xs
xsm
sm
md
lg

ตอนที่ 219 โน้ต เชิญยิ้ม ตลกกับชีวิต...ชีวิตโคตรตลก!?

เผยแพร่:   โดย: วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


เช้าวันนี้...จิบกาแฟขมแล้ว คุณสมเถา สุจริตกุล ซึ่งผมเคยเล่าว่า ได้ติดตามผลงานของท่านมาตลอด และผมได้เขียนถึง คีตกวีชาวไทยผู้มีชื่อเสียงท่านนี้ ๒-๓ ครั้ง ล่าสุดใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๐๑ “กูหึงนะโว้ย!” (จากมหาอุปรากร ‘แม่นาก’ ถึงมหาอุปรากร ‘วันทอง’) พอหลังปีใหม่ไม่กี่วันก็ได้พบกับ คุณถ่ายเถา สุจริตกุล ที่ผมเคารพ และเป็นมารดาคุณสมเถาฯ ได้แจ้งให้ผมทราบว่า

ต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ ด้วยความเอื้อเฟื้อและข้อตกลงพิเศษระหว่าง Munich Opera กับ บางกอกโอเปร่า จะเสนอมหาอุปรากรชื่อ Das Rheingold (ทองแห่งแม่น้ำรายน์) เป็นภาคที่หนึ่งของมหาอุปรากรชุด Ring Cycle ซึ่งแบ่งเป็น ๔ ภาค จะแสดงปีละภาคติดต่อกัน ๔ ปี นับว่าเป็นโอกาสดีของชาวไทย ที่จะมีการแสดงชั้นเยี่ยมมาให้ชมกันถึงบ้านเมืองของเรา

บางกอกโอเปร่ากำหนดจะเปิดแสดงเป็นครั้งแรก ในเอเซียอาคเนย์ที่กรุงเทพฯ วันที่ ๕ และ ๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ ที่โรงละครแห่งชาติ ศูนย์วัฒนธรรม เวลา ๑๙.๐๐ น. และกำหนดจะนำเสนอภาคอื่นๆ อย่างต่อเนื่องทุกปีจนครบทั้ง ๔ ภาคตามเป้าหมาย ๕ ปี เรียกว่าเล่นปีละภาค ซึ่งคนไทยเราจะได้ชมการสร้างสรรค์ผลงานอลังการ ของมหาปรมาจารย์คีตศิลป์ ในรูปแบบเอเซีย จากมุมมองของ วาทยกร สมเถา สุจริตกุล อีกหลายปีนับจากนี้

เมื่อ ๑๐๐ กว่าปีมาแล้ว ริชาร์ด ว้ากเน่อร์ ได้ปฏิรูปคีตศิลป์ ด้วยคีตนิพนธ์ชุดนี้ซึ่งเป็นวิวัฒนาการที่มีอิทธิพลยิ่ง แห่งวัฒนธรรมการดนตรีในปัจจุบัน จากภาพยนตร์ยอดนิยม Lord of the Rings จนถึงภาพยนตร์การ์ตูนกระต่ายแสนกล Bugs Bunny เรื่อง What’s Opera, Doc? หรือแม้แต่ภาพยนตร์ชุดมนุษย์ค้างคาวเรื่องล่าสุด Batman Returns ก็เริ่มด้วยฉากหนึ่งใน Ring Cycle

ในการนำเสนอ Ring Cycle ครบถ้วนทั้ง ๔ ภาคที่ไบย์รอยธ์ นครมหาอุปรากรแห่งประเทศเยอรมัน ได้มีผู้สนใจจากทั่วโลกสำรองบัตรล่วงหน้านานถึง ๑๐ ปีก่อนแสดง แต่อีกไม่นานเกินรอ บางกอกโอเปร่าจะเปิดแสดง Ring Cycle ที่กรุงเทพฯ ดังนั้น กลุ่มผู้สนใจทุกมุมโลก อาทิ ฮ่องกง ออสเตรเลีย ยุโรป และสหรัฐฯ จึงได้เริ่มสั่งจองบัตรล่วงหน้าเพื่อเดินทางมาชม

