จีนยังคงเดินหน้าใช้มาตรการเข้มงวดกับบริษัทใหญ่ ๆ ล่าสุดรุกสู่ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชามูลค่ามหาศาลแล้ว โดยกระทรวงศึกษาธิการจีนสั่งห้ามไม่ให้โรงเรียนกวดวิชาทำ IPO เพื่อระดมทุน และห้ามทำกำไร ต่อไปให้ปรับการกุศล บริษัทไหนฝ่าฝืนจะถูกสั่งปิด
มาตรการดังกล่าวยังครอบถึงห้ามควบรวมกิจการ ห้ามบริษัทในตลาดหลักทรัพย์มาลงทุนและไม่ให้บริษัทต่างชาติมาซื้อหุ้นอีกด้วย โดยกระทรวงศึกษาธิการจีนอ้างทำไปเพื่อลดความเครียดทางการเรียนและจัดระเบียบโรงเรียนกวดวิชา
มาตรการนี้ประกาศใช้เมื่อต้นสัปดาห์และส่งผลทันทีต่อหุ้นของบริษัทในธุรกิจกวดวิชาจีน ในตลาดหลักทรัพย์หลายแห่งทั้งที่เซี่ยงไฮ้ และฮ่องกง รวมไปถึงสหรัฐฯ โดยทุกบริษัทถูกบีบให้ขานรับไปในทิศทางเดียวกันว่าพร้อมปฏิบัติตามมาตรการของกระทรวง
หนึ่งในบริษัทที่วูบหนักสุดจากมาตรการนี้คือ New Oriental Education and Technology ซึ่งเมื่อวันจันทร์ (26 กรกฎาคม) มูลค่าบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงลดลงไป 50%
และถ้ารวมกับการเทขายของนักลงทุนเมื่อวันศุกร์ (23 กรกฎาคม) หลังมีข่าวระแคะระคายออกมา มูลค่าบริษัทของ New Oriental Education and Technology เฉพาะที่ตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงก็หายไปแล้วถึง 7,700 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 253,000 ล้านบาท)
มาตรการดังกล่าวของรัฐบาลจีนที่สั่งลงมาผ่านกระทรวงศึกษาธิการถูกจับตามองในหลายด้าน เพราะโรงเรียนกวดวิชาจีนเป็นธุรกิจใหญ่ มูลค่าถึง 120,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.9 ล้านล้านบาท)
และมีแนวโน้มขยายตัวอย่างร้อนแรงอีก หลังรัฐบาลจีนปลดล็อกมาตรการจำกัดจำนวนประชากรทั้งหมดแล้ว ล่าสุดเพิ่งยกเลิกบทลงโทษปรับเงินครอบครัวที่มีลูกเกิน 3 คน ตามแผนป้อนคนวัยทำงานเพื่อผลักดันเศรษฐกิจของประเทศให้ขยายตัวต่อเนื่องได้ต่อไป
ท่ามกลาง ‘เสียงบ่น’ ของครอบครัวชาวจีน โดยเฉพาะชนชั้นกลางว่าแบกรับค่าใช้จ่ายต่าง ๆ แทบจะไม่ไหวแล้ว โดยที่หนักสุดคือค่าเทอมนั่นเอง
และยิ่งการสอบเข้าเรียนในสถาบันดัง ๆ ของจีนแข่งขันกันสูง การกวดวิชาจึงเลี่ยงไม่ได้ถ้าอยากให้ลูก ๆ สอบติด และต้องสมัครเรียนตั้งแต่ชั้นประถมอีกด้วย
นี่จึงทำให้พ่อ ๆ แม่ ๆ ชาวจีนเรียกร้องให้รัฐบาลออกมาตรการช่วยเหลือเรื่องค่าใช้จ่าย ซึ่งรัฐบาลของประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ก็ขยับจากคลังไม่ไหลออกไป ด้วยการจัดระเบียบธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาแทนการออกมาตรการช่วยเหลือในรูปแบบของเงิน ดังนั้นบรรดาโรงเรียนกวดวิชาจึงได้รับผลกระทบไปเต็ม ๆ
แต่ด้วยความที่เป็นธุรกิจมูลค่ามหาศาลและเงินสะพัดไม่ใช่น้อย เหล่าโรงเรียนกวดวิชาคงพยายามปรับตัวเพื่อความอยู่รอดไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการแตกบริษัทลูกออกมาและเน้นไปทางที่ไม่ใช่สายวิชาการ เช่น ดนตรี ศิลปะ และกีฬา
อีกประเด็นที่ถูกจับตามองไม่แพ้กัน คือมาตรการเข้มงวดเพื่อควบคุมบริษัทใหญ่ที่ขยายวงไม่หยุดตั้งแต่ภาคการเงิน เทคโนโลยีเน้นบริษัทที่ผู้ใช้เข้าถึงได้ผ่านแอป และธุรกิจบันเทิง
บริษัทที่กระทบจนร้อน ๆ หนาว ๆ จากมาตรการคุมเข้มล้วนเป็นเบอร์ใหญ่ในธุรกิจทั้งสิ้น ไล่ตั้งแต่ Ant Group ในเครือ Alibaba Tencent Didi และ Meituan
ทุกครั้งที่รัฐบาลจีนประกาศใช้มาตรการเข้มงวด หุ้นของบริษัทเหล่านี้ไม่ว่าอยู่ในจีนหรือสหรัฐฯ จะร่วงหนัก
แค่การจัดระเบียบธุรกิจโรงเรียนกวดวิชา 2 วันที่ผ่านมาก็ทำให้มูลค่าของกลุ่มบริษัทจีนมูลค่าสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ 98 แห่งที่เรียกรวมว่าดัชนีมังกรทองจีน 98 หายไป 15% และ 5 เดือนที่ผ่านมามูลค่าของหุ้นกลุ่มนี้ก็หายไปแล้ว 770,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 25.3 ล้านล้านบาท)
จากความเคลื่อนไหวทั้งหมดรัฐบาลจีนต้องการแสดงให้เห็นว่า ไม่มีบริษัทจีนแห่งไหนรอดพ้นมาตรการควบคุมไปได้ และยังเป็นการสกัดเงินทุนและอิทธิพลของต่างชาติไปด้วยในตัว โดยเป้าหมายหลักคือสหรัฐฯ คู่ปรับในสงครามการค้า
สำนักงานใหญ่ของ New Oriental Education and Technology
เพราะบริษัทใหญ่ ๆ ในจีนล้วนมีหุ้นซื้อ-ขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ทั้งสิ้น หลักฐานล่าสุดคือ New Oriental Education and Technology เบอร์ใหญ่ในธุรกิจกวดวิชาจีนที่ก็มีหุ้นซื้อ-ขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์สหรัฐฯ ด้วยเช่นกันนั่นเอง/cnn
–
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