1.4.1
แบ่งตามแกนดิ่งหลักของกล้อง
การจำแนกใช้เกณฑ์แกนดิ่งหลักของกล้อง เป็นเกณฑ์ที่นิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย
โดยเฉพาะในการเขียนแผนที่ (Cartography)
มี 2 ประเภท ดังนี้
1)
ภาพถ่ายดิ่ง (Vertical photograph) คือ
ภาพถ่ายที่ถ่ายโดยให้แกนหลักของกล้องตั้งฉากในแนวดิ่งหรือใกล้เคียงแนวตั้งฉากกับพื้นดินมากที่สุด
ปกติโดยทั่วไปเอียงอยู่ในเกณฑ์ราว 1
องศา (โดยทั่วไปยอมรับเอียงไม่เกิน 3 องศา ถือว่าเป็นภาพถ่ายดิ่ง
หรือที่เรียกว่าภาพถ่ายใกล้ดิ่ง (Near
vertical photograph)) ภาพถ่ายดิ่งระนาบภาพเนกาตีฟจะขนานกับพื้นดินไม่เห็นแนวขอบฟ้า
|
ลักษณะแกนหลักของกล้องถ่ายภาพทางอากาศ |
ประโยชน์ภาพถ่ายดิ่งสามารถใช้ทำแผนที่ได้ง่ายกว่าภาพถ่ายเฉียง จึงนำมาใช้แปลความหมาย จำแนกวิเคราะห์การกระจายของวัตถุและปรากฏการณ์เชิงพื้นที่ได้มากกว่าและใช้งานทำแผนที่อย่างแพร่หลาย
|
|
|
ลักษณะของภาพถ่ายดิ่งสมบูรณ์ |
ภาพถ่ายเฉียงสูง
(High Oblique) |
ภาพถ่ายเฉียงต่ำ (Low Oblique) |
|
|
|
ลักษณะแกนหลักของกล้องและพื้นที่ครอบคลุมของภาพถ่ายทางอากาศ |
2)
ภาพถ่ายเฉียง
(Oblique
photograph) เป็นภาพถ่ายที่ถ่ายโดยให้แกนหลักของกล้องเอียงจากแนวดิ่ง แบ่งเป็น 2
ประเภท ได้แก่
2.1)
ภาพถ่ายเฉียงสูง (High oblique
photograph) แกนหลักของกล้องเอียงมาก ประมาณ 60 องศา ทำให้ปรากฏแนวขอบฟ้า (Horizon) บนภาพถ่าย
การเปิดถ่ายภาพเฉียงสูงแต่ละครั้งครอบคลุมพื้นที่ได้มาก
สามารถใช้ได้ดีถ้าภูมิประเทศเป็นพื้นที่ราบเรียบ (Flat terrain) แต่ถ้าเป็นพื้นที่ที่มีความสูง
ต่ำ เช่น เป็นภูเขา พื้นที่มีอาคารสูง มีต้นไม้
จะบดบังรายละเอียดพื้นที่ที่อยู่ห่างไกลออกไป
2.2)
ภาพถ่ายเฉียงต่ำ (Low
oblique photograph) แกนหลักของกล้องเอียงแต่น้อยกว่าภาพถ่ายเฉียงสูง
เอียงประมาณ 4-30 องศา
แต่ไม่ปรากฏแนวขอบฟ้า ภาพจึงบิดเบี้ยวน้อยกว่า มีการถ่ายภาพเฉียงต่ำด้วยกล้องที่ออกแบบพิเศษ
คือใช้กล้องสองตัวติดกันโดยให้แกนของกล้องเอียงเข้าหากัน ทำมุมกับแนวดิ่ง 8-40
องศา ทั้งนี้เพื่อเพิ่มอัตราส่วนฐานอากาศระดับสูงบิน (Base/Height
Ratio) ซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นภาพ 3 มิติได้ชัดเจนกว่าภาพคู่ซ้อนจากภาพถ่ายดิ่งธรรมดา
และการเปิดถ่ายต้องเปิดหน้ากล้องพร้อมกัน เรียกกล้องแบบนี้ว่า กล้องเฉียงสอบ (Convergent
camera)
1.4.2 แบ่งตามลักษณะการใช้งาน
จำแนกได้
3 ประเภทดังนี้
1) ภาพถ่ายเดี่ยว (Single
