|
คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์
คอมพิวเตอร์ซอฟต์แวร์ หมายถึง ส่วนของโปรแกรมคอมพิวเตอร์ กระบวนการในการ
ทำงาน ตลอดจนเอกสารประกอบที่เกี่ยวข้องในระบบประมวลผลข้อมูลแบบอิเล็กทรอนิกส์
ส่วนประกอบของซอฟต์แวร์
ซอฟต์แวร์สามารถแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ซอฟต์แวร์ระบบ และซอฟต์แวร์ประยุกต์
1. ซอฟต์แวร์ระบบ (System Software) หมายถึง โปรแกรมที่ทำหน้าที่ติดต่อกับส่วนประกอบ
ต่างๆ ของฮาร์ดแวร์คอมพิวเตอร์และอำนวยเครื่องมือสำหรับทำงานพื้นฐานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับ
ฮาร์ดแวร์
ซอฟต์แวร์ระบบประกอบด้วยซอฟต์แวร์ 2 ประเภท คือ
1.1 ระบบปฏิบัติการ (Operating System) หมายถึง ชุดของโปรแกรมที่อยู่ระหว่างฮาร์ดแวร์
และซอฟต์แวร์ประยุกต์มีหน้าที่ในการควบคุมการปฏิบัติงานของฮาร์ดแวร์และสนับสนุนคำสั่ง
สำหรับควบคุมการทำงานของฮาร์ดแวร์ประยุกต์ ตัวอย่างของซอฟต์แวร์ระบบปฏิบัติการที่นิยมใช้ใน
ปัจจุบัน เช่น MS-DOS, UNIX, Windows 8, และ Mac OSX เป็นต้น ระบบปฏิบัติงานมีหน้าที่หลักๆ
คือ
- จัดส่วนประกอบต่างๆ ของระบบคอมพิวเตอร์ เช่น หน่วยประมวลผลกลาง หน่วยความจำ
ที่เก็บข้อมูลสำรองและเครื่องพิมพ์
- จัดการงานในส่วนของการติดต่อกับผู้ใช้
- ให้บริการโปรแกรมประยุกต์อื่น เช่น การรับข้อมูล และการแสดงผล เป็นต้น ปกติแล้ว
โปรแกรมประยุกต์จะถูกเรียกให้เริ่มต้นทำงานผ่านระบบปฏิบัติการ
ระบบปฏิบัติการทำงานอยู่เบื้องหลังการทำงานของผู้ใช้โดยเฉพาะระบบปฏิบัติการบนเครื่อง
เมนเฟรม หรือเครื่องที่มีขนาดใหญ่ก็ย่อมมีการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น เพราะต้องดูแลการทำงานหลาย
อย่างจากผู้ใช้หลายคนพร้อมกัน
- ระบบปฏิบัติการบนเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ ในปัจจุบันนี้ระบบปฏิบัติการบนเครื่อง-
ไมโครคอมพิวเตอร์ที่ได้รับความนิยมจะแยกตามฮาร์ดแวร์ที่ใช้งานได้เป็น 2 ระบบ คือระบบปฏิบัติการ
ทำงานเครื่องไอบีเอ็มพีซี (IBM personal Computer) หรือเลียนแบบไอบีเอ็มพีซี (IBM PC Compatible)
และระบบปฏิบัติการที่ทำงานบนเครื่องแมคอินทอช (Macintosh) โดยปกติแล้วโปรแกรมประยุกต์ใดๆ จะ
สามารถทำงานบนระบบปฏิบัติการตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้น เช่น โปรแกรมไมโครซอฟต์เวิร์ดที่ถูกออกแบบ
มา ให้ทำงานบนเครื่องไอบีเอ็มพีซีก็จะไม่สามารถนำไปใช้งานบนเครื่องแมคอินทอช เพราะเครื่อง
ไอบีเอ็มพีซี จะนิยมใช้ระบบปฏิบัติการของไมโครซอฟต์ที่เรียกว่าเอ็มเอสดอส (MS-Dos) หรืออาจใช้
