เจ้าจิ้งจกน้อยหน้าตาน่ารัก ส่งเสียงร้อง จุ๊ จุ๊ จุ๊ เป็นเอกลักษณ์ คนโบราณเชื่อว่า หากจิ้งจกทักก่อนออกจากบ้าน ถือเป็นลางร้าย แต่หากจิ้งจกตกใส่ ถือเป็นความโชคดี แสดงว่าจิ้งจกบ้านก็มีผลต่อความเชื่อของมนุษย์อยู่ไม่น้อย มีหลายคนที่เกลียดและกลัวจิ้งจกเข้าไส้ อยากจะกำจัดให้หมดไป แต่รู้ไหมว่าน้องก็กลัวคนไม่แพ้กัน อีกทั้งไม่มีพิษภัยที่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
จิ้งจกเป็นสัตว์เลื้อยคลานเครือญาติเดียวกับตุ๊กแกและกิ้งก่า แพร่พันธุ์ไปหลายประเทศทั่วโลก ชนิดที่พบมากที่สุดในประเทศไทยมีอยู่ 2 ชนิด คือ
จิ้งจกบ้านหางหนาม (common house gecko) หางค่อนข้างกลม “มีหนามอยู่เล็ก ๆ อยู่ด้านข้าง” ชนิดนี้เมื่อตกใจหรือระหว่างต่อสู้มัก “หางขาด” ใช้เวลา 2 - 6 สัปดาห์กว่าหางจะงอกใหม่ ขึ้นอยู่กับความยาวที่ขาดออกไป
จิ้งจกบ้านหางแบน (flat-tailed house gecko) สังเกตง่าย ตัวใส หางแบน มีพังผืดที่ตืนมาก มาพร้อมสกิลพลางตัวสุดยอด เมื่อเกาะบนพื้นผิวสีสว่าง ลำตัวมันจะเปลี่ยนสีไปทางเหลืองอ่อน แต่หากเกาะบนพื้นผิวสีเข้ม ลำตัวจะเปลี่ยนเป็นสีเทาเข้ม นี่อาจเป็นที่มาของสุภาษิตที่ว่า “จิ้งจกเปลี่ยนสี” ที่ใช้เปรียบกับคนที่รู้จักปรับตัวเองให้เข้ากับสังคมหรือสิ่งแวดล้อมก็เป็นได้
หุ่นยนต์ยูทิลิตี้ Limbed Excursion Mechanical Utility (LEMUR) กำลังปีนขึ้นรอบนอกสถานีอวกาศนานาชาติ ด้วยระบบยึดเกาะเลียนแบบตีนตุ๊กแก - nasa.gov
ความพิเศษของตีนจิ้งจกมีพลังยึดเกาะผนังได้อย่างเหนือชั้น เกิดจากแรงดึงดูดระหว่างโมเลกุลที่เรียกว่า “แรงแวนเดอวาลส์” ซึ่งอยู่ระหว่างปุ่มล็ก ๆ นับล้านบนฝ่าตีนจิ้งจก นาซ่าจึงไม่รอช้าคิดค้นนวัตกรรมใหม่ คือ “ระบบยึดเกาะตีนจิ้งจกสำหรับหุ่นยนต์อวกาศ” เพื่อใช้สำหรับภารกิจนอกโลกในสภาวะไร้แรงโน้มถ่วง รวมทั้งสภาพแวดล้อมอันโหดร้าย เช่น ร้อนจัด หนาวจัด รังสีเข้มข้น แรงดันสูง
เมื่อนึกถึงบทเพลงที่ทำให้หลายคนรู้จัก “มด” ได้ดีที่สุด คงต้องเป็น “เพลงมดตัวน้อยตัวนิด มดมีฤทธิ์น่าดู” สัตว์ที่มีเสน่ห์ขึ้นชื่อเรื่อง “ความขยัน” มีพละกำลังมากมาย ได้รับการกล่าวขานว่าเป็น “สัตว์ที่แข็งแกร่งที่สุดในโลก” มันสามารถรับน้ำหนักได้ 50 เท่าเมื่อเทียบกับขนาดตัวของมัน อีกทั้งยังมีการดำรงชีวิตที่น่าทึ่ง มีการแบ่งชนชั้นวรรณะอยู่กินกันเป็นอาณาจักร