ในฐานะแฟนของคุณ สมเถา สุจริตกุล ผมขอเชิญชวนท่านเข้าชมการแสดงครั้งนี้ เพื่อชื่นชมฝีมือคนไทย ที่จะนำเสนอผลงานทางด้านโอเปร่า ให้เป็นที่ประจักษ์กับสายตาของชาวโลกต่อไป

เมื่อพูดถึงเรื่องการแสดงบนเวทีแล้ว อดไม่ได้ที่จะพูดถึงหนังสือซึ่งได้รับมาตอนปีใหม่ ซึ่ง คุณโน้ต เชิญยิ้ม (บำเรอ ผ่องอินทรีย์) ตลกและนักแสดงชื่อดังของเมืองไทยเป็นผู้เขียน หนังสือเล่มนี้ชื่อ “ชีวิตโคตรตลก” อ่านแล้วก็รู้สึกว่า ชีวิตของคุณโน้ตที่ผมพอรู้มาก่อนบ้างนั้น มีความละม้ายคล้ายคลึงกันมากกับ ชาร์ลี แชปลิน (Charlie Chaplin) ศิลปินตลกที่ยิ่งใหญ่ของโลก ซึ่งเป็นลูกของคู่สามีภริยานักแสดงละครเร่ชาวอังกฤษ

ฝรั่งมีคำพูดอยู่คำหนึ่งคือ Born in the trunk หากแปลตรงๆ ก็คือการเกิดในหีบเสื้อผ้า แต่อธิบายให้ได้ความก็คือ นักแสดงละครเร่ของฝรั่งนั้น เวลาไปออกแสดงไปตามจังหวัดหรือมณฑลต่างๆ ก็ต้องเอาหีบเสื้อผ้าใบใหญ่ไปด้วย เวลาผู้เป็นพ่อแม่จะออกแสดง ลูกซึ่งยังเป็นทารกอยู่หลังโรง อากาศเมืองฝรั่งหนาว ก็เอาลูกวางลงในหีบเสื้อผ้าที่มีความอบอุ่น เพราะมีเสื้อผ้าซ้อนอยู่ด้านล่าง แล้พ่อแม่ก็ออกโรงไปแสดง ทิ้งลูกนอนแอ้งแม้งในหีบ คุณตาชาร์ลี แชปลิน นั้น Born in the trunk โดยแท้

คำว่า Born in the trunk จึงมีความหมายถึงคนที่มีสายเลือดศิลปิน เกิดออกมาก็เห็นพ่อแม่เป็นนักแสดง แล้วมีความสามารถที่จะเจริญรอยตามผู้บุพการี อย่างคุณตาชาร์ลี แชปลิน ออกแสดงตั้งแต่เด็ก ทำท่าตลกผู้คนหัวร่อกันครืนแล้ว

ส่วนคุณโน้ตของเราก็ Born in the trunk เหมือนคุณตาชาร์ลี แชปลิน คือเกิดในวิกลิเก คุณพ่อเป็นดาวตลก ส่วนคุณแม่เป็นนางเอกลิเกในคณะเดียวกัน

ชาวลิเกเมืองไทยสะดวกกว่านักแสดงฝรั่ง ที่ไม่ต้องเอาลูกใส่หีบ แต่ใช้ผ้าขาวม้าพ่อนี่แหละ ยึดมุมโรงลิเกซึ่งมีเสาอยู่ ลิเกแม่ลูกอ่อนจะได้สิทธิยึดมุมโรงเป็นที่หลับนอนก่อนใครในคณะ ผูกเปลผ้าขาวม้ากับเสา เอาไม้ขัดหม้อถ่างผ้าขาวม้าด้านบนให้กางออก เพื่อไม่ให้ผ้าหุบพันตัวเด็กจะเป็นอันตรายได้