ระบบที่ใหม่กว่าคือไมโครซอฟต์วินโดวส์ (Microsoft Windows) หรือระบบปฏิบัติการแบบเปิดในตระกูล
ยูนิกซ์ เช่น SCO UNIX หรือ LINUX ในขณะที่เครื่องแมคอินทอชใช้ระบบปฏิบัติการที่เรียกว่า แมคอิน-
ทอชโอเปอเรติงซิสเต็ม (Macintosh Operating System) ซึ่งออกแบบโดยบริษัทแอปเปิล การที่เครื่อง
สองชนิดใช้ระบบปฏิบัติการต่างกันเนื่องมาจากมีหน่วยประมวลผลกลางไม่เหมือนกัน ผู้ที่จะผลิตซอฟต์-
แวร์ คอมพิวเตอร์จะต้องเลือกที่จะผลิตซอฟต์แวร์ให้ใช้บนระบบใดระบบหนึ่ง หรือถ้าจะให้ใช้ได้บนระบบ
ปฏิบัติการทั้งสองชนิดก็ต้องพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาสองชุด
ส่วนมากแล้วผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอรจะไม่สนใจว่าจะใช้ระบบปฏิบัติการใด แต่จะเลือก
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ที่สามารถทำงานให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามต้องการ แล้วจึงพิจารณาว่าซอฟต์แวร์นั้น
ทำงานบนระบบปฏิบัติการชนิดใด แต่ผู้ใช้บางกลุ่มก็เจาะจงเลือกใช้ระบบปฏิบัติการเอ็มเอสดอสเพราะมี
ซอฟต์แวร์ประยุกต์ให้เลือกใช้ได้มากมาย และผู้ใช้บางกลุ่มก็ต้องการใช้เครื่องแมคอินทอชเพราะมีระบบ
โต้ตอบผู้ใช้ได้ง่ายและสวยงาม
- ระบบปฏิบัติการเอ็มเอสดอส (MS-DOS) ผู้ใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบันนี้ มักจะมี
ฮาร์ดดิสก์ติดอยู่ด้วยเสมอ เมื่อผู้ใช้เปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ระบบปฏิบัติการก็จะถูกเรียกจากฮาร์ดดิกส์
มาไว้ในหน่วยความจำของเครื่องเพื่อเตรียมที่จะใช้งานได้ทันทีที่ต้องการ ขั้นตอนที่ย้ายระบบปฏิบัติการ
เข้าสู่หน่วยความจำของเครื่องนั้นเรียกว่าการบูตระบบ (Booting) หรือบูตแสตรป (Bootstrap) ซึ่งมี
ขั้นตอนคือเมื่อเปิดสวิตช์เครื่องคอมพิวเตอร์ขึ้น โปรแกรมเล็กๆ ที่อยู่ในหน่วยความจำรอม (ROM) จะ
เรียกเอาส่วนประกอบพื้นฐานที่จำเป็นของระบบปฏิบัติการจากฮาร์ดดิสก์เข้ามาไว้ในหน่วยความจำหลัก
ซึ่งจะได้ผลลัพธ์บนจอภาพเป็น C > หรือ C:\ > โดยที่หมายถึงดิสก์ไดรฟ์ที่ทำงานอยู่ และเครื่องหมาย
> หมายถึงการเตรียมพร้อมที่จะทำงาน (prompt) จากนั้นผู้ใช้ก็จะสามารถพิมพ์คำสั่งของเอ็มเอสดอสได้
ระบบปฏิบัติการเอ็มเอสดอส
อ้างอิง : http://nattira-jibonly.blogspot.com/2015/08/2-2.html
- ไมโครซอฟต์วินโดว์ หรือที่นิยมเรียกสั้นๆว่า วินโดว์ มีระบบการติดต่อกับผู้ใช้เป็นแบบ
กราฟิกที่มีสีสันสวยงาม และสามารถใช้ได้ง่าย เรียกระบบที่ติดต่อกับผู้ใช้ลักษณะนี้ว่า GUI (Graphic -