มดถือได้ว่าเป็นสัตว์ที่ครองโลกนี้ไปแล้ว โดยแพร่กระจายมากกว่า 15,000 สายพันธุ์ทั่วโลก ยกเว้นพื้นที่หนาวเย็นสุดขั้นอย่างทวีปแอนตาร์กติกา อาร์กติก และบางหมู่เกาะ ที่พบเห็นบ่อย ๆ ใกล้ตัวเรามีประมาณ 8 ชนิด ซึ่งมีเอกลักษณ์ไม่ซ้ำกัน
มนุษย์มองว่ามดเป็น "สัตว์รุกราน นักทำลายล้าง" ในครัวเรือน ลามไปถึงภาคการก่อสร้างและการเกษตร หากมองในแง่ดี พวกมันเป็นทั้ง "นักล่าและผู้ย่อยสลาย" ที่สำคัญในระบบนิเวศน์ มาดูกันว่า ประโยชน์อันน่าทึ่งของ “เจ้ามด” มีด้านใดบ้าง
เจ้าแมงที่มีถุงนอนห่อตัวเหมือน “มัมมี่” ชอบเกาะอยู่ตามผนังบ้าน เรียกว่า “หนอนปลอก” ไม่ได้มีนิสัยชอบเจาะผ้าอย่างที่หลายคนเข้าใจ และไม่เป็นอันตรายต่อคน หากเป็นสัตว์ที่ชี้วัดถึงความสกปรกของบ้าน เพราะบริเวณไหนที่มีฝุ่นมาก ๆ ที่นั่นก็จะเป็นแหล่งอาศัยของพวกมันอย่างสบายใจ
หนอนปลอก (Plaster Bagworm) หรือ“ผีเสื้อหนอนปลอกผนังบ้าน” (Household Casebearer) บางคนเรียกว่า “แมงกินฝุ่น” เป็นหนอนของผีเสื้อกลางคืน ญาติสนิทกับ “ผีเสื้อหนอนเจาะผ้า” (Clothes Moth) จอมกัดกินเสื้อผ้าตัวจริง หนอนปลอกมักเก็บกินแต่เศษดิน ฝุ่น ขน เส้นผม ตามพื้นบ้าน และนำมาทอเป็นปลอกห่อหุ้มลำตัวเพื่อป้องกันจากผู้ล่า ในขณะที่หนอนเจาะผ้าจะกินใยฝ้ายเป็นอาหารและนำมาสร้างเป็นปลอกห่อหุ่มตัวเอง
"ศูนย์ชัวร์ก่อนแชร์ สำนักข่าวไทย อสมท" ได้ข้อมูลจาก "รศ.ดร.นันทศักดิ์ ปิ่นแก้ว" อาจารย์ภาควิชากีฎวิทยา ผู้เชี่ยวชาญด้านแมลงจากม.เกษตรศาสตร์ วิทยาเขตกำแพงแสน ว่า หนอนปลอก ไม่ได้มีพฤติกรรมเจาะผ้าอย่างที่โลกออนไลน์แชร์กัน
แม้ว่า “หนอนปลอก” จะสร้างความรำคาญในครัวเรือน แต่ประโยชน์ของมันก็เป็น “ตัวชี้วัดความสกปรกในบ้าน” ได้เป็นอย่างดี แถมยังช่วยกำจัดไรฝุ่น กินเศษซากอินทรีย์ ใยแมงมุม ที่พบในบ้าน รวมถึงช่วย “กำจัดเชื้อรา” ที่พบตามโครงสร้างไม้อีกด้วย หนอนปลอกนั้นช่วยย้ำเตือนมนุษย์ให้หมั่นดูแลความสะอาดของบ้าน หากไม่อยากเห็นน้องบ่อย ๆ เพียงเก็บกวาดทุกอย่างให้ปราศจากฝุ่นและหยากไย่เป็นพอ