เกิดมาอายุได้แค่ ๕ ขวบผู้บุพการีแยกทางกัน พ่อเดินแบกกระเป๋าออกจากบ้าน พี่สาวสองคนแม่เอาไป คุณโน้ตกับน้องชายไปอยู่กับยาย น้องสาวคนสุดท้องคลอดตอนแม่กับพ่อแยกกันไปอยู่บ้านย่า ครอบครัวก็เหมือนแตกกระสานซ่านเซ็นไป

ชีวิตคุณโน้ต ได้รับความลำบากอย่างยิ่งตั้งแต่เด็ก เหมือนกับชาลี แชปลิน อีก ที่พ่อแม่เลิกกัน แม่ก็กลายเป็คนติดสุรา คุณตาชาร์ลีต้องไปอยู่โรงเลี้ยงเด็กกำพร้า แต่คุณโน้ตนั้นเมื่อแม่เอาไปฝากยายเลี้ยง ยายมีเหตุต้องไปติดคุกเสียอีก จึงถูกทิ้งให้อยู่กับน้องไม่มีใครเลี้ยงตั้งแต่อายุเพียงห้าขวบ

เคยอดอยากถึงต้องวิ่งราวเด็กเล็กกว่า แย่งเงินสองบาทไปซื้อกล้วยแขกกิน !


ชีวิตต้องปากกัดตีนถีบ ถูกพาไปฝากเป็นลูกศิษย์วัด เป็นกระเป๋ารถเมล์ ไปหัดลิเก ได้เป็นตลกในคณะลิเก รักกับนางเอก รบกับแม่นางเอก จนกระทั่งฉุดนางเอกซึ่งเป็นคนรักไป เป็นเรื่องเป็นราวถึงโรงพัก เป็นข่าวลงในหน้าหนังสือพิมพ์

คุณโน้ตก็กระทำไปตามประสาวัยรุ่น ที่เลือดลมฮอร์โมนกำลังฉีดแรง แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้ข่มเหงหรือขืนใจนางเอกแต่อย่างใด จนคนเห็นใจว่าที่ทำไปเพราะความรักรอดตัวไป เรื่องราวได้เรียบร้อยลงคุณโน้ตไม่ต้องติดคุก

ได้บวชได้เรียน สึกหาลาเพศมาก็ได้ประกอบอาชีพเป็นลิเก ได้ภริยาคนปัจจุบัน และออกจากวงการลิเกก้าวเข้าสู่วงการตลก และกลายเป็นตลกที่มีชื่อเสียงอยู่ในแถวหน้าของวงการเลยทีเดียว ยิ่งกว่านั้นยังเป็นพิธีกรนักแสดงประเภท talk show ที่มีค่าตัวแพงอีกด้วย

ชีวิตของคุณโน้ตก็เหมือนกับลูกผู้ชายอีกหลายคน ที่ไม่ได้คาบช้อนเงินช้อนทองมาแต่กำเนิด แต่ได้ฝึกฝนพัฒนาตัวเองมาด้วยความมุ่งมั่น ไม่ย่อท้อ แม้จะสารภาพว่าเคยหลงระเริงไปกับแสงสี มีผู้หญิงเข้าหาจำนวนมาก เมื่อมีเงินมีทองมากขึ้นก็เคยก็หันหาอบายมุข หลงการพนันม้าจนถูกยึดรถ บี.เอ็ม.ดับบลิว.หน้าสนามม้า ต้องขึ้นรถแท็กซี่กลับบ้าน