user Interface) ซึ่งผู้ใช้บนระบบวินโดว์จะทำงานกับเมนู (menu) และรูปภาพที่เรียกว่าไอคอน (icon)
แทนที่จะเป็นการพิมพ์คำสั่งต่างๆ ดังรูป
ไมโครซอฟต์วินโดว์
อ้างอิง : http://thn25262unit2.blogspot.com/2017/06/blog-post_27.html
เมนูในวินโดว์สามารถแบ่งเป็นพูลดาวน์เมนู (pull down menu) ซึ่งจะเป็นเมนูที่เมื่อทำการเลือก
รายการที่ต้องการแล้วจะมีรายการย่อยถูกดึงลง (pull down) ให้ปรากฏออกมา นอกจากนี้จะมีเมนูอีกชนิด
หนึ่ง เรียกว่า ป๊อปอัปเมนู (pop-up menu) ซึ่งจะปรากฏเป็นหน้าต่างย่อยซ้อนขึ้นมาด้านหน้า เมื่อเลือก
รายการที่ต้องการ
ตัวอย่างของ pull down menu ใน windows 7
ตัวอย่างของ popup menu ใน Windows 7
ระบบวินโดว์มีข้อดีคือ เอื้ออำนวยให้ผู้ใช้สามารถทำงานได้ง่ายโดยการแสดงภาพกราฟิก
บนจอภาพ เมื่อผู้ใช้เปิดเครื่องขึ้นมา และผู้ใช้สามารถใช้เมาส์ในการชี้และคลิกที่ภาพเพื่อเลือกซอฟต์แวร์
ที่ต้องการแทนที่จะต้องพิมพ์คำสั่งเช่นเดียวกับระบบดอส ดังนั้นระบบวินโดว์จึงได้รับความนิยมอย่าง
กว้างขวาง และได้มีการพัฒนาเป็นเวอร์ชันใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง นับจาก Windows 3.0, Windows for-
Workgroup ซึ่งเป็น cooperative multitasking จนมาถึง Windows 95 ซึ่งเป็น preemptive multitasking
และ Windows NT ซึ่งเป็นระบบปฏิบัติการเครือข่ายแบบ Client/Sever และในปัจจุบันได้พัฒนาไปอย่าง
ต่อเนื่อง เช่น Windows 8.1 เป็นต้น
- ระบบปฏิบัติการเครือข่าย (Network operating System หรือ NOS) จะเป็นระบบปฏิบัติการ
ที่ถูกออกแบบมาสำหรับจัดการงานด้านการติดต่อสื่อสารระหว่างคอมพิวเตอร์ และช่วยให้คอมพิวเตอร์
ที่ต่ออยู่กับเครือข่ายสามารถใช้อุปกรณ์ต่างๆเช่น ฮาร์ดดิสก์ หรือเครื่องพิมพ์ร่วมกันได้ ระบบปฏิบัติการ
เครือข่ายมีคุณสมบัติต่างๆ คล้ายระบบปฏิบัติการเอ็มเอสดอสแต่เพิ่มการจัดการเกี่ยวกับเครือข่ายและการ
ใช้อุปกรณ์ร่วมกันรวมทั้งมีระบบการป้องกันการสูญหายของข้อมูลด้วย
ระบบปฏิบัติการเครือข่ายที่นิยมใช้ปัจจุบันจะใช้หลักการประมวลผลแบบไคลเอนต์เซิร์ฟเวอร์
(Client/Sever) โดยส่วนประกอบสำหรับการเรียกใช้แฟ้มข้อมูลและการจัดการโปรแกรมจะทำงานอยู่บน
เครื่องเซิร์ฟเวอร์ในขณะที่ส่วนประกอบอื่นๆ ของระบบปฏิบัติการเครือข่ายจะอยู่บนเครื่องไคลเอนต์ เช่น
การติดต่อกับผู้ใช้ การประมวลผล เป็นต้น การจัดการให้ผู้ใช้เห็นว่างานและอุปกรณ์ทั้งหลายที่ใช้นั้น
เสมือน อยู่บนเครื่องไคลเอนต์เองถือว่าเป็นหน้าที่หลักอันหนึ่งของระบบปฏิบัติการเครือข่าย
- ระบบปฏิบัติการบนเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ เช่น