ในมุมของห่วงโซอาหาร ศัตรูตามธรรมชาติของหนอนปลอกมีไม่กี่ชนิด เช่น ตัวต่อ นกหัวขวานและนกกระจอก เมื่อพวกมันฟักเป็นตัวเต็มวัย คล้าย “แมงเม่า” บินไปทั่วบ้าน จะกลายเป็นแหล่งอาหารของจิ้งจก ตุ๊กแก กบ และคางคก
ต้นแบบ “Spiderman” หรือ “ไอ้แมงมุม” ที่ใคร ๆ ต่างรู้จัก ถูกนำมานิยามใหม่เป็นซุปเปอร์ฮีโรอย่างเท่ และอาวุธสำคัญที่ไม่พูดถึงไม่ได้นั่นคือ “ใยแมงมุม” ที่ถักทอเส้นใยละเอียดซึ่งไม่มีสิ่งมีชีวิตชนิดใดทำได้ มาพร้อมคุณสมบัติยืดหยุ่นสูงและรับน้ำหนักได้ยอดเยี่ยม
แมงมุม (Spider) เป็นสัตว์สามัญประจำบ้าน ชอบอาศัยอยู่ตามเพดานและมุมห้อง บางชนิดก็ชอบอยู่ตามที่ชื้น ๆ อย่างห้องน้ำ มีความสามารถพิเศษในการปรับตัวให้เข้ากับทุกสภาพเเวดล้อม ไม่เว้นแม้แต่ทะเลทรายที่ร้อระอุ ในถ้ำลึก ภูเขาสูง หรือในน้ำ จึงเป็นเหตุผลที่พวกมันอยู่รอดมาได้ตั้งเเต่ยุค 350 ล้านปีก่อนจนถึงปัจจุบัน
เจ้าแปดขาที่ชอบเข้ามาอยู่ร่วมกับมนุษย์ในบ้าน คือ “แมงมุมพเนจร”(Huntsman spider) เป็นแมงมุมขนาดใหญ่ที่หลายคนกลัว ได้ฉายาว่า “นักล่าแมลงสาบ” ซึ่งเป็นอาหารสุดโปรดปราณของมัน มักซุ่มโจมตีเหยื่อด้วยปากและพิษโดยตรง จึงข้อดีของแมงมุมชนิดนี้ ที่ไม่ทิ้งร่องรอยของใยแมงมุมให้รกบ้าน และเมื่อหวาดกลัวมันจะวิ่งหนีมนุษย์
อีกสายพันธุ์หนึ่งที่มีขนาดเล็ก น่าตาน่ารัก แถม “ไม่กัดคน” เว้นแต่ว่ามันจะรู้สึกถึงอันตราย นั่นคือ “แมงมุมกระโดด” (Jumping spiders) พบเห็นได้ตามบ้านเรือนทั่วไปและสวนหลังบ้าน มีความสามารถกระโดดได้ไกลถึง 10 - 15 เท่าของความยาวลำตัว โดยจะกระโดดไปทั่วเพื่อล่าแมลงเล็ก ๆ มาเป็นอาหาร เช่น แมลงวัน จนถูกเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า "เสือแมลงวัน"
โดยปกติแมงมุมจะชักใยเพื่อปกป้องไข่และตัวเองจากศัตรู หรือไม่ก็ล่อเหยื่อเข้ามาในรัง อีกทั้งยังมีไว้สำหรับลอยตัวและเป็นสะพานเชื่อมไปยังกิ่งไม้ต่าง ๆ
แมงมุมเกือบทุกชนิดมีพิษ ออกฤทธิ์รุนแรงและสร้างความเจ็บปวดแตกต่างกัน เมื่อเราพบเห็นให้ออกห่าง และไม่เข้าไปจับด้วยมือเปล่า
แมลงศัตรูพืชที่สร้างปัญหาสำหรับใครหลายคน มักบินวนเข้ามาตอมบริเวณดวงตา อยู่กับผลไม้เน่า และเป็นพาหะนำโรคต่าง ๆ มาสู่คน พวกมันเป็นแมลงขนาดเล็กที่มีวงจรชีวิตแสนสั้น ซึ่งมีบทบาทสำคัญมากในงานวิจัยด้านพันธุศาสตร์