พอมาถึงบ้าน ลูกถามว่าพ่อซื้อขนมมาฝากหรือเปล่า คุณโน้ตน้ำตาแตกปล่อยโฮออกมา ให้สัญญากับลูกว่า ต่อไปนี้พ่อจะไม่เล่นการพนันอีกแล้ว ตัวเองก็ได้รักษาสัญญาที่ให้ไว้กับลุกอย่างจริงจัง ก้มหน้าเลี้ยงจนลูกได้เป็นบัณฑิตสมใจปรารถนา

ดวงชะตาของตลกเอกซึ่งคนรู้จักทั้งประเทศ เคยตกต่ำสุดขีด เหตุเพราะไปทำวงดนตรีลูกทุ่ง ขาดทุนย่อยยับ มีเคราะห์ซ้ำกรรมซัด แต่เพราะการที่ช่วยเหลือคนไว้มาก หรือบุญเก่าที่เคยทำมา มีสุภาพบุรุษอย่าง คุณนพพร วาทิน และภริยาคือ คุณสาลินี วาทิน ได้ยื่นความช่วยเหลือเข้ามาอย่างเทวดามาโปรด ใช้หนี้ให้ และให้ทุนทำหนัง

เมื่อคุณโน้ตต้องไปอ้อนวอนให้คุณเท่ง เถิดเทิง ลูกน้องน้องเก่ามาแสดง และต้องขออนุญาต คุณปัญญา นิรันดร์กุล ต้นสังกัดของคุณเท่งด้วย ซึ่ง ‘เสี่ยตา’ ก็กรุณาอนุญาตให้มาเล่นได้ โดยคุณโน้ตเล่นเป็นมัคทายกของวัดโทรมๆ ที่ ‘หลวงพี่เท่ง’ พลัดหลงมาเป็นสมภารเจ้าวัด ภาพยนตร์เรื่องนี้ชื่อเดียวกับหลวงพี่

มีเรื่องตลกโปกฮามากมายแต่เคลือบด้วยศีลธรรม หนังที่มีพล๊อตง่ายๆอย่างนี้ กลับโดนใจแฟนๆรวมทั้งคนที่ไม่ค่อยจะศรัทธาหนังไทยด้วย

โป๊ะเช้ะเลยอีทีนี้....หนัง‘หลวงพี่เท่ง’ ทำเงินถล่มทะลาย เฉียดสองร้อยล้านบาท !

ดังนั้น การเป็นผู้กำกับหนังของคุณโน้ต ก็ไปพ้องกับกันกับคุณตาชาร์ลี แชปลิน ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่อีกเหมือนกัน

ผมอ่านหนังสือของดาวตลกท่านนี้แล้ว เห็นว่าคุณโน้ตนั้น มีความเป็นมืออาชีพอย่างยิ่ง ใครอยากรู้ว่าคำว่ามืออาชีพนั้น มีความหมายว่าอย่างไร ขอให้ท่านผู้อ่านลองดูใน กาแฟขม...ขนมหวาน ตอนที่ ๒๖ เพราะจะเป็นเครื่องช่วยท่านในการพิจารณาตัดสินว่า คนนั้นเป็นมืออาชีพหรือคนนี้ไม่ใช่

ไม่น่าเชื่อว่า ตลกอย่างคุณโน้ตจะพร่ำสอนลูกน้องทุกคนในคณะว่า เวลาขึ้นเวทีต้องให้เกียรติคนดู ต้องแต่งกายให้สะอาด รองเท้าจะมีขี้ดินทรายโคลนติดไม่ได้ เพราะพื้นเวทีนั้นสูง เมื่อคณะตลกยืนอยู่บนพื้นเวที เท้าจะอยู่ระดับเดียวกับหน้าคนดูที่นั่งอยู่ในคาเฟ่ นอกจากพวกนั่งดูชั้นบนโรงหนังหรือละคร