เครื่องระดับเมนเฟรมได้ถูกพัฒนาขึ้นกว่าสองทศวรรษก่อนที่จะมีเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องระดับ
เมนเฟรม จะนำมาใช้ในด้านธุรกิจและการศึกษา ซึ่งจะมีผู้ใช้งานพร้อมๆ กันจำนวนมาก ทำให้ระบบ
ปฏิบัติการของเครื่องระดับนี้มีการทำงานที่ซับซ้อนมากขึ้น โดยต้องทำการดูแลสั่งงานโปรแกรมพร้อมๆ
กัน จำนวนหลายๆ โปรแกรม (Multitasking) การเข้าใช้งานเครื่องของผู้ใช้จำนวนหลายๆ คน (Multiuser)
การจัดลำดับและแบ่งปัทรัพยากรให้ผู้ใช้ตลอดจนการรักษาความเป็นส่วนตัวและความลับของผู้ใช้
- ระบบปฏิบัติการแบบเปิด (Open Operating System) ในอดีตผู้ที่พัฒนาระบบปฏิบัติการคือ
บริษัทที่ผลิตคอมพิวเตอร์ ดังนั้นระบบปฏิบัติการจึงถูกออกแบบให้สามารถใช้ได้เฉพาะกับเครื่องของ
บริษัท เท่านั้น เรียกระบบปฏิบัติการประเภทนี้ว่า ระบบปฏิบัติการแบบปิด (Proprietary operating system)
ซึ่งแม้แต่ในปัจจุบันนี้เครื่องระดับเมนเฟรมผู้ขายก็ยังคงเป็นผู้กำหนดความสามารถของระบบปฏิบัติการ
ของเครื่องที่ขายอยู่ อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันนี้เริ่มมีแนวโน้มที่จะทำให้ระบบปฏิบัติการสามารถนำไปใช้งาน
บนเครื่องต่างๆ กันได้ (Portable operating system) เช่น ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ (UNIX) เป็นต้น
ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็นระบบปฏิบัติการที่พัฒนาขึ้นในปี ค.ศ. 1971 จากห้องปฏิบัติการเบลล์
ของบริษัท AT & T ซึ่งได้ทำการพัฒนาบนเครื่องมินิคอมพิวเตอร์ของ DEC ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์เป็น
ระบบที่สนับสนุนผู้ใช้งานจำนวนหลายคนพร้อมๆ กัน โดยใช้หลักการแบ่งเวลา (time sharing) ต่อมาใน
ปี ค.ศ. 1970 ได้มีการบริจาคระบบปฏิบัติการนี้ให้กับวงการศึกษาและมีการนำไปใช้ทั้งในมหาวิทยาลัย
และวิทยาลัยต่างๆ นักศึกษาจำนวนมากจึงได้ใช้ระบบปฏิบัติการยูนิกซ์ ทำให้เมื่อนักศึกษาเหล่านั้นจบออก
ไป ทำงานก็ยังคงเคยชินกับระบบปฏิบัติการยูนิกซ์และจัดหามาใช้ในองค์กรที่ทำงานอยู่ ระบบปฏิบัติการ
ยูนิกซ์ จึงได้รับการยอมรับในวงการอุตสาหกรรมและวงการอื่นๆ อย่างแพร่หลาย และมีการใช้งานอยู่
ตั้งแต่เครื่องระดับไมโครคอมพิวเตอร์ไปจนถึงเครื่องระดับซูเปอร์คอมพิวเตอร์
1.2 ตัวแปลภาษาคอมพิวเตอร์ (Translator) ในการพัฒนาซอฟต์แวร์คอมพิวเตอร์นั้น
โปรแกรมเมอร์จะเขียนโปรแกรมในภาษาคอมพิวเตอร์แบบต่างๆ ตามแต่ความชำนาญของแต่ละคน
โปรแกรมที่ได้จะเรียกว่า โปรแกรมต้นฉบับ หรือซอร์สโค้ด (Source code) ซึ่งมนุษย์จะอ่านโปรแกรม
