การสังเกตุรอยแตกร้าวในอัญมณี
ปฎิเสธไม่ได้ว่า "สี" และ "รอยแตกร้าว" เป็นประเด็นหลักที่นำมาใช้พิจารณากำหนดราคาในอัญมณี เป็นที่ทราบกันว่าแร่รัตนชาติที่มีคุณสมบัติเหมาะสมใช้ทำเครื่องประดับ (สีสันสวยงามและไม่แตกร้าว) นั้นหายาก โดยเฉลี่ยเราพบได้เพียงไม่เกิน 5% ของก้อนพลอยดิบทั้งหมด ส่วนที่เหลือก็ต้องนำไปผ่านขบวนการปรับปรุงคุณภาพ สำหรับเรื่องสีผมเคยกล่าวไปแล้วมากมายหลายครั้งในบทความก่อนๆ แต่ยังไม่เคยพูดถึงหัวข้อเรื่อง"รอยแตกร้าว" ซึ่งมันสำคัญและมันก็มีรายละเอียดพอสมควร ทว่าเป็นมิติที่หลายท่านให้ความสนใจน้อยหรือมองข้ามไปเลย ครั้งนี้เป็นครั้งแรกผมที่จะพูดถึงประเด็นนี้ ถ้าท่านอ่านและทำความเข้าใจได้ ท่านจะได้ประโยชน์ สามารถจำแนกคุณภาพอัญมณีด้วยตนเอง แถมยังมองเห็นภาพรวมของอุตสาหกรรมอัญมณีที่มุ่นอยู่กับการจัดการเรื่องสีและรอยแตกร้าวเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า
"รอยร้าว" (Fissure / Crack) คือเนื้ออัญมณีที่ปริแยกจากกันจนสังเกตุได้ รอยร้าวทำให้มีผนังแยกเป็นสองฝั่ง แต่ไม่มีเนื้ออัญมณีหลุดออก ส่วน "รอยแตก" (Fracture) คือร่องรอยที่เนื้ออัญมณีได้หลุดออกไปแล้วเกิดเป็นรอยแผลบนพื้นผิว รอยแตกมีหลายลักษณะ เช่น รอยแตกลักษณะก้นหอย แบบขั้นบันได ลายเสี้ยนไม้ และแบบขรุขระ เป็นต้น ขึ้นอยู่กับชนิดประเภท ตระกูลของแร่ธาตุนัันๆ เนื่องจากรอยร้าวรอยแตกมีผลต่อการจัดลำดับคุณภาพ ในการประเมินจึงมีการจำแนกประเภทออกอย่างคร่าวๆดังนี้
1.
Internal Fissure : คือรอยร้าวที่อยู่ลึกภายในเนื้อเพชรพลอย
Comment: Internal Fissure ไม่มีผลต่อความคงทนในอัญมณีแต่อย่างใด เพียงแต่ถ้าพบในปริมาณมากก็มีผลต่อความงาม ทำให้ความโปร่งใสลดน้อยลง เป็นเรื่องปรกติที่อัญมณีส่วนใหญ่มี Internal Fissure อยู่ตามธรรมชาติ
ข้อระวัง: อนึ่ง มี Internal Fissure ในพลอยทับทิมสังเคราะห์ที่มนุษย์ประดิษฐ์ขึ้นให้คล้ายคลึงธรรมชาติ เราเรียก "รอยร้าวประดิษฐ์" (Heat Induced cracked Synthetic Rubies) คือการนำทับทิมสังเคราะห์ไปผ่านความร้อนแล้วทำให้เย็นตัวลงอย่างรวดเร็ว ก่อเกิดรอยราวที่ลวดลายสม่ำเสมอคล้ายรังผึ้ง (Honey Comb Pattern) ในขณะที่รอยร้าวในพลอยธรรมชาติจะไม่มีรูปทรงที่ตายตัว (Free Form)
รอยร้าวลักษณะดังกล่าวทำให้พลอยสังเคราะห์ดูคล้ายคลึงธรรมชาติมาก ถ้าเราไม่สังเกตุให้ดีอาจทำให้ไขว้เขวได้ง่าย อาจตรวจได้ยากด้วยกล้องขยาย 10x ดังนั้นถ้าพบลวดลายคล้ายรังผึ้งให้ระแวงไว้ก่อน หรือนำส่งตรวจในห้องแล็ป
2.
