หากจะบอกว่า Eco Car เปรียบเสมือนลมหายใจของ Suzuki ก็คงไม่ผิดหนัก เพราะจากยอดขายทั้งหมดในปี 2017 ที่ผ่านมาจำนวน 25,011 คัน แบ่งเป็น Eco Car 21,300 คัน
คิดคร่าวๆ Eco car มีสัดส่วนประมาณ 80% จากยอดขายทั้งหมดของ Suzuki ในปีที่ผ่านมา
ทำไม Suzuki ถึงเลือกจะขาย Eco Car แบบหนักหน่วง โดยมีรถ Eco car อยู่ในมือถึง 3 คัน เหตุผลมาจากค่ายใหญ่อย่าง Honda ไม่ได้จริงจังกับ Eco car มากนัก แม้ตัวเองจะมีรถ Eco car ขายในโชว์รูมก็ตาม จะมี Toyota ที่ไม่ละทิ้งตลาดนี้ด้วยรถอย่างYaris แต่ก็ไม่ได้ทำตลาดอย่างเต็มสูบ
แต่ด้วยชื่อชั้นของ Toyota ไม่จำเป็นต้องออกแรงมากนักก็เป็นเบอร์หนึ่งในตลาด Eco car ได้ไม่ยาก
ช่องว่างตลาดของค่ายใหญ่
เพียงแต่การแข่งขันในตลาด Eco car ยังมีช่องว่างให้ Suzuki ขับเคลื่อนนั้นคือการทำให้ Eco car ของตัวเองเป็นรถที่ซื้อง่ายกว่ารถคู่แข่ง
กลุ่มลูกค้า Eco car ของ Suzuki จึงเน้นไปที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยปี 3 – 4 และกลุ่มคนเริ่มต้นทำงานอายุตั้งแต่ 22-39 ปี
ลูกค้าหลักกลุ่มนี้เลือกซื้อรถก่อนที่อยู่อาศัย แถมยังไม่ได้ยึดติดว่าต้องเป็นแบรนด์หลักในตลาดอย่าง Toyota,Honda แต่ขอดีไซน์ถูกใจ ราคาเอื้อมถึงเป็นเจ้าของได้ง่าย พร้อมกับมีโปรผ่อนสบายๆ
ทำให้ที่ผ่านมา Suzuki ระดมโปรโมชั่นในเรื่องผ่อนต่อเดือนราคาถูก โดยล่าสุดแคมเปญ My Way ผ่อนเริ่มต้น 3,999 บาท/เดือน
เป็นยาแรงกระตุ้นกลุ่มลูกค้าหลักแบบเร่งเร้าให้ตัดสินใจซื้อได้ง่ายและเร็วขึ้น แถมปีนี้ Suzuki ต้องการยอดขาย 34,000 คันเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วถึง 8,989 คันเลยทีเดียว โดยมี Eco car เป็นรถหัวหอกสร้างยอดขาย
SWIFT กลับมาสวมบทพระเอกอีกครั้ง
ความมั่นใจนี้มาจาก รถคันใหม่อย่าง Suzuki SWIFT ที่เคยเป็นพระเอกช่วยพลิกแบรนด์ Suzuki จากที่เคยมืดหม่นกลับมาสว่างไสวในตลาดบ้านเราได้อย่างเหลือเชื่อ โดยล่าสุดเพิ่งแปลงโฉมรูปแบบ All New ใหม่กิ๊กตั้งแต่หัวจรดเท้า
Suzuki คาดหวังกับรถคันนี้มากขนาดไหน ? ก็ขนาดที่ว่าต้องการยอดขายถึง 15,700 คัน จากเมื่อปีที่แล้วยอดขาย Suzuki SWIFT รุ่นเก่ามีอยู่แค่ 8,080 คัน
เป็นยอดขายที่เพิ่มขึ้นเกือบๆ 100% ที่น่าสนใจกว่านั้นหากมองไปที่ไลน์อัพรถทุกคันที่อยู่ในโชว์รูม Suzuki รถคันใหม่อย่าง All New SWIFT จะกินสัดส่วนถึง 40% จากยอดขายรถทั้งหมดของ Suzuki ในปี 2561