ต้นฉบับนี้ได้ แต่คอมพิวเตอร์จะไม่เข้าใจคำสั่งเหล่านั้น เนื่องจากคอมพิวเตอร์เข้าใจแต่ภาษาเครื่อง
(Machine Language) ซึ่งประกอบขึ้นจากรหัสฐานสองเท่านั้น จึงต้องมีการใช้โปรแกรมตัวแปลภาษา
คอมพิวเตอร์ (Translator) ในการแปลภาษาคอมพิวเตอร์ภาษาต่างๆ ไปเป็นภาษาเครื่อง โปรแกรมที่
แปลจากโปรแกรมต้นฉบับแล้วเรียกว่า ออบเจกต์โค้ด (object code) ซึ่งจะประกอบด้วยรหัสคำสั่งที่
คอมพิวเตอร์ สามารถเข้าใจและนำไปปฏิบัติได้ต่อไป
ตัวแปลภาษาที่มีการใช้อยู่ปัจจุบันจะต่างกันที่ขั้นตอนที่ใช้ในการแปลภาษาให้อยู่ในรูปแบบ
ที่คอมพิวเตอร์สามารถเข้าใจได้ สามารถแบ่งได้เป็น
- แอสเซมเบลอร์ (Assembler) เป็นตัวแปลภาษาแอสเซมบลี ซึ่งเป็นภาษาระดับต่ำให้เป็น
ภาษาเครื่อง
- อินเตอร์พรีเตอร์ (Interpreter) เป็นตัวแปลภาษาระดับสูง ซึ่งเป็นภาษาที่ใกล้เคียงกับ
ภาษามนุษย์ไปเป็นภาษาเครื่อง โดยใช้หลักการแปลพร้อมกับงานตามคำสั่งทีละบรรทัดตลอดทั้ง
โปรแกรม ทำให้การแก้ไขโปรแกรมทำได้ง่ายและรวดเร็ว แต่ออบเจกต์ที่ได้จากการแปลโดยการใช้
อินเตอร์พรีเตอร์ นั้นไม่สามารถเก็บไว้ใช้ใหม่ได้จะต้องแปลโปรแกรมใหม่ทุกครั้งที่ต้องการใช้งาน
- คอมไพเลอร์ (Compiler) จะเป็นตัวแปลภาษาระดับสูงเช่นเดียวกับอินเตอร์พรีเตอร์ แต่จะ
ใช้วิธีแปลโปรแกรมทั้งโปรแกรมให้เป็นออบเจกต์โค้ดก่อนที่จะสามารถนำไปทำงานเช่นเดียวกับแอสเซม-
เบลอร์ ออบเจกต์โค้ดที่ได้จากการแปลนั้นสามารถจัดเก็บไว้เป็นแฟ้มข้อมูลเพื่อให้นำไปใช้ในการทำงาน
เมื่อใดก็ได้ตามต้องการ ซึ่งเป็นข้อดีของคอมไพเลอร์ที่จะนำผลที่ได้จากการแปลนั้นไปใช้งานกี่ครั้งก็ได้
ไม่จำกัด ไม่ต้องเสียเวลาในการแปลใหม่ทุกครั้งทำให้เป็นรูปแบบการแปลที่ได้รับความนิยมอย่างมาก
ในปัจจุบันมีหลักการแปลภาษาคอมพิวเตอร์แบบใหม่เกิดขึ้น คือแปลจากซอร์สโค้ดไปเป็น
รหัสชั่วคราวหรืออินเตอร์มีเดียตโค้ด (Intermediate code) ซึ่งสามารถนำไปทำงานได้ด้วยการใช้โปรแกรม
ในการอ่านและทำงานตามรหัสชั่วคราวนั้นโดยโปรแกรมนี้จะมีหลักการทำงานคล้ายกับอินเตอร์พรีเตอร์
แต่จะทำงานได้เร็วกว่าเนื่องจากรหัสชั่วคราวจะใกล้เคียงกับภาษาเครื่องมาก มีข้อดีคือสามารถนำรหัส
ชั่วคราว นั้นไปใช้ได้กับทุกๆ เครื่องที่มีโปรแกรมตีความได้ทันที
2. ซอฟต์แวร์ประยุกต์ (Application Software) ซอฟต์แวร์ประยุกต์จะเป็นโปรแกรมที่ทำให้
คอมพิวเตอร์สามารถทำงานต่างๆ ตามที่ผู้ใช้ต้องการ ไม่ว่างานด้านการจัดทำเอกสาร การทำบัญชี
การจัดเก็บข้อมูลข่าวสาร ตลอดจนงานทุกๆ ด้าน แล้วแต่ผู้ใช้ต้องการจนสามารถกล่าวได้ว่าซอฟต์แวร์
