โพทะเล

โพทะเล ชื่อสามัญ Portia tree, Cork tree, Coast cotton tree, Indian tulip tree, Pacific rosewood, Seaside mahoe, Milo, Thespesia, Tulip tree, Rosewood of seychelles, Yellow mallow tree, Umbrella tree[

โพทะเล ชื่อวิทยาศาสตร์ Thespesia populnea (L.) Sol. ex Corrêa (ชื่อพ้องวิทยาศาสตร์ Hibiscus populneus L.) จัดอยู่ในวงศ์ชบา (MALVACEAE)

สมุนไพรโพทะเล มีชื่อท้องถิ่นอื่น ๆ ว่า ปอกะหมัดไพร (ราชบุรี), ปอหมัดไซ (เพชรบุรี), บากู (ปัตตานี, มลายู-นราธิวาส), โพทะเล โพธิ์ทะเล (ภาคกลาง) เป็นต้น

สรรพคุณของโพทะเล

  • ต้นโพทะเลจัดเป็นไม้ยืนต้นขนาดเล็ก มีความสูงประมาณ 8-12 เมตร ลำต้นโค้งและแตกกิ่งในระดับต่ำ ลักษณะของต้นเป็นทรงเรือนยอดแผ่กว้างและค่อนข้างหนาทึบ เปลือกเป็นสีเทาอ่อนหรือสีน้ำตาล มีลักษณะเรียบหรือขรุขระ มีรอยแตกตามยาวเป็นร่อง ๆ ขยายพันธุ์ด้วยวิธีการเพาะเมล็ด โดยจัดเป็นไม้กลางแจ้งที่ชอบแสงแดดจัด เจริญเติบโตได้ดีในสภาพดินแทบทุกชนิดที่มีความชุ่มชื้น และจะพบได้มากที่ดอนหรือตามชายฝั่งทะเลและตามริมแม่น้ำที่เป็นดินร่วนปนทราย มีเขตการกระจายพันธุ์เป็นวงกว้าง สามารถพบขึ้นได้ในแอฟริกา อินเดีย ศรีลังกา จีน ไต้หวัน ญี่ปุ่น เวียดนาม กัมพูชา ฟิลิปปินส์ รวมไปถึงภูมิภาคมาเลเซียและในหมู่เกาะแปซิฟิก สำหรับในประเทศไทยสามารถพบได้ตามชายฝั่งทะเลทั่วไปและยังจัดเป็นพันธุ์ไม้ประจำจังหวัดสมุทรปราการ
  • ใบโพทะเลใบเป็นใบเดี่ยวออกเรียงสลับ ลักษณะของใบคล้ายรูปหัวใจ ปลายใบกว้างแหลมยาวถึงเรียวแหลม ส่วนฐานใบเว้าลึก ขอบใบเรียบ ใบมีขนาดกว้างประมาณ 5-10 เซนติเมตรและยาวประมาณ 8-15 เซนติเมตร และมีเส้นใบออกจากโคนของใบประมาณ 5-7 เส้น ผิวใบด้านบนมีลักษณะเกลี้ยงและเป็นมัน ส่วนท้องใบเป็นสีเทาแกมสีน้ำตาลและมีเกล็ด ส่วนก้านใบมีความยาวประมาณ 16 เซนติเมตร และยังมีหูใบที่มีลักษณะเป็นรูปใบหอก ยาวประมาณ 3-1 เซนติเมตร และหลุดร่วงได้ง่าย
  • ดอกโพทะเลออกดอกตามง่ามใบ ดอกเป็นดอกเดี่ยวหรือดอกคู่ตามซอกใบ ส่วนก้านดอกอ้วนสั้นหรือยาวประมาณ 2-5 เซนติเมตรและมีเกล็ด ดอกมีริ้วประดับ 3 แฉก ร่วงได้ง่าย มีลักษณะเป็นรูปสามเหลี่ยมแคบ ๆ มีความยาวประมาณ 5 เซนติเมตรและมีเกล็ด ส่วนวงกลีบเลี้ยงเป็นรูปถ้วยไม่มีแฉก มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 1.1-1.5 เซนติเมตร ลักษณะคล้ายแผ่นหนังไม่หลุดร่วง ส่วนกลีบดอกเป็นสีเหลือง ลักษณะเป็นรูปไข่ กว้างและยาวประมาณ 6 เซนติเมตร ส่วนโคนกลีบติดกันเป็นรูประฆังและมีจุดสีแดงเข้มอมสีน้ำตาลแต้มอยู่ที่โคนกลีบดอกด้านใน โดยดอกจะบานเต็มที่ภายในวันเดียวแล้วจะเปลี่ยนเป็นสีชมพูแกมสีม่วงอ่อนและเหี่ยวอยู่บนต้น ก่อนที่จะร่วงหล่นในวันถัดมา ส่วนหลอดเกสรตัวผู้ยาวประมาณ 2.05 เซนติเมตร เป็นสีเหลืองจาง ๆ และมีอับเรณูติดอยู่ตลอดตามความยาวของหลอด โดยจะออกดอกในช่วงเดือนกันยายนจนถึงเดือนตุลาคม[1],[4] บ้างก็ว่าออกดอกในช่วงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน[3]
  • ผลโพทะเลผลมีลักษณะค่อนข้างกลม มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 2-3 เซนติเมตร ผลเป็นสันตื้น ๆ 5 สัน มีน้ำยางสีเหลือง มีก้านผลยาวประมาณ 2-8 เซนติเมตร ผลอ่อนเป็นสีเขียวอ่อน ส่วนผลแก่เป็นสีเขียวเข้ม เปลือกผลแข็ง มีวงกลีบเลี้ยงลักษณะคล้ายจานติดอยู่ที่ขั้วของผล เมื่อผลแก่จะแห้งแตกไม่มีทิศทาง ไม่ร่วงหล่นและติดอยู่บนต้น ในผลมีเมล็ดอยู่หลายเมล็ด หรือมีเมล็ด 4 เมล็ดในแต่ละช่อง ลักษณะของเมล็ดยาวรีคล้ายเส้นไหมเป็นสีน้ำตาลอ่อนค่อนข้างแบน ยาวประมาณ 8-1.5 เซนติเมตร โดยผลจะแก่ประมาณเดือนกุมภาพันธ์จนถึงเดือนเมษายน (ออกผลในช่วงเดือนกรกฎาคมถึงเดือนสิงหาคม)