แมลงหวี่ แมลงวันชนิดหนึ่ง ชอบตอมตามเศษอาหาร กองขยะ ผลไม้และผักเน่าเสีย รวมทั้งคน ชนิดที่พบเห็นได้ทั่วไป มี 3 ชนิด คือ
กลุ่มแมลงหวี่ที่ถูกเพาะในงานวิจัย - nasa.gov
สำหรับประโยชน์อันน่าทึ่งของแมลงหวี่ มีความสำคัญต่อ "วงการแพทย์และงานวิจัยทางชีววิทยา"เป็นอย่างมาก เนื่องด้วยวงจรชีวิตของพวกมันค่อนข้างสั้น โดยเฉลี่ยเพียง 14 วัน และไม่ยุ่งยากต่อการทดลอง นักวิทยาศาตร์จึงนิยมนำมาเป็นสัตว์ทดลองต้นแบบ (model) เพื่อศึกษาทางพันธุศาสตร์และสรีรวิทยาของจุลินทรีย์ในระดับต่าง ๆ เช่น การวางแผนผสมพันธุ์สิ่งมีชีวิต การเกิดโรค วิวัฒนาการชีวิต และการกลายพันธุ์ของสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังใช้ศึกษาวิวัฒนาการชีวิตในพืชและผลไม้บางชนิดที่มีพิษ อย่างผลโนนิ (ลูกยอ) และใบมัสตาร์ด
แมลงหวี่มีประโยชน์มากต่อระบบนิเวศ เพราะพวกมันกินสิ่งเน่าเปื่อย ซึ่งอาจกลายเป็นแหล่งของการติดเชื้อราหรือแบคทีเรีย จึงมีความสำคัญที่ระบบย่อยอาหารของหนู ในการปล่อยสารอาหารกลับคืนสู่ดิน และมีบทบาทเป็นผู้ย่อยสลาย ทำลายมูลสัตว์ หมุนเวียนสารอาหารสำหรับพืช แบคทีเรีย และเชื้อรา
สัตว์เดินช้าที่ไม่มีกระดูกสันหลัง ชอบคลานเนิบ ๆ ตามกำแพง หรือบนทางเท้าหลังฝนตก มาพร้อมกับ “เปลือก” รูปกรวย อีกทั้งเคล็ดลับแห่งความงามทั่วโลกยังได้ประโยชน์มากมายจากเมือกหอยทาก
เรามักพบ “หอยทาก” ทุกที่บนโลก รวมถึงทวีปที่มีอากาศหนาวจัดอย่างขั้วโลกเหนือและใต้! แต่ละสายพันธุ์ก็มีถิ่นฐานแตกต่างกันไป สายพันธุ์ที่พบบ่อยที่สุดในบ้านเรา เห็นจะเป็น “หอยทากในสวน” หรือ Garden Snail มักทิ้งร่องรอยไว้ตามทางเดินและกำแพง
ชีวิตที่เชื่องช้าของหอยทาก เคลื่อนที่ด้วยความเร็วสูงสุดเพียง 1.3 เซนติเมตรต่อวินาที หรือ 47 เมตรต่อชั่วโมง ด้วยการหลั่ง “เมือก” ออกมาจนชุ่ม จากนั้นก็ยืดหดกล้ามเนื้อเท้าไปข้างหน้า เมือกของหอยทากเปรียบเสมือนกาวเจลช่วยในการยึดเกาะและหล่อลื่นในเวลาเดียวกัน ทำให้มันสามารถเดินไปได้ทุกที่แม้ในพื้นผิวขรุขระ
หอยทากกินพืชเป็นอาหารหลัก กินลูกไม้ ใบไม้ รวมทั้งพืชผักในสวน นอกจากนี้ยังกินพืชที่เน่าเปื่อย บางครั้งก็กินซากหอยทากหรือหนอนที่โดนเหยียบ
หลายคนอาจจะคิดว่า “หอยทาก” สร้างความหายนะในนาข้าวและสวน รู้หรือไม่ว่าพวกมันมีคุณค่ามหาศาลต่อสิ่งมีชีวิต