Surface Reached Fissure : คือรอยร้าวใกล้ผิวพลอย จนถึงระดับผิวพลอย ซึ่งมีผลต่อความคงทนในอัญมณี
(ภาพแสดงรอยร้าวบนพื้นผิว 3 ทิศทางซึ่งตัดกันและทำมุมต่อกัน)
Comment (1) : Surface Reached Fissure มีผลต่อความคงทนของอัญมณี ขึ้นอยู่กับทิศทา่งของรอยร้าว จำนวนรอยร้าว และตำแหน่งรอยร้าว ยกตัวอย่างเช่น กรณีของรอยร้าวเกิดเป็นขีดสั้นๆในทิศทางเดียว และอยู่ด้านก้นพลอย (Pavillian) ก็ไม่ต้องไปกังวลหรือจัดการกับมัน แต่ถ้าเป็นรอยร้าวตั้งแต่ 2 ทิศทางขึ้นไปและตัดไขว้กันไปมาแบบ V Shape หรือ Y Shape โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไปอยู่ในตำแหน่ง หน้าพลอย (Crown/pavillian) ซึ่งสุ่มเสี่ยงต่อการกระแทก อาจทำให้อัญมณีชำรุดเสียหาย เพราะว่ารอยร้าวสามารถขยายตัวกลายเป็นรอยแตก (เนื้อหลุดออก) ในที่สุด
(2) : Surface reached Fissure สามารถจัดการได้ด้วยวิธีการเชื่อมรอยร้าว โดยเทคนิคที่เรียกว่า "Oxy Heating" (คนไทยเรียกว่า "เผาอ็อกซ์") โดยการใช้ความร้อนและสาร Flux เป็นตัวนำความร้อน แนวคิดคล้ายๆกับการเชื่อมโลหะให้ติดกัน เทคนิคนี้เป็นที่ยอมรับในระดับสากล เพราะว่าเป็นเนื้อพลอยที่หลอมละลายเชื่อมติดกันเอง เพียงแต่อาจจะมีร่องรอยเศษ Flux หลงเหลืออยู่ (Residue) ให้เห็น แต่ถ้าทำอย่างปราณีตก็แทบจะไม่ตกค้างเลยก็ได้ เทคนิดพิเศษนี้จะใช้กับพลอยที่ทนความร้อนสูงในตระกูลคอรันดัม เช่น ทับทิม ไพลิน บุษราคัม ฯลฯ
หมายเหตุ : กรรมวิธี Oxy Heating ไม่สามารถใช้ได้กับ Internal Fissure นะครับ เพราะรอยร้าวมันอยู่ลึกในเนื้อพลอย สารตัวนำความร้อนเข้าไปไม่ถึง อีกทั้งยังใช้ไม่ได้กับ "รอยแตก" เพราะว่าพนังรอยแตกมันกว้างเกินไปจนไม่สามารถเชื่อมเข้าหากัน
3.
Fracture : "รอยแตก" คือบริเวณที่เนื้ออัญมณีได้หลุดออกไป ปรากฏเป็นตำหนิรอยแผลเป็นที่เห็นได้ชัดเจนบนผิวหน้าอัญมณี พื้นที่รอยแตกมีหลายลักษณะต่างๆตามที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้น
Comment : การจัดการกับรอยแตกขนาดเล็กสามารถทำได้ด้วยการขัดกรอให้รอยแตกนั้นราบเรียบหรือหายไป ซึ่งจะทำให้อัญมณีสูญเสียน้ำหนักไป ในปัจจุบันสามารถแต่งเติมรอยแตกด้วยวัสดุ เช่นเรซิ่น แชลแลค (ครั่ง) ที่นิยมใช้ปะฐานของพลอยสตาร์ให้ดูราบเรียบ และแก้วซิลิก้าใข้เติมเต็มรอยแตกที่ผิวหน้าพลอย เราเรียกกรรมวิธีเหล่านี้ว่า "Filler" (วัสดุเติมเต็ม)
4.
Pore & Cavities : "ร่องลึกและรูพรุน" ที่กระจายไปทั่วก้อนอัญมณี
Comment : ในสมัยก่อนอัญมณีลักษณะนี้จะถูกคัดทิ้งไป เรียกว่า "ขี้พลอย" เพราะว่าเนื้อพลอยปราศจากความใส และเนื้อค่อนข้างเปราะบาง แต่ในปัจจุบันสามารถทำประโยชน์ได้ด้วยการ Recycle ผ่านกรรมวิธีที่เรียกว่า Bleaching & Impregnating ("การฟอกล้าง และ การอาบชุบ")
(1) Bleaching คือเทคนิคการขจัดเอาเศษดิน คราบสนิมที่อยู่ในร่องรอยแตกอัญมณีให้ออกไป โดยการฟอกแช่ก้อนอัญมณีนั้นในน้ำกรด เพื่อกัดคราบสิ่งสกปรกออกมา ผ่านขั้นตอนนี้ก้อนพลอยจะสะอาด แต่เนื้อพลอยยังขุ่นจากโพรงอากาศในร่องแตกและรูพรุน
(2) Impregnating เป็นขั้นตอนเพิ่มความใสให้เนื้อพลอยโดยการชุบเรซิ่น หรือแก้วซิลิก้าที่มีค่า RI ใกล้เคียงกับเนื้ออัญมณ๊ วัสดุดังกล่าวจะเข้าไปแทนที่โพรงอากาศ ทำให้ความขุ่นขาวหายไป อนึ่งวัสดุที่ใช้ชุบผสานเนื้อพลอยนี้ อาจมีการแต่งเติมสีลงไปด้วยเพื่อให้ดูกลมกลืนไปกับเนื้อพลอย อัญมณีประเภทหยกก็จะด้วยชุบเรซิ่น (โพลลิเมอร์) เพราะหยกมีความวาวต่ำคล้ายขี้ผึ้ง (Waxy) หยกชุบเรซิ่นมักใช้ชื่อเรียกย่อๆทางการค้าว่า "หยกอาบน้ำ " (น่าจะย่อจาก"อาบน้ำยา") ส่วนทับทิมและแซฟไฟร์เนื่องจากมีความวาวสูงก็จะชุบอาบในแก้วซิลิก้าหลอมเหลว (Molten Silica Glass) โดยอบในเตาที่ความร้อนประมาณ 800 องศาเพื่อให้แก้วละลายซึมเข้าไปในเนื้อพลอย ชื่อเรียกกันในเชิงพาณิชย์ว่า "ทับทิมและไพลินเผาใหม่"
ที่กล่าวมาพอสังเขป คือการรวบรวมตัวอย่างรอยแตกร้าวในลักษณะต่างๆมาให้รู้จัก พวกเราก็คงจะเข้าใจ และสามารถนำไปใช้ในการเลือกหาอัญมณีตามที่ต้องการของท่านได้บ้างนะครับ
ศิริวัฒน์ เจียมอนุสรณ์ (FGA)
23 สิงหาคม 2563