ฉะนั้น คุณโน้ตจึงสั่งสอนให้ลูกน้องในคณะ ก่อนออกหน้าเวทีต้องทำความสะอาดร่างกายให้ดี เนื้อตัวต้องหอม หน้าต้องนวล เพราะคุณโน้ตได้เกิดและเติบโตในวงการลิเก จึงเข้าใจดีว่า พวกลิเกนั้นเขาให้เกียรติคนดูมาก พระเอกลิเกจึงต้องหล่อ แต่งตัวพราวมาดดี นางเอกก็ต้องพริ้ง สร้อยแหวนกำไล วะปะหล่ำป่ำปุกทั้งหลาย ต้องพอกให้เพียบ เวลาออกหน้าม่านแล้วจะได้ส่งแสงระยิบระยับ ให้จับจิตจับใจคนดู

จะมาแสดงกันชุ่ยๆนั้น พวกลิเกไม่ทำ...เพราะไม่ใช่นักการเมืองไทย !


ผมเคยเล่าให้ท่านผู้อ่านฟังว่า เวลาลิเกเขาไปเล่นตามบ้านนอกนี่ ต้องตีกลองเป็นจังหวะเพื่อเตือนให้ทราบว่า ตอนไหนลิเกกำลังทำอะไร เช่นตีกลองให้สัญญาณว่าตอนนี้ลิเกกำลังมาเปิดการแสดง ซึ่งขาวบ้านจะเข้าใจสัญญาณเสียงกลองลิเกเป็นอย่างดี อ่านออกหมดว่าตอนนี้สัญญาณเตือนว่า ลิเกกำลังผัดหน้าทาแป้งเตรียมลงโรง ชาวบ้านต้องรีบทำกิจธุระให้เสร็จ แล้วออกจากบ้านเดินไปตามหัวคันนามุ่งไปโรงลิเก พอลิเกกำลังกำลังจะออกแขก กลองจะส่งเสียงรัว พวกชาวบ้านเขาจะรีบเดินจ้ำอ้าวๆ มัวแต่ทอดน่องช้าอยู่ไม่ได้ มิฉะนั้นจะพลาดตอนต้นของเรื่องไป อาจทำให้ไม่รู้เรื่องปะติดปะต่อไม่ถูก

ดังนั้น ลิเกมีความผูกพันกับชาวบ้านเป็นอย่างมาก ตัวแสดงอย่างคุณโน้ตที่ได้รับการปลูกฝังเป็นอย่างดีมาจากการแสดงประเภทนี้

จึงนำสิ่งดีๆ ที่ได้จากวัฒนธรรมลิเก มาใช้กับวงการตลกอีกด้วย !


นอกเหนือจากความเป็นครู ที่มีความสามารถในการคิดมุก ออกมุก และสั่งสอนบรรดาตลกรุ่นน้องและลุกศิษย์ ที่น่าทึ่งกว่านั้นก็คือคุณโน้ตมีทักษะในการดูคน อ่านลูกศิษย์ออกหมดว่า ตลกคนไหนจะรุ่งต่อไปในวงการ คนไหนจะเจริญก้าวหน้าในอาชีพ ตลกคนไหนเอามาเล่นเป็นตัวนำในหนังแล้ว เรื่องนั้นจะต้องกวาดเงิน

ตรงนี้คุณโน้ตดูคนได้ชัดเจน จึงเอาตลกอย่างคุณถั่วแระ คุณจตุรงค์ จ๊กมก มาร่วมคณะ ที่สำคัญคือไปขอคุณเท่ง เถิดเทิง จากคุณปัญญา นิรันดร์กุล มาเป็นผู้แสดงนำในหนังตลกอย่าง ‘หลวงพี่เท่ง’

คุณโน้ตอ่านขาดว่า หากลูกศิษย์เก่าคนนี้ มาสวมบทบาทพระสงฆ์ระดับสมภารเจ้าวัดแล้ว จะตีบทแตกกระจุยกระจาย ซึ่งก็เป็นไปตามคาด ‘หลวงพี่เท่ง’ ทำลายสถิติหนังไทยฟอร์มยักษ์ราบคาบ

ดังนั้น ถ้าเทียบคุณโน้ตกับนายกฯทักษิณเรื่องการดูคน ที่ต้องเอามาร่วมวงการที่ตนรับผิดชอบแล้ว แล้วผมว่าห่างชั้นกันแยะ คุณทักษิณไม่มีทางเทียบคุณโน้ตได้เลย เพราะนายกมีความเป็นมืออาชีพทางการเมือง น้อยกว่าคุณโน้ตเป็นศิลปินมาก เพราะอะไรนะหรือ ?