ประยุกต์ ก็คือซอฟต์แวร์ที่ทำให้เกิดการใช้งานคอมพิวเตอร์กันอย่างกว้างขวาง และทำให้คอมพิวเตอร์
เป็นปัจจัยที่ไม่สามารถขาดได้ในยุคสารสนเทศนี้
ในองค์กรขนาดใหญ่หรืองานที่มีความต้องการเฉพาะด้าน การจัดหาซอฟต์แวร์มาใช้งาน จะใช้
วิธีพัฒนาซอฟต์แวร์ขึ้นมาเอง หรือว่าจ้างบริษัทซอฟต์แวร์เพื่อทำซอฟต์แวร์เฉพาะงานให้ซอฟต์แวร์ขึ้นมา
ใช้เอง ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะเรียกว่า ซอฟต์แวร์เฉพาะงาน (Tailor Made Software) มีข้อดีคือ มีความ
เหมาะสม กับงานและสามารถแก้ไขตามความต้องการได้ ข้อเสียคือ ค่าใช้จ่ายสูงและใช้เวลาสำหรับการ
พัฒนา ปัจจุบันนี้จึงมีโปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่เขียนขึ้นมาเพื่อใช้สำหรับงานทั่วๆ ไปวางจำหน่ายเป็นชุด
สำเร็จรูป เรียกว่า ซอฟต์แวร์สำเร็จรูป (Software Package)
ซอฟต์แวร์ประยุกต์สามารถจำแนกได้เป็น 2 ประเภท คือ
2.1 ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้าน (Special Purpose Software) จะมีความเหมาะสม
กับงานเฉพาะด้าน เช่น โปรแกรมด้านการคำนวณราคาค่าน้ำของแต่ละครอบครัว จะมีประโยชน์กับงาน
ด้านการประปา หรือโปรแกรมสำหรับฝากถอนเงินก็จะมีประโยชน์กับองค์กรเกี่ยวกับการเงิน เช่น ธนาคาร
ซอฟต์แวร์สำหรับงานเฉพาะด้านส่วนมากจะไม่มีการจำหน่ายอยู่ทั่วไป องค์กรที่ต้องการ
ใช้งาน มักจะต้องพัฒนาด้วยตนเอง หรือว่าจ้างบริษัทซอฟต์แวร์พัฒนาให้โดยเฉพาะ อย่างไรก็ตามถึงแม้
จะมีบริษัทซึ่งพัฒนาซอฟต์แวร์เฉพาะด้านมาวางจำหน่ายก็มักจะมีราคาสูงรวมทั้งมีข้อเสนอในการพัฒนา
เพิ่มเติม เพื่อให้เหมาะสมกับองค์กรต่างๆ ด้วย
2.2 ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไป (General Purpose Software) จะเป็นซอฟต์แวร์ที่ออกแบบ
มา สำหรับงานทั่วๆ ไป สามารถนำมาประยุกต์ใช้กับงานส่วนตัวได้อย่างหลากหลาย ทำให้เป็นซอฟต์แวร์
ประเภทที่ได้รับความนิยมสูงสุดในปัจจุบัน ซึ่งส่วนมากจะเป็นซอฟต์แวร์ที่ทำงานอยู่ในเครื่องระดับไมโคร
คอมพิวเตอร์
ซอฟต์แวร์สำหรับงานทั่วไปสามารถแบ่งตามประเภทของงานได้ดังนี้
- ซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Spreadsheet) การทำงบ
ประมาณ หรือการวางแผนแบบต่างๆ ของธุรกิจในอดีตนั้น ต้องใช้กระดาษบัญชีและเครื่องคิดเลขเท่านั้น
แต่ในปัจจุบันได้นำเอาซอฟต์แวร์ตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ผู้ใช้สามารถพิมพ์หัวข้อหรือชื่อของ
ข้อมูล และตัวเลขข้อมูลต่างๆ เข้าในคอมพิวเตอร์ โดยที่ในคอมพิวเตอร์จะมีตารางที่เปรียบเสมือน