เพราะการจับรถระดับ Flagship มาแต่งตัวใหม่แบบ All New ที่ Suzuki บอกว่าดีไซน์สวยกว่าคันเก่าและมีสมรรถนะในการขับขี่ที่ดีกว่า ด้วยราคาขาย 499,000 – 629,000 บาท ซึ่งเป็นราคามาตราฐานที่คู่แข่งเกือบทุกรายในตลาด Eco car ใช้ยืนพื้น
และ All New Suzuki SWIFT ยังเป็นรถ Eco car เฟสสองที่ก่อนจะวางขายต้องทำตามกฎที่ BOI ที่กำหนดสเปกรถไว้ให้เหนือกว่าเฟสแรก
นั้นคือมีอัตราบริโภคน้ำมันต่ำกว่า 23.25 กม./ลิตร,ผ่านมาตรฐานไอเสียระดับยูโร 5 ปล่อยไอเสียน้อยกว่า 100 กรัม/กม. และมีระบบเสริมความปลอดภัยทั้งระบบป้องกันล้อล็อค ABS
ฝันหวานๆ สู่ Top Three
จากรุ่นเก่าเฟสแรกมาสู่เฟสสอง ที่อัพเกรดรถตัวเองจากหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่แปลกที่ Suzuki จะมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองจะขยับตำแหน่งจากอันดับ 5 มีส่วนแบ่งตลาด 13% ขึ้นเป็นเบอร์ 3 ในตลาดด้วยส่วนแบ่ง 20% ในปีนี้ จะเป็นรองก็แค่ Nissan กับพี่ใหญ่อย่าง Toyota
จะว่าเป็นเรื่องง่ายก็คงไม่ใช่เสียทีเดียว เพราะอย่าลืมว่า Nissan เองก็มีข่าวลือมาเป็นระยะ ๆ ว่าเตรียมที่จะส่ง Note รุ่น E Power เข้ามาทำตลาดในปีนี้ จากที่เพิ่งเปิดตัว Note รุ่นธรรมดาเมื่อต้นปี 2017
อีกทั้งอย่าลืมว่า Eco car เฟส 2 นั้นมีค่ายรถเข้าร่วมมากกว่าเฟสแรก ที่น่าสนใจคือยังมีอีกหลายค่ายที่ยังไม่ส่งรถ Eco car เฟส 2 ลงสู่ตลาดมาแย่งชิงยอดขาย
ยิ่งช่วง 2 ปีที่ผ่านมา Eco car เติบโตแบบก้าวกระโดดมียอดขายไล่จี๋รถยนต์กลุ่ม 1,500 CC เข้ามาติดๆ ถือเป็นช่วงที่พีคของ Eco car เลยก็ว่าได้
ปีนี้คงเห็นค่ายรถที่กำสัญญา Eco car เฟสสองอยู่ในมือ ส่ง Eco car คันใหม่เข้ามาในตลาด
Suzuki ที่มี Eco car ในมือ 3 คัน และหวังว่า All New Suzuki SWIFT ที่ตอนนี้มียอดจองชนิดที่ผู้บริหารยิ้มแก้มปริเพราะแค่ในงานMotor Show 2018 ที่ผ่านมามียอดจองรถของ Suzuki จำนวน 2,039 คัน
80% คือรถรุ่น Suzuki SWIFT ที่ในปีนี้ยังไม่มีรถ Eco car คันใหม่จากค่ายอื่นๆ มาวิ่งอยู่ในเลนเดียวกัน
ภารกิจเร่งด่วนของ Suzuki คือต้องเร่งรีบขาย Suzuki SWIFT ให้ได้จำนวนมากในเวลาที่เร็วที่สุด ก่อนที่จะมี Eco Car เฟสสอง คันใหม่โผล่ขึ้นมาบนท้องถนนในปีนี้
อัพเดตข่าวสารการตลาดทุกวันได้
Website : Marketeeronline.co /
ติดตาม Marketeer ได้หลากหลายรูปแบบ