ก็รัฐมนตรีที่นายกเลือกมาทำงาน ทำให้ประชาชนส่ายหน้าเสียส่วนใหญ่ บางคนขนาดรับราชการในตำแหน่งพอสมควร แม้แต่งานในหน้าที่เดิมที่เคยทำ ก็ไม่เห็นจะมีฝีมีอะไรเท่าไหร่เลย แม้แต่คนในวงการเดียวกัน ก็ไม่ได้ยกย่องสรรเสริญในความรู้ความสามารถ

แต่ยังดันเอามา ร่วมรัฐบาลเข้าไปได้ !


ไม่อยากพูดมาก เดี๋ยวอดเผลอไปยืมคำฮิตๆ ที่ คุณสมัคร สุนทรเวช ชอบใช้ มาใส่ปากตัวเองแล้วใช้กับนายกฯเข้าให้เท่านั้น

ที่น่ายกย่องคือคุณโน้ตมีภริยาที่ดี เมื่อแต่งงานกันมีเงินแค่หนึ่งพันบาทไปไหว้พ่อตาแม่ยาย ตอนร่วมชีวิตกันใหม่ๆ คุณโน้ตยังจนไม่มีเงินมีแม่ยกมาติด เผลอไปนอนกับแม่ยก ซึ่งจ่ายตังค์ให้กับคุณโน้ต สาวใหญ่เกิดติดใจตามไปถึงบ้าน เลยต้องบอกความจริงว่า ไปแอบนอนกับแม่ยกมาแล้วเธอกรุณาให้ตังค์มาแก้จน ขอให้ผู้เป็นภริยาไปคอยอยู่ในส้วมของห้องเช่าก่อน เพื่อไม่เห็นคุณแม่ยกเห็น แล้วปิดประตูส้วมเอาไว้

พอแม่ยกจะกลับคุณโน้ตไปส่ง ลืมเมียไว้ในส้วม ครั้นกลับมาถึงห้องเช่ารูหนู ภริยาทนความอุดอู้และกลิ่นไม่ไหว เป็นลมคาห้องส้วมเลยทีเดียว

ช่างเป็นยอดหญิง อะไรอย่างนี้นะ !

ไม่ใช่เพียงแค่นั้น คุณโน้ตเล่าว่าเมียตลกตามผัวเก่งเหลือเกิน เวลาเจ้าตัวไปแสดงต่างจังหวัด มีผู้หญิงสาวๆมานอนเป็นเพื่อนด้วย ตอนเช้าเมียไปตาม คุณโน้ตกำลังเข้าห้องน้ำ ได้ยินเสียงภริยาซึ่งอุ้มลูกมาตามเคาะห้องผู้หญิงไปเปิด แม่บ้านของคุณโน้ตถามว่า

“พี่เป็ด(เชิญยิ้ม) อยู่ห้องนี้หรือเปล่าจ๊ะ”


เท่านั้นเอง สาวเจ้าตกหลุมบอกว่า “พี่เป็ดไม่อยู่ห้องนี้...อยู่แต่พี่โน้ต จ้ะ” เท่านั้นเองภริยาตลกโน้ต โดดตบสาวผู้เคราะห์ร้าย กระจายไปเลย!

ทำให้ผมสงสัยว่า เมียตลกกับเมียนักการเมือง ใครตามสามีเก่งกว่ากัน ?

ใครรู้ช่วยบอกหน่อย...เพราะตัวคนเขียนไม่มีประสบการณ์ !

อย่างไรก็ตาม คุณโน้ต ได้สรรเสริญภริยาว่า เป็นคู่ทุกข์คู่ยาก แม้ตัวเองจะทำผิดพลาด เธออภัยให้หมด ไม่เคยถือโทษโกรธเคืองให้ยาวนาน และเลี้ยงลูกของคุณโน้ตจนได้ดีทุกคน

เมื่อมองย้อนไปข้างหลังแล้ว คุณโน้ตนั้นน่าจะถือว่าประสพความสำเร็จในชีวิต คือเมื่อสูงวัยมากขึ้นไม่ได้เป็นลิเกแก่ๆ หากแต่เป็นดาวตลกที่มีระดับ เป็นดาราทอล์คโชว์ พิธีกร เจ้าของวงดนตรีลูกทุ่งที่มีชื่อเสียง ยังเป็นนักแสดง ผู้สร้างและผู้กำกับการแสดงที่สร้างประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่ง ที่ถือว่าเป็นตำนานให้กับวงการภาพยนตร์ไทย อย่างยากที่จะหาใครเทียบได้

เรื่องของคุณโน้ต นั้น ได้แสดงให้เห็นว่าดวงตกเมื่อไหร่ เหตุการณ์มันมักซ้ำเติม แต่เมื่อตกสุดขีด ดวงชะตาก็รุ่งขึ้นอีกได้ ที่ดาวตลกเอกผู้นี้ประสพความสำเร็จอีกครั้ง หลังจากต้องจมอยู่กับกองทุกข์มาห้วงระยะเลาหนึ่ง ก็เพราะมีพื้นฐานความที่เป็นคนมีจิตใจดี มีความซื่อสัตย์ รู้จักแก้ไขในสิ่งผิด มีเพื่อนที่ดี มีกัลยาณมิตรที่น่าสรรเสริญ ลูกน้องที่ไม่ทอดทิ้งกันแม้ยามยาก เพราะตลกเอกเคยกอบคุณงามความดีเอาไว้มาก และผู้คนได้เห็นความดี จึงฝ่าวิกฤติมาได้ทุกครั้งไป

ที่สำคัญคือ คุณโน้ตมีบุญที่ได้ภริยาที่ประเสริฐ ยืนหยัดเคียงข้างสามีไม่ว่ายามทุกข์หรือสุข และให้อภัยเมื่อสามีทำผิดพลาด ทำหน้าที่เป็นเป็นแม่ให้ลูกคุณโน้ตได้อย่างสมบูรณ์ยิ่ง !


คุณโน้ตได้เขียนข้อความ ที่ประทับใจผมอยู่ตอนหนึ่ง ว่า

“ผมเชื่อเสมอว่า…พระเจ้าไม่เคยใจร้ายกับคนประสงค์ดี พระเจ้าไม่เคยใจร้ายกับคน
ทำดี !”

อ่านแล้วไม่โต้เถียง เพราะเห็นด้วยทุกประการ

ขออำนวยอวยพรให้คุณโน้ต มีความสุขความเจริญยิ่งต่อไป ให้ประสพความสำเร็จในการสร้างและกำกับภาพยนตร์ มีงานเข้ามาโดยมิได้ขาดม มีชีวิตที่รุ่งเรือง เพื่อให้ชาวบ้านได้ชื่นชมในผลงานอีกนานเท่านาน

อ่านเรื่องของดาวตลกคนนี้แล้ว อยากให้ท่านผู้ที่อยู่ในวัยทำงานลองอ่านดูบ้าง หรือหากท่านใดที่สูงอายุแล้ว ก็สามารถอ่านเป็นข้อมูล เอาส่วนดีๆของหนังสือเป็นเครื่องมือสอนลูกหลานต่อไปเบื้องหน้าได้

คุณโน้ตผู้มีความเป็นคนดีในหัวใจ เขียนคำคมเอาไว้ท้ายหนังสือว่า

“ผมเคยคิดคด ทรยศกับเผ่าพันธุ์
ด้วยเศรษฐกิจบีบคั้น เสียจนสติฟั่นเฟือน
ผมเป็นบัณฑิตที่ความคิดเลอะเลือน
เพราะชีวิตบิดเบือน ไม่เหมือนผู้ดีมีกิน
เรียนจบ ตกงาน ฟุ้งซ่านจนเสียคน
ผมเกือบเป็นโจร ปล้นจี้ชิงทรัพย์สิน
แต่บรรพบุรุษท่านบริสุทธ์ไร้มลทิน
จึงต้องหากินแบบสุจริตต่อไป...”


แม้จะอ่านหนังสือ “ชีวิตโคตรตลก” แล้ว ก็ยังตีความในใจจากคำคมของคุณโน้ตได้ทั้งหมด แต่ถึงกระนั้นก็รู้สึกดีๆ และทำให้คิดถึงศิลปินตลกผู้ยิ่งใหญ่ของโลกคือ ชาร์ลี
แชปลิน ที่ผมบอกว่ามีชีวิตคล้ายๆกับคุณโน้ต ซึ่งท่านได้แต่งเพลงชื่อ Smile ที่ผมรักนักหนาเอาไว้ ตั้งแต่ปี ค.ศ. ๑๙๓๖ เป็นเพลงในภาพยนตร์ตลกคลาสสิก ที่โด่งดังของโลก เรื่อง Modern Times เนื้อเพลงเขาบอก ว่า

Smile, though your heart is aching.
Smile, even though it is breaking.
When there are clouds in the sky.
You'll get by if you smile.
Though your fear and sorrow.
Smile, and may be tomorrow.
You'll see the sun come shine through,
For you........

ถอดความเป็นภาษาไทย ออกมาได้ ว่า

ยิ้มเถิดหนา แม้หัวใจของคุณ กำลังเจ็บปวดรวดร้าว
ยิ้มเข้าไว้ ถึงแม้หัวใจกำลังป่นปี้ แตกสลายลงไป
ถึงแม้ว่าท้องนภา จะทะมึนด้วยหมู่เมฆ
คุณก็จะผ่านมันไปได้ เพียงยิ้มเข้าไว้
แม้คุณจะหวาดกลัว และแสนโศกเศร้า
ยิ้มเข้าไว้เถอะนะ และบางทีพรุ่งนี้
สุริยันจะเฉิดฉายแสง....เพื่อคุณ

สำหรับท่านผู้อ่านที่เคารพของผม หากท่านใดยังบังเอิญต้องเวียนวนอยู่ในความไม่สมหวัง ขอให้เรื่องของคุณโน้ตเป็นกำลังใจ และยืนหยัด ‘ยิ้มสู้’ ชีวิตต่อไปด้วยความมีสติมั่นคง และผมหวังเต็มเปี่ยมว่า

ดวงตะวันจะวาดฉาดฉาย ไขแสงอุทัยสีทองเรืองอร่าม สำหรับท่านในวันพรุ่งนี้ ที่กำลังจะมาถึง และวันต่อไป...และวันต่อไป...และวันต่อไป....

“May the sun shines tomorrow and the day after that...and the day after that...and the day after that...”


ขอเป็นกำลังใจให้ทุกท่าน ด้วยความปรารถนาดียิ่ง !

วาทตะวัน สุพรรณเภษัช


............................................

หมายเหตุ
DAS RHEINGOLD (ทองแห่งแม่น้ำรายน์) แสดงวันที่ ๕,๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๔๙ เวลา ๑๙.๓๐น. จองบัตรได้ที่ Thai Ticket master (๐๒) ๒๖๒-๓๔๕๖

กำลังโหลดความคิดเห็น