photograph) เป็นภาพถ่ายที่ครอบคลุมพื้นที่ที่ต้องการศึกษาทั้งหมดในหนึ่งภาพถ่าย
กรณีนี้อาจเกิดขึ้นได้ถ้าพื้นที่ที่ต้องการศึกษามีขนาดเล็ก
หรือใช้ภาพถ่ายที่มีมาตราส่วนเล็ก
2) ภาพถ่ายเป็นแถว (Strip
photograph) เป็นภาพถ่ายที่บินถ่ายเพียงแนวบินเดียวเหนือพื้นที่สำรวจและภาพถ่ายในแนวบินนั้นต้องเป็นภาพถ่ายที่มีส่วนซ้อนทับกัน
(Overlap)
3) ภาพถ่ายเป็นกลุ่ม (Block
photograph) เป็นภาพถ่ายที่ได้จากแนวบินถ่ายภาพพื้นที่ขนาดใหญ่
ประกอบด้วยภาพถ่ายหลายแนวบิน มีทั้งส่วนถ่ายภาพที่ซ้อนทับกัน และส่วนที่เกยกัน (Sidelap)
1.4.3 แบ่งตามชนิดของฟิล์ม
ฟิล์มถ่ายรูปทางอากาศ
มีทั้งชนิดชนิดขาวดำและสี ฟิล์มขาวดำ เรียกว่า negative
camera มีทั้งแบบ low speed ที่ใช้บินถ่ายสูง
ๆ และฟิล์มที่มีความไวสูงกว่า แต่ Grain หยาบกว่า
ซึ่งเหมาะสำหรับการบินถ่ายภาพต่ำ
ทั้งนี้อาจเลือกตัวกรองฟิล์ม (Filter) เพื่อช่วยในการกรองแสงสว่าง
และกรองแยกแสงในช่วงคลื่นต่าง ๆ
เพราะวัตถุต่าง ๆ ที่ปรากฏบนพื้นผิวโลกส่วนใหญ่แล้วไม่สะท้อนแสงในช่วงอุลตร้าไวโอเลต (UV)
และช่วงคลื่นแสงสีน้ำเงิน ดังนั้นควรเลือกฟิลเตอร์ช่วงคลื่นแสงมากกว่า 500
นาโนเมตร
ซึ่งจะยอมให้ช่วงคลื่นแสงสีเขียว เหลือง ส้ม แดง และอินฟราเรดผ่านเข้ามาได้
โดยทั่วไปมีฟิล์มที่นำมาใช้ในงานถ่ายภาพทางอากาศ 3 ประเภทดังนี้
1)
ภาพถ่ายขาวดำ (Panchromatic) ใช้ฟิล์มที่มีสารเคลือบผลึกเกลือเงินเพียงชั้นเดียวที่มีความไวต่อช่วงคลื่นสายตา
(0.4-0.7 ไมครอน) ไว้เป็นวัสดุฐานรองรับการตกกระทบของแสง
และมีวัสดุฐานที่ไม่ทำปฏิกิริยากับแสงรองรับใต้ผลึกเกลือเงิน ซึ่งอาจทำด้วยกระดาษ
พลาสติกหรือโพลีเอสเตอร์
เมื่อสารเคลือบถูกแสงสีขาวซึ่งเป็นการผสมของแม่สีแสงทั้งสีแดง เขียว และน้ำเงิน (RGB) พันธะระหว่างเกลือกับเงินจะอ่อนตัวเกิดเป็นภาพแฝง เมื่อนำไปผ่านกระบวนการล้างอัดฟิล์ม
บริเวณที่ถูกแสงจะกลายเป็นสีดำตามความเข้มจางของแสงที่สะท้อนจากวัตถุ
หรือบริเวณที่ถูกแสง สารเคลือบจะได้ค่าระดับสีเทา (Gray
Tone) มากกว่าเป็นสีดำสนิท
|
|
ภาพถ่ายขาวดำ (Panchromatic) |
2) ภาพถ่ายสี (Normal Color film) ส่วนประกอบของฟิล์มมีสารเคลือบไว้ถึง 3 ชั้น
โดยชั้นบนสุดไวต่อแสงสีน้ำเงิน ชั้นกลางไปต่อแสงสีเขียว และชั้นล่างไวต่อแสงสีแดง
ตามลำดับและระหว่างชั้นบนกับชั้นกลางมีชั้นกรองรองรับผลึกแกลือเงิน
เมื่อถูกแสงแล้วจะเป็นภาพสีดำเมื่อนำไปล้างสีน้ำเงินจะถูกย้อมเป็นสีเหลืองสีเขียวจะถูกย้อมเป็นสีม่วงแดงหรือ