กระดาษ บัญชีขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถคำนวณได้ตามสูตรที่ผู้ใช้ทำการกำหนด โดยที่สูตรเหล่านั้นจะไม่
ปรากฏในช่องของข้อมูล หากผู้ใช้เปลี่ยนตัวเลขหรือข้อมูลใดๆ ก็ตามจะเห็นการเปลี่ยนแปลงข้อมูลอื่น
ที่เกี่ยวข้องกันในทันที ปัจจุบันมีผู้ใช้ประโยชน์ของตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์จำนวนมากไม่เฉพาะ
แต่ในทางบัญชีเท่านั้น ยังนิยมใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูลทางสถิติ บริหารการเงิน และอื่นๆ
ตัวอย่างตารางวิเคราะห์แบบอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Spreadsheet)
- ซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word Processing) ปัจจุบันเครื่องคอมพิวเตอร์มากกว่า
85 เปอร์เซ็นต์ ต้องติดตั้งโปรแกรมสำหรับงานพิมพ์เอกสารรวมอยู่ด้วย ซึ่งโปรแกรมนี้ทำให้คอมพิวเตอร์
เป็นเครื่องมือสำหรับสร้าง แก้ไข ตรวจสอบ พิมพ์และจัดเก็บข้อความต่างๆ หนังสือที่จำหน่ายในท้องตลาด
ในปัจจุบันนี้ส่วนมากก็เริ่มต้นจากการพิมพ์ข้อความลงในคอมพิวเตอร์ด้วยซอฟต์แวร์ที่ประมวลคำ
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ (Word Processing)
- ซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishing) ในสมัยก่อนการจัดทำหนังสือ
พิมพ์หรือวารสารต่างๆ นั้นต้องผ่านกระบวนการต่างๆ หลายขั้นตอนซึ่งเรียกว่า การเรียงพิมพ์โดยที่จะ
ต้องมีผู้ตัดต่อรูปภาพที่ต้องการ วาดกรอบของภาพหรือกรอบหัวเรื่องและเขียนข้อความ และนำข้อความ
ภาพ และนำกรอบมาประกอบกันตามแบบที่ออกแบบไว้ การทำงานที่ยุ่งยากเหล่านี้ที่ทำให้เอกสารเหล่า
นั้น มีราคาแพง แต่ในปัจจุบันนี้ถ้ามีคอมพิวเตอร์ และโปรแกรมการจัดพิมพ์แบบตั้งโต๊ะเท่านั้น ก็สามารถ
ที่จะออกแบบงานหรือเอกสารให้เป็นที่น่าสนใจได้ โดยซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะจะมีความสามารถ
ด้านการจัดการเอกสาร ความสามารถด้านการเรียงพิมพ์รวมทั้ง การจัดสีที่สูงกว่าซอฟต์แวร์ประมวลผลคำ
ตัวอย่างซอฟต์แวร์การพิมพ์แบบตั้งโต๊ะ (Desktop Publishimg)
อ้างอิง : http://www.bangkokgis.com/modules.php?m=software&id=2
- ซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software) เป็นซอฟต์แวร์ที่ใช้ในการนำเสนอข้อมูล
ด้วยคอมพิวเตอร์ โดยอาจประกอบด้วยตัวอักษร รูปภาพ แผนผัง รายงาน ตลอดจนภาพเคลื่อนไหว
เป็นต้น นิยมใช้ในการเรียนการสอน หรือการประชุมเพื่อนำเสนอข้อมูลให้การบรรยายนั้นน่าสนใจยิ่งขึ้น
ตัวอย่างซอฟต์แวร์นำเสนอ (Presentation Software)
- ซอฟต์แวร์กราฟิก (Graphic Software) เป็นซอฟต์แวร์สำหรับสร้างภาพกราฟิกแบบ
ต่างๆ การใช้งานในระดับเบื้องต้นอาจนำไปใช้ประกอบการสร้างเอกสาร หรือการนำเสนอข้อมูล ส่วนการ
ใช้ในระดับสูงอาจใช้สำหรับตกแต่งภาพหรือรูปถ่ายหรือใช้สำหรับงานด้านศิลปกรรม สถาปัตยกรรม
วิศวกรรม เป็นต้น
ตัวอย่างซอฟต์แวร์กราฟิก (Graphic Software)
อ้างอิง : http://www.thaigoodview.com/node/50004
- ซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (Database)โปรแกรมฐานข้อมูลเป็นโปรแกรมสำหรับสร้างแฟ้ม
ข้อมูลต่างๆ เก็บไว้ในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ โดยโปรแกรมจะมีเครื่องมือต่างๆ ในการอำนวยความสะดวก
เกี่ยวกับการจัดการแฟ้มข้อมูล เช่น มีเครื่องมือสำหรับการเพิ่มหรือแก้ไขข้อมูลที่จัดเก็บอยู่หรือสามารถ
เรียกแฟ้มข้อมูลนั้นขึ้นมาแสดงบนจอภาพ โดยกำหนดเงื่อนไขให้เลือกข้อมูลมาแสดงเพียงบางส่วน
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ฐานข้อมูล (Database)
อ้างอิง : http://thn245277unit2.blogspot.com/2016/08/blog-post_56.html
- ซอฟต์แวร์สื่อสารโทรคมนาคม (Telecommunication Software) ถ้าผู้ใช้ต้องการ
ติดต่อกับคอมพิวเตอร์ที่อยู่ห่างไกลออกไป สามารถทำได้โดยใช้ซอฟต์แวร์สำหรับติดต่อสื่อสารข้อมูล
ซอฟต์แวร์ประเภทนี้จะจำลองเครื่องคอมพิวเตอร์ให้เป็นเทอร์มินัล (terminal) ที่สามารถติดต่อไปยัง
ระบบคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีผู้ใช้หลายคนได้ โดยใช้สายโทรศัพท์การโทรติดต่อและเมื่อติดต่อได้แล้ว
ก็จะสามารถใช้งานระบบต่างๆ ที่อยู่ในเครื่องนั้นได้เสมือนกับนั่งใช้เครื่องอยู่ข้างๆ เครื่องที่เราติดต่อไป
การใช้งานที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน เช่น ร่วมคุยกับกลุ่มที่สนใจเรื่องเดียวกัน แลกเปลี่ยนจดหมายกับ
ผู้อื่นในระบบ หรือแม้กระทั่งจองตั๋วเครื่องบิน และจองโรงแรมผ่านทางจอคอมพิวเตอร์ เป็นต้น
ตัวอย่างซอฟต์แวร์สื่อสารโทรคมนาคม (Telecomunication)
- ซอฟต์แวร์ค้นหาข้อมูล (Resource Discovery Software) หมายถึง ซอฟต์แวร์ที่เป็น
เครื่องมือสำหรับค้นหาข้อมูลที่ต้องการจากแหล่งข้อมูลในที่ต่างๆ เนื่องจากปัจจุบันนี้ความนิยมในการใช้
การติดต่อสื่อสารผ่านเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เช่น อินเทอร์เน็ต หรือเครือข่ายเชิงพาณิชย์อื่นๆ ช่วยให้
สามารถ เรียกค้นข้อมูลที่้ต้องการทราบได้จากทั่วโลก ตัวอย่างซอต์แวร์ประเภทนี้ เช่น Archie Gopher
และ World Wide Web เป็นต้น
ตัวอย่างซอฟต์แวร์ค้นหาข้อมูล (Resource Discovery Software)
ระดับของภาษาคอมพิวเตอร์
โครงสร้างของข้อมูล
|
|
|