ปัจจุบันมีการนำเอานาฏศิลป์รูปแบบต่างๆ หรือจากประเทศอื่นๆ มาผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน เรียกว่านาฏศิลป์ร่วมสมัย การเอานาฏศิลป์แบบอื่นๆ เข้ามาผสมผสานกันไม่ใช่เรื่องผิดแต่เราต้องรู้ว่านาฏศิลป์ไทยคืออะไรเพราะการหลั่งไหลเข้ามาของนาฏศิลป์ต่างชาติไม่ได้ส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมส่วนที่เป็นวิถีชีวิตของคนไทยแต่อาจจะส่งผลกระทบต่อรูปแบบการแสดงของนาฏศิลป์อันเป็นเอกลักษณ์ไทยเนื่องจากนาฏศิลป์ร่วมสมัยค่อนข้างจะได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ชมมากกว่าขณะเดียวกันนาฏศิลป์ไทยก็ได้รับความนิยมลดลงนาฏศิลป์ร่วมสมัยไม่ใช่สิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ แต่เป็นการนำเนื้อหาสาระ เครื่องแต่งกาย และรูปแบบของเดิม มาผสมผสานเพื่อให้มีความสอดคล้องกับสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปเท่านั้นนาฏศิลป์ร่วมสมัยไม่ใช่เรื่องที่ต้องเป็นห่วง หากเรามีความรู้ ความเข้าใจถึงแก่นที่เป็นเอกลักษณ์ของศิลปวัฒนธรรมชาติไทยอย่างแท้จริง ซึ่งมีการถ่ายทอดต่อๆ กันมา ทั้งท่าทาง ภาษา และลีลา หากเรารู้แก่นแท้ของเอกลักษณ์ไทย เรื่องสำคัญที่สุดสำหรับนาฏศิลป์ร่วมสมัยคือมีรากยึดดั้งเดิมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาติไทยนาฏกรรมเป็นมาตรฐาน (หรือแบบแผน)ที่ลงตัวแล้วและเหตุที่เสื่อมลงไปเพราะการขาดการเอาใจใส่ของศิลปินและหน่วยงานที่ทำหน้าที่ทำนุบำรุงด้านศิลปวัฒนธรรมในอดีตบทบาทหน้าที่ของนาฏยศิลป์ก็ได้รับการยกย่องให้มีศักดิ์ศรีสูงถึงเป็นราชูโภค เหล่านาฏศิลปินก็ได้รับการยกย่องเป็นถึง โขนหลวง ละครหลวง ขึ้นชื่อว่าสิ่งใดได้เป็นถึงของในหลวงก็ดีสิ่งนั้นย่อมมีความเป็นที่สุด หากเป็นศิลปะการแสดงก็จะต้องเป็นอย่างที่ประณีตที่สุด ดีที่สุด ความเสื่อมของโขนละครน่าจะเกิดจากการที่คนส่วนใหญ่ขาดความรู้ความเข้าใจในจารีตที่กำกับอยู่อย่างเพียงพอความงามความหมายและความรู้สึกจึงกลายเป็นสิ่งที่ผู้ชมคิดว่าจับต้องไม่ได้ขนบหรือจารีตเหล่านี้ไม่เป็นที่รู้จักหรือเข้าใจกันอีกต่อไปอาจมาจากการที่ขนบนั้นไม่แพร่หลายอย่างเพียงพอที่จะเป็นฐานของการรองรับการถ่ายทอดของสังคมได้ดีพอ
การพัฒนาปรับปรุงมิให้การแสดงของไทยเกิดความซ้ำซากจำเจหรือยึดติดกับวิธีการเดิมๆ ทางหนึ่ง คือ การพัฒนาเรื่องฉาก เวที และเทคนิคสมัยใหม่ รวมทั้งในเรื่องแสงและเสียง ซึ่งมีผลต่อการรับรู้ของผู้ดูแต่การเปลี่ยนแปลงมากเกินไปอาจจะนำไปสู่ความเสียหายหากเปิดใจรับวิทยาการใหม่ๆก็เป็นการปรับปรุงมรดกเก่าให้อยู่รอดได้รักษาความเป็นตัวเองมิให้สูญสลายหากไม่เปลี่ยนแปลงเลยก็จะนำไปสู่ความเสื่อมโทรม
วัฒนธรรมเปรียบเหมือนกระจกที่สะท้อนความแตกต่างในแต่ละสังคมสามารถที่จะกำหนดชนิดของที่อยู่อาศัย อาหารที่จะใช้บริโภคดำรงชีพ อาทิเช่น ชาวฝรั่งเศสเห็นว่า น้ำเหมาะที่จะใช้ชำระล้างสิ่งต่างๆ มากกว่าที่จะนำมาบริโภค แต่ชาวไทยเราใช้น้ำสำหรับดื่มกินและชำระสิ่งต่างๆ หรือ ชาวตะวันตกบริโภคนม ในขณะที่เราให้ทารกดื่มเท่านั้น หรือ ชาวตะวันตกชอบกินเนื้อวัว ในขณะที่ชาวฮินดูถือว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นต้นความแตกต่างเหล่านี้เกิดจากการหล่อหลอมทางวัฒนธรรม มิได้เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติหรือชีวภาพ เพราะความต้องการทางกายภาพกำหนดเพียงว่า มนุษย์ต้องกินเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด แต่มิได้กำหนดว่ามนุษย์จะต้องกินสิ่งใด สิ่งใดกินได้ หรือสิ่งใดกินไม่ได้ หรือหากยกตัวอย่างทางภูมิศาสตร์ ก็จะเห็นว่า มนุษย์ต้องการที่อยู่อาศัยหลบฝนหลบแดด แต่มนุษย์ในแต่ละท้องที่ซึ่งมี“มนุษย์ในสมัยโน้น ก็ต้องมีความต้องการสิ่งที่กล่าวนี้ ไม่ผิดไปกว่ามนุษย์ในสมัยปัจจุบัน จะต่างกันก็ที่มีความต้องการอย่างหยาบหรืออย่างประณีตกว่ากันเท่านั้น ถ้าความต้องการนั้นประณีต เช่นอาหารการกินก็รู้จักหุงต้มให้สะอาดหมดจดและมีระเบียบเรียบร้อยในการกิน ตลอดจนความต้องการอย่างอื่น ก็มีความประณีตเป็นทำนองเดียวกัน เราเรียกหมู่ชนที่มีความประพฤติสืบต่อเป็นประเพณีกันมา ในเรื่องเหล่านี้ว่าเป็นอารยชน คือเป็นคนที่มีวัฒนธรรมสูง ถ้ามีความประพฤติเกี่ยวกับความต้องการเหล่านี้หยาบหรืออยู่ในระดับต่ำเราก็เรียกหมู่ชนนั้นว่าเป็นอารยชนคือเป็นคนป่าเถื่อน หรือเป็นคนมีวัฒนธรรมต่ำ”
อ้างอิงที่มา : https://sites.google.com/site/ajanthus/bthkhwam