วันเสาร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

ไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทาน




ไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทาน นนทบุรี
            เมื่อวันวิสาขบูชาเวียนมาถึงของทุกรอบปี ชาวพุทธที่ดีจะร่วมกันประกอบพิธีตามหลักของศาสนา เช่น เข้าวัดทำบุญ ฟังธรรม ปล่อยนกปล่อยปลา และอื่นๆในช่วงเช้า ส่วนในช่วงเย็น มีพิธีสำคัญคือการเวียนเทียนรอบปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถานทีสำคัญของวัดที่เราไปเวียนเทียน ผมเองแม้จะไม่ใช่ชาวพุทธที่ดีนักแต่ก็ไม่เคยขาดพิธีนี้ครับ วันวิสาขบูชาปีนี้ผมจะไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทาน นนทบุรีครับ และจะเอารูปและบรรยากาศของงานงานมาฝากทุกท่านครับ

            พิธีการเวียนเทียน คือการนำดอกไม้ธูปเทียนไปเดินเวียนรอบปูชนียวัตถุหรือปูชนียสถาน บางที่เป็นพระพุทธรูป บางที่เป็นพระอุโบสถหรือวิหาร แล้วแต่วัดที่เราไปจัดขึ้นครับ เดินสามรอบครับ เพื่อเป็นการเคารพสถานที่และระลึกถึงคุณของพระรัตนไตร คือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์  ไทยเรารับคตินี้มาจากอินเดียพร้อมๆกับการรับศาสานาพุทธมานับถือนั่นและครับ

เดินทางไปวัดสังฆทาน นนทบุรี

            ผมเองไม่ใช่คนนนทบุรีโดยกำเนิด แต่ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่จังหวัดนี้มานานกว่า 20 ปีแล้ว บ้านอยู่ที่ท่าอิฐ อำเภอเมืองนนทบุรี แต่ไม่เคยไปเวียนเทียนที่วัดสังฆทานเลย ถึงแม้วัดจะอยู่ไม่ไกลจากบ้านผมนัก ผมใช้บริการรถของ ขสมก. สาย 302 เป็นรถปรับอากาศ ท่าต้นทางก็อยู่ที่ท่าอิฐบ้านผมนั่นเอง วิ่งไปสุดสายที่สนามหลวง ราคา 12 บาท ตลอดสาย ผมลงที่ท่าน้ำนนท์ครับ จากบ้านผมถึงท่าน้ำนนท์ใช้เวลาไม่ถึง 20 นาที ต่อจากท่าน้ำนนท์ ผมใช้บริการรถสองแถวเล็กสาย 3 รถวิ่งไปส่งถึงหน้าวัดสังฆทานเลยครับ  ค่าโดยสาร 8 บาท

แวะเที่ยวย่านท่าน้ำนนท์

          15.15 น. ผมมาถึงที่ท่าน้ำนนทบุรี ดูเวลาแล้วมีเวลาเหลือพอที่จะเดินเที่ยวชมบริเวณนี้ได้อีกพักใหญ่ๆเลย สถานที่เด่นๆบริเวณนี้คือ หอนาฬิกาเก่า ศาลากลางเก่าจังหวัดนนทบุรี ท่าเรือด่วน ท่าเรือข้ามฝาก และตัวตลาดท่าน้ำนนท์เองเป็นตลาดเก่าแก่มีมานนานแล้ว เพราะตรงจุดนี้ผู้คนพุกพ่านตลอดวัน เนื่องจากเป็นจุดที่รถเมล์หลายสายผ่าน เป็นชุมทางรถโดยสารเลยครับ แถมเป็นจุดที่เรือโดยสารผ่านเยอะ มีท่าเรือข้ามฝาก เรียกว่าเป็นชุมทางเรือโดยสารก็ว่าได้ คนลงรถต่อเรือ คนขึ้นเรือต่อรถที่นี้สะดวกมาก

ไปที่ท่าน้ำนนท์ ครั้งแรก

            “ พี่ๆ ไปเที่ยวกันไหม “  แฟนสาวของผมโทรมาชวน
            “ ที่ไหนล่ะ “
            “ ท่าน้ำนนท์จ๊ะ “  “ ท่าน้ำมีอะไรดูเหรอ “  “ หอนาฬิกา “ 
ไปดูหอนาฬิกานี่นะ แต่ไม่มีปัญหากับผมอยู่แล้ว ไปไหนก็ได้ขอให้ได้อยู่ไกล้ๆเธอเป็นพอ  ตอนนั้นบ้านของเราอยู่บางนา จากบางนามาที่นี้ก็ไกลมาก ได้นั่งรถเมล์ข้างเธอนานๆ ผมก็มีความสุขมากแล้ว พวกเรามีปัญญาไปเที่ยวไกลๆได้แค่นี้แหละครับ เราสองคนไปถึงท่าน้ำนนท์ก็เวลาช่วงนี้และครับ บ่ายสามกว่าๆ  แต่รถไมวิ่งผ่านท่าน้ำนนท์เราต้องลงเดินผ่านตลาดเก่าก่อนถึงท่าน้ำนนท์
            “ พี่ รู้ไหม วันนี้เป็นวันอะไร “  “ วันเสาร์ไง เราถึงหยุดงานมาเที่ยวได้ “   “ ไม่ใช่วันแบบนี้ วันพิเศษน่ะ “  เธอยังคงถามต่อ
             ผมคิดในใจ  " วันพิเศษอะไรนะ วันเกิดเธอก็ไม่ใช่ แล้วมันวันอะไรล่ะ ตายห่าแล้ว  วันนี้วันวาเลนไทม์  ทำไงดี "  ผมเริ่มเดินช้าลงปล่อยให้เธอเดินขึ้นหน้าไปก่อน สายตาเริ่มมองหาดอกกุหลาบ ผมเจออยู่ร้านหนึ่งเหลือดอกเหี่ยวๆอยู่สองดอกเพราะดอกสวยๆเขาคงขายหมดในช่วงเช้าแล้ว เอาก็เอา  ผมซื้อแล้วซ่อนไว้ในเสื้อแม้จะโดนหนามกุหลาบแทงแถวๆหน้าอกบ้างก็ไม่เป็นไร  ผมจำเหตุการณ์นั้นได้ดี แม้เวลาจะผ่านมานานกว่ายี่สิบปีแล้ว ถึงแม้วันนี้เธอจะจากผมไปนานกว่าสิบปีแล้ว เพราะมันคือครั้งแรกในชีวิตของผมที่ผมมีโอกาสเที่ยวกับแฟน และมันเป็นรักแรกของผม  วันนี้ที่ท่าน้ำนนท์ยังเหมือนเดิม แต่ที่ไม่เหมือนเดิมคือ ผมไปคนเดียวครับ