magenta และสีแดงจะถูกย้อมเป็นสีฟ้าอ่อนหรือ cyan ข้อเสียของฟิล์มสีคืออาจเกิดความคลาดเคลื่อนเชิงตำแหน่งเนื่องจากสารที่เคลือบมีหลายชั้นจึงอาจเกิดปัญหาอันเนื่องมาจากการเคลื่อนของสารเคลือบขณะทำปฏิกิริยากับแสงของชั้นต่างๆทำให้ภาพที่ได้มีความคลาดเคลื่อนเชิงตำแหน่งเกิดขึ้น
|
|
ภาพถ่ายสี |
3)
ภาพถ่ายฟิล์มอินฟาเรด (Infrared
film)
ฟิล์มอินฟาเรดจะมีสารเคลือบไวแสงช่วงคลื่นอินฟราเรด (0.7-14
ไมครอน) แบ่งออกเป็น 2 ประเภททั้งฟิล์มสีและฟิล์มขาวดำ หลักการคือนำฟิลเตอร์กรองแสงสีดำมาใช้เพื่อช่วยดูดกลืนช่วงคลื่นสายตาทั้งหมด กรณีใช้ฟิลเตอร์สีเหลืองจะทำให้แสงตั้งแต่สีเหลืองขึ้นไปถึงสีแดงเข้าไปทำปฏิกิริยากับฟิล์มได้ จุดภาพขาวดำหรือระดับสีเทาบนภาพเกิดจากระดับความเข้มของการสะท้อนรังสีช่วงคลื่นอินฟราเรดของวัตถุ
ฟิล์มอินฟาเรดแบบสี
ส่วนประกอบของฟิล์มสารเคลือบชั้นบนจะไวแสงสีเขียวและอุลตราไวโอเลต ชั้นกลางจะไวต่อแสงสีแดงและอุลตราไวโอเล็ต
และชั้นล่างจะไวต่อช่วงคลื่นอินฟราเรดใกล้ จากนั้นจึงให้ภาพสีผสมเท็จ (False color) ในกระบวนการล้างอัด ทั้งนี้อาศัยคุณสมบัติของการสะท้อนของวัตถุ
ถ้าวัตถุที่สะท้อนช่วงคลื่นสีเขียว สีแดง และคลื่นอินฟราเรด เมื่อนำฟิล์มมาผ่านกระบวนการล้างอัด
จะได้สีน้ำเงิน สีเขียว และสีแดง ตามลำดับ
มีประโยชน์หลายประการ
เช่น ช่วยให้สามารถจำแนกชนิดของพืชได้ง่ายขึ้น แยกตัดหมอกแดดหรือฟ้าหลัวได้
สำรวจพื้นที่ที่มีความชื้น เช่น ทางน้ำและแหล่งน้ำ สามารถจำแนกสาขาของลำน้ำ
กำหนดแนวเขตชายฝั่งทะเล และการจำแนกชนิดของป่าไม้ได้
โดยอาศัยหลักการที่ว่าพืชที่มีใบกว้างสะท้อนได้มากกว่าพืชที่มีใบแคบ ก็จะเห็นโทนภาพจางกว่า
หรือสามารถตรวจหาพืชที่เป็นโรคหรือพืชขาดน้ำได้ดี
หรือในการทหารนำมาใช้ในการตรวจหาสิ่งพลางหรือพัสดุพลางตา
โดยสามารถแยกต้นไม้ที่ตายแล้วกับต้นไม้ปกติ
เนื่องจากพืชจะสะท้อนแสงแตกต่างกันทำให้แยกแยะสิ่งที่พลางอยู่ข้างล่างได้
เพราะสีของใบไม้ปกติจะปรากฏเป็นสีแดง
แต่ต้นไม้แห้งหรือตายจะไม่ปรากฏเป็นสีแดงจะออกเป็นสีจางๆ หรือดำคล้ำๆ
|
|
|
แสดงพืชพรรณบริเวณพื้นที่ลุ่มชื้นแฉะในพื้นที่อุทยาน
Havasu
National Wildlife Refuge, California, USA จากซ้ายไปขวาชนิดภาพแบบ color-infrared,
stretched
color-infrared และnatural
color |
ที่มา
:
Leanne Hanson. USGS. https://eros.usgs.gov/doi-remote-sensing-activities/2015/usgs