สรรพคุณของโพทะเล

  1. รากใช้กินเป็นยาบำรุง (ราก)
  2. รากใช้เป็นยารักษาอาการไข้ (ราก)
  3. ดอกใช้ต้มกับน้ำนมหยอดหู ใช้สำหรับรักษาอาการเจ็บหู โดยใช้ดอกสดประมาณ 2-3 ดอกนำมาต้มกับน้ำนมครึ่งถ้วยตวง แล้วนำมาหยอดหู จะช่วยแก้อาการเจ็บในหูได้ (ดอก)
  4. เปลือกใช้เป็นยาทำให้อาเจียน (เปลือก)
  5. เมือกที่ได้จากการนำส่วนของเปลือกสดมาแช่น้ำใช้สำหรับรักษาโรคที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินอาหาร (เมือก)
  6. รากใช้เป็นยาระบาย ส่วนใบใช้ทำเป็นยาระบายอ่อน ๆ (ราก, ใบ)
  7. รากใช้เป็นยาขับปัสสาวะ (ราก)
  8. ใบใช้ทำเป็นผงยาสำหรับใช้ใส่รักษาแผลเรื้อรัง แผลสด และช่วยทำให้แผลหายเร็วยิ่งขึ้น ด้วยการใช้ใบแห้งประมาณ 2-3 ใบนำมาบดให้เป็นผงละเอียดแล้วนำมาพอกและทาบริเวณที่เป็นแผล (ใบ)บ้างก็ว่าน้ำต้มจากเปลือกก็นำมาใช้ชะล้างแผลเรื้อรังได้เช่นกัน (เปลือก)
  9. ผลและใบใช้ตำพอกแก้หิด (ผล, ใบ)

ข้อควรระวัง ! : น้ำมันที่ได้จากเมล็ดหากเข้าตาอาจทำให้ตาบอดได้ ดังนั้นควรระมัดระวังให้มาก ส่วนยางจากต้นและเปลือก หากเข้าตาก็ทำให้ตาบอดได้ ส่วนเปลือกมีฤทธิ์ทำให้อาเจียน

ประโยชน์ต้นโพทะเล

  1. ดอก ผล และใบอ่อนสามารถนำมารับประทานได้
  2. ต้นโพทะเลมีดอกที่สวยงาม เป็นไม้โตเร็วและมีดอกขนาดใหญ่ จึงใช้ปลูกเป็นไม้ประดับและให้ร่มเงาได้
  3. ไม้ของต้นโพทะเลมีคุณสมบัติคงทน แข็งแรง ทนปลวก เนื้อไม้เหนียว ไสกบตกแต่งได้ง่าย และขัดชักเงาได้เป็นอย่างดี มีสีแดงเข้มดูสวยงาม จึงสามารถนำมาใช้ทำเป็นเฟอร์นิเจอร์ ทำเครื่องดนตรี หรือทำเครื่องเรือน ใช้ทำกระดานพื้น เครื่องกลึง ด้ามเครื่องมือ ทำคิวบิลเลียด พานท้ายปืน รางปืน ทำพายแจวเรือ กรรเชียง ใช้ทำเป็นถ้วยชามใส่อาหารเนื่องจากไม่มีกลิ่น ฯลฯ
  4. เปลือกสามารถนำมาใช้ตอกหมันเรือ ใช้ทำเชือกและสายเบ็ดได้
  5. ในบางประเทศนิยมปลูกต้นโพทะเลไว้ตามวัดเพราะถือเป็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์
เอกสารอ้างอิง
  1. ศูนย์เทคโนโลยีอิเล็กทรอนิกส์และคอมพิวเตอร์แห่งชาติ.  “โพทะเล“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: nectec.or.th.  [19 ธ.ค. 2013].
  2. โรงเรียนดาราพิทยาคม ตำบลบ้านดารา อำเภอพิชัย จังหวัดอุตรดิตถ์.  “โพทะเล“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: drpk.ac.th.  [19 ธ.ค. 2013].
  3. หนังสือสมุนไพรพันธุ์ไม้มงคลพระราชทานประจำจังหวัด (สุทัศน์ จูงพงษ์).
  4. สำนักงานหอพรรณไม้ สำนักวิจัยการอนุรักษ์ป่าไม้และพันธุ์พืช, กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช.  “โพทะเล“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: dnp.go.th/botany/.  [19 ธ.ค. 2013].
  5. สำนักงานโครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดำริ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี.  “พิษระคายเคืองผิวหนัง โพทะเล“.  [ออนไลน์].  เข้าถึงได้จาก: rspg.or.th.  [19 ธ.ค. 2013].

ภาพประกอบ : www.flickr.com (by Jupiter Nielsen, D.Eickhoff, naturgucker.de, Sharpj99, mingiweng, 阿橋花譜 KHQ Flowers, Lauren Gutierrez, judymonkey17, dinesh_valke, Jardín Botánico Nacional Viña del Mar Chile)

เรียบเรียงข้อมูลโดยเว็บไซต์เมดไทย (Medthai)