หอนาฬิกา ท่าน้ำนนท์


            หอนาฬิกาท่าน้ำนนท์ ถูกสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2500 โดยเทศบาลเมืองนนทบุรี ถึงวันนี้หอนาฬิกามีอายุ 57 ปีแล้ว เป็นพี่ผม 10 ปี แต่ยังทำหน้าที่บอกเวลาให้กับผู้คนที่เดินทางผ่านไปมาแถวนั้นได้เป็นอย่างดี  เชื่อไหมครับ ตัวเรือนของนาฬิกาเป็นยี่ห้อ Tag Heuer นาฬิกายี่ห้อดังและราคาแพงของโลก และถือว่าเป็น Tag Heuer เรือนใหญ่ที่สุดของประเทศไทย ถ้าเรามองขึ้นไปเหนือตัวเรือนนาฬิกา เราจะเห็นรูปปั้นไก่ยืนตระหง่าน เดิมทีไม่มีหรอกครับ แต่มีตอนไหนไม่รู้ มีบางกระแสบอกว่า รูปไก่เป็นสัญญลักษณ์ของพรรคการเมืองท้องถิ่นที่มีอำนาจบริหารเทศบาลเมืองนนท์สร้างไว้ แต่ก็ฟังหูไว้หูนะครับ ไม่รู้ว่าเรื่องจริงๆจะเป็นยังไง ใครมีข้อมูลเรื่องนี้ก็แบ่งปันกันบ้างนะครับ

หอนาฬิกาท่าน้ำนนท์ ผ่านร้อนผ่านหนาวมา 57 ปีแล้ว แต่ยังทำหน้าที่บอกเวลาได้เป็นอย่างดี
บางมุม ของหอนาฬิกา
ตัวเรือนนาฬิกาเป็นยี่ห้อ Tag Heuer ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย



เดิมที หอนาฬิกา ไม่มีรูปปั้นไก่อยู่ข้างบนครับ















       ศาลากลางหลังเก่าของจังหวัดนนทบุรี


            เดิมทีก่อนที่จะใช้เป็นศาลากลางจังหวัด เป็นโรงเรียนมาก่อนครับ ชื่อว่าโรงเรียนราชวิทยาลัย ของกระทรวงยุติธรรม เป็นโรงเรียนประจำเพื่อเน้นสอนภาษาอังกฤษแก่นักเรียนที่จะไปเป็นผู้พิพากษา ซึ่งต้องศึกษากฎหมายเป็นตำราจากต่างประเทศ
            ศาลากลางเก่าหลังนี้ สร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2454 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกฏเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6  สร้างขึ้นเพื่อให้เป็นโรงเรียนอย่างที่กล่าวไว้นั่นแหละครับ หลังใหญ่มาก กว้าง 11.55 เมตร ยาว 287.4 เมตร เฉพาะตัวอาคารมีเนื้อที่ 2 ไร่กว่าเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นล่างใช้เป็นที่เรียยนชั้นบนใช้เป็นเรือนนอนของนักเรียน
            ตัวอาคารทำด้วยไม้สักทั้งหลัง เป็นศิลปะทรงยุโรปยุคแรกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ( ทรงไทยประยุกต์ ) ตัวอาคารทาสีไข่ไก่ ประตูหน้าต่างทาสีเขียว หลังคามุงด้วยกระเบื้องลูกฝูก ประดับด้วยงานไม้ลายวิจิตรสร้างแบบพิเศษฝีมืองานไม้ประณีตมาก และด้วยความงดงามของศาลากลางหลังนี้จึงเป็นหนึ่งในคำขวัญประจำจังหวัดนนทบุรี ท่อนที่ว่า “ งามน่ายลศูนย์ราชการ “ จากคำชวัญเต็มๆว่า พระตำหนักสง่างาม ลือนามสวนสมเด็จ เกาะเกร็ดแหล่งดินเผา วัดเก่านามระบือ เลื่องลือทุเรียนนนท์ งามน่ายลศูนย์ราชการ  กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งชาติตั้งแต่ พ.ศ. 2524 แล้วครับ
            ใช้เป็นโรงเรียนเรื่อยมาจนถึง พ.