป็นเอง แอฟไม่ได้สอน แล้วตัวแอฟก็ไม่เป็นแบบนี้ด้วย คือแอฟอยู่ได้กับทุกคน ดีใจที่ได้เจอลูกค้า แต่ไม่ถึงขนาดเข้าหาหรือไปชวนใครคุย แต่ปีใหม่ไม่กลัวคน แฮ็ปปี้มากเวลาได้เจอคนใหม่ๆ

“แล้วด้วยความเป็นเด็ก เวลาทำงานเขาไม่คิดว่าเป็นหน้าที่ เขาบริสุทธิ์มากๆ คือถ้าชอบและสนุกก็จะทำเต็มที่ด้วยความสนุก อยากรู้อยากเห็นตามประสา จึงแอ็คติ้งออกมาสมจริงได้เต็มร้อย เวลาถ่ายโฆษณาด้วยกันจะรู้เลยว่าเด็กจะมีแค่ได้ คือถ่ายไปเลยเต็มที่ กับไม่ได้  คือไม่เล่น จะไม่มีอาการแบบนักแสดงที่เล่นแล้วติดขัด ไม่มีอินเนอร์อะไรอย่างนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่แอฟก็ได้เรียนรู้อะไรจากลูกเยอะเหมือนกัน”

ถึงวันนี้ที่ปีใหม่โตขึ้นมาก มีความเปลี่ยนไปแค่ไหน แล้วโจทย์ในการเลี้ยงลูกของแอฟเปลี่ยนไปไหมคะ

“ถ้าในภาพใหญ่ โจทย์ของแอฟคือจะเลี้ยงลูกหรือสอนเขาอย่างไรให้เติบโตไปเป็นคนที่สามารถใช้ชีวิตในสังคมได้ เวลามีอะไรเข้ามากระทบ เขาสามารถรับมือและแก้ปัญหาได้ มีจิตใจที่เข้มเข็ง ไม่ว่าจะเจอเรื่องอะไร เขาก็จะเอาตัวรอดผ่านมันไปได้ โดยเฉพาะในวันที่แอฟไม่อยู่แล้ว

“คือเราก็ไม่รู้หรอกว่าต้องเลี้ยงแบบไหน เพราะไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว แต่ก็พยายาม สุดท้ายแต่ละบ้านก็มีคนละสูตร แต่ละวิธีที่เราใช้ก็ไม่ได้แปลว่าจะใช้ได้เสมอไป เพราะลูกเราเปลี่ยนไปทุกวัน ขึ้นอยู่กับสิ่งแวดล้อมที่เขาอยู่ ง่ายๆ เลยแค่ปีใหม่เปลี่ยนโรงเรียน ความคิดบางเรื่องก็เปลี่ยนไปแล้ว เราต้องหมั่นสังเกตและปรับตัวไปกับเขาตลอดว่าเป็นยังไง คิดยังไง เขาโตขนาดไหนแล้ว เราจะมองเขาเป็นเด็กเท่าเดิมไม่ได้ กลายเป็นการบ้านที่ไม่จบไม่สิ้นของแม่ ซึ่งบางช่วงอาจจะง่าย แต่บางช่วงก็ยาก

“อย่างตอนเขาเล็กๆ เราอาจจะเหนื่อยกาย เพราะเขาพลังเยอะ ไม่นิ่ง อยากทำโน่นทำนี่ แต่การพูดให้เขาฟังนั้นง่าย เพราะเด็กเล็กโลกแคบ เขาจะเห็นเราเป็นพระเจ้า อธิบายประโยคเดียวก็จบ แต่พอโตขึ้น เรื่องการจัดการจะไม่ค่อยเหนื่อยแล้ว เพราะเขาช่วยเหลือตัวเองได้ แต่จะไปเหนื่อยสมอง เพราะพอเขาเริ่มมีสังคม อย่างไปโรงเรียนแล้วเห็นข้อแตกต่างของเพื่อนๆ ที่ถูกเลี้ยงมาคนละแบบ เขาก็จะสนใจ กลับบ้านมาก็จะมีคำถามว่า ‘ทำไม’ ตลอด แล้วเราไม่สามารถตอบให้จบได้ในหนึ่งประโยค เพราะเขาจะมีคำว่า ‘แต่’ ตามมา เช่น ‘แต่คุณแม่คนนั้นยังให้เลยค่ะ’ คือเราไม่สามารถตอบให้จบๆ ไปได้  ต้องใช้สมองตลอดเวลา แล้วเราพูดอะไรไป เขาจำได้หมดเลย เคยอนุญาตหรือไม่อนุญาตอะไรไป จำได้หมด

“กับอีกเรื่องที่เพิ่งรู้สึกว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงคือพอเขาเริ่มโตขึ้น เริ่มมีเพื่อน เขาอาจจะไม่ได้เล่าทุกอย่างให้เราฟังเหมือนตอนเล็กๆ เหมือนเขากำลังเริ่มมีสังคมของตัวเอง”

แอฟ ทักษอร

กลัวว่าวันหนึ่งลูกจะสนใจคนอื่นมากกว่าไหมคะ

“ก็คงมีวันนั้น (เสียงอ่อย) แค่ขอให้มาช้าๆ หน่อย แต่ถ้าเป็นไปได้ แอฟก็อยากให้เป็นว่าวันไหนก็ตามที่ลูกมีปัญหาหรือเจอเรื่องใดในชีวิตที่รู้สึกว่าต้องไม่ถูกใจแม่แน่เลย แต่เขายังอยากจะบอกแม่ ซึ่งแอฟก็ยอมรับว่าในจุดที่เราอยู่นี้คงเป็นแบบนั้นยากนิดหนึ่ง เพราะแอฟเป็นตัวร้ายของลูกอยู่เยอะเหมือนกัน คือเขามีแค่เรา เราก็จะดุและบ่นเขามากที่สุด ดังนั้นเขาก็จะเบื่อเรามากที่สุด ประมาณว่าโดนดุเรื่องนี้อีกแล้ว เบื่อจังเลย ซึ่แอฟก็พยายามที่จะบาลานซ์ให้ได้ว่าต่อให้แม่ดุอย่างไร เขาก็ยังอยากอยู่ด้วย อยากฟังเราและอยากเล่าให้เราฟัง แต่ก็ไม่รู้ทำได้ดีแค่ไหนนะคะ”

แล้วมีเรื่องไหนของน้องปีใหม่ที่เซอร์ไพรส์จนคุณแม่ชื่นใจบ้างไหม

“ที่ผ่านมาเขาไม่เคยพูดหรือแสดงออกว่ารู้สึกพิเศษอะไรกับการที่มีแม่เป็นนักแสดง ดูเขาเฉยๆ ไม่สนใจ บางทีบ่นด้วยซ้ำไปว่าไม่ได้อยากเป็นลูกนักแสดงเลย แอฟได้แต่บอกว่า ก็เป็นอาชีพของแม่ แม่มีอาชีพเดียว แล้วแม่ก็รักอาชีพนี้

“กระทั่งวันหนึ่งที่โรงเรียนมีกิจกรรมให้นักเรียนแต่งตัวตามคอนเซ็ปต์ โดยเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ในแต่ละสัปดาห์ ทีนี้มีสัปดาห์หนึ่งเขาให้แต่งตัวเป็นฮีโร่ บางคนแต่งเป็นนักกีฬาที่ชื่นชอบ ส่วนปีใหม่กลับมาบ้านแล้วบอกว่า ‘หนูอยากใส่แจ็กเก็ตสูทสีดำ มัมมี้หาชุดให้หน่อยนะคะ’ เราก็งง ถามว่าทำไม เขาตอบว่า ‘เพราะหนูอยากแต่งตัวเป็นมัมมี้’ (หัวเราะเสียงใส) แอฟถึงกับถามย้ำ แต่เขายืนยัน ทีนี้สูทเด็กก็หาไม่ได้ง่ายๆ แล้วอีกแค่ไม่กี่วันต้องใช้ เขาบอกว่า ‘มัมมี้สั่งตัดเลย เอาแบบชุดที่มัมมี้มี’ แอฟเลยต้องบอก ‘ปี เล่นใหญ่เกินไปละ สูทไม่ได้ตัดจบในวันสองวัน’ (หัวเราะ) สุดท้ายเขาก็นำสูทตัวเล็กสีดำของเราที่ตัดไว้นานแล้วไปใส่กับกางเกงของเขา กับขอยืมแว่นตากันแดดสีดำอันเล็กของแอฟไปด้วย เพราะเขาเห็นว่าแอฟชอบใส่สีดำ พอถึงวันนั้นเราก็ไปส่งเขาที่โรงเรียน พอมีใครถามว่าแต่งเป็นใคร เขาก็บอกว่า ‘แต่งตัวเป็นมัมมี้’ (ยิ้ม) ทำให้แอฟรู้สึกว่าแม้เขาจะไม่เคยพูดว่าหนูภูมิใจในตัวคุณแม่ แต่การที่เขาเลือกเอง ทำเองเลย ก็ทำให้ภูมิใจมากแล้ว”

เคยคุยกันไหมคะว่าถ้าวันหนึ่งคุณแม่มีความรัก เขาจะว่าอย่างไร

“แอฟไม่เคยคุยกับลูกเรื่องนี้จริงจัง จะเป็นทีเล่นทีจริงมากกว่า แต่เขาน่ะพูดตลอดว่าอยากมีน้อง บางครั้งมีร้องห่มร้องไห้ด้วยนะ อย่างทุกวันเสาร์ที่พาไปเรียนพิเศษ ถ้าครั้งไหนเพื่อนพาน้องมาด้วย หรือบางทีไปเล่นกับเด็กๆ รุ่นน้องมา แอฟรู้เลยว่าเดี๋ยวคืนนั้นมีท็อปปิกเรื่องนี้แน่นอน คือเขาจะกลับมาร้องว่าอยากมีน้อง แม่ก็ต้องบอกว่า ปี…ยากไปลูก

“คือ ณ ตอนนี้เวลาพูดกันเล่นๆ ปีใหม่ไม่มีปัญหาเลย อย่างเวลามีข่าวแล้วพี่นักข่าวถาม เขาก็รู้ประมาณหนึ่ง ดูแฮ็ปปี้ บางทีก็มาล้อแม่ โฆษณาแม่ไปก่อน เขาชอบพูดว่า ‘มัมมี้ไม่เปิดใจ มัมมี้ต้องเปิดใจ’ แต่เราก็ไม่รู้ว่าถ้าวันหนึ่งที่เกิดเรื่องนี้ขึ้นจริง เขาจะเข้าใจหรือรับได้จริงไหม แต่ไม่อยากถาม อยากให้เป็นธรรมชาติมากกว่า เพราะหนึ่ง เรื่องยังไม่เกิด สอง ถ้าเกิดขึ้นจริง แอฟก็ไม่รู้ว่าตอนนั้นปีอยู่ในสเตจไหน เพราะบางเรื่องตอนเด็กก็ง่ายกว่า บางเรื่องโตแล้วง่ายกว่า ปัจจัยมีหลายอย่าง อาจจะแล้วแต่เด็กแต่ละคนด้วย หรือเป็นคนที่เขาชอบหรือเปล่า คาดเดายาก จึงขอปล่อยไปแบบนี้ก่อนว่า ณ วันนี้ถ้าเขามีคอนเซ็ปต์ว่ามีแล้วจะแฮ๋ปปี้ ก็อยากให้เขามีความสุขไป แอฟเชื่อว่าสุดท้ายถ้าแอฟจะมีใครสักคน ทุกประสบการณ์ที่แอฟกับลูกมีร่วมกันมาน่าจะทำให้เขาเชื่อใจว่าแม่คิดดีแล้ว แอฟเชื่อว่าลูกจะรับได้ เข้าใจ และมีความสุข คือถ้าแอฟจะมีใคร แล้วเห็นว่าลูกไม่แฮ็ปปี้แน่ๆ เราก็คงไม่เลือกอยู่แล้ว”

ถ้าอย่างนั้นอยากบอกอะไรกับกองเชียร์ที่ลุ้นจับคู่คุณแอฟกับ “คุณทิม – พิธา” ไปจนถึง “นนกุล” ที่แฟนคลับพายเรือหนักมากอยู่ตอนนี้

“ก่อนอื่นเวลาที่ต้องตอบคำถามที่ไม่เกี่ยวกับตัวเราและลูก แอฟต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะคนเหล่านี้คือคนที่แอฟรักและหวังดีต่อเขา และแอฟก็รู้ว่าเขารักและหวังดีกับแอฟ แอฟจึงไม่อยากให้มีผลกระทบใดๆ ในด้านลบ ไม่ว่าจะกับใคร ก็อยากให้เข้าใจว่าทุกอย่างมาจากพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน

“กับคุณทิมเรารู้จักกันมานานแล้ว เป็นเพื่อนกันมานานมาก ยังไงก็จะพยายามรักษาความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันอย่างนี้ไปตลอด แต่เนื่องจากตอนนี้เขาเป็นบุคคลที่สังคมจับตามอง บางเรื่องที่คนนำไปพูดต่อกันก็กลายเป็นประเด็นขึ้นมาเฉยๆ ซึ่งแอฟไม่อยากให้มีอะไรไปกระทบคุณทิม คือถ้าเป็นแนวลุ้นแล้วคนดูแฮ็ปปี้ อันนี้แอฟไม่ติดเลยนะคะ ถ้าคนเสพข่าวแล้วมีความสุข แอฟก็ยินดีค่ะ แต่ถ้าข่าวนี้จะทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกไม่สบายใจ ก็แค่อยากจะสื่อสารถึงเขาว่าไม่ต้องคิดไปไกลนะคะ ไม่ต้องกังวล อย่ามีอารมณ์เลย เพราะไม่มีอะไรจริงๆ ค่ะ แอฟอาจจะลงรายละเอียดไม่ได้ แต่ขอให้เชื่อใจว่าแอฟจะไม่ทำอะไรที่เห็นแก่ตัว และจะไม่ทำให้ใครหรือครอบครัวไหนเดือดเนื้อร้อนใจแน่นอน

“ส่วนกับนนกุล ถ้าแฟนๆ รู้สึกดี รู้สึกลุ้น ก็อยากให้ลุ้นกันไปยาวๆ ค่ะ เพราะละครยังไม่ออน (หัวเราะ) อยากให้คีปไว้จนละครออนได้ไหมคะ ตอนนี้พายเบาๆ ก่อน เดี๋ยวละครมาแล้วค่อยพายหนักๆ (ยิ้ม) เป็นละครอีกเรื่องที่แอฟตื่นเต้นและคาดหวังมากเลยค่ะ ยิ่งได้เล่นกับนนกุล เขาเป็นนักแสดงที่แม้อายุน้อย แต่ความสามารถในการแสดงของเขาสามารถสอนแอฟได้เลยนะ คือก่อนหน้านี้แอฟเดยเจอกับ ต่อ – ธนภพ แล้วก็มาเจอนนกุลนี่แหละที่อายุน้อยกว่า แต่มุมมองการแสดงของเขาให้อะไรแอฟมาก”


ติดตามอ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ที่ : นิตยสารแพรว ฉบับ 996

บทความอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Praew Recommend

keyboard_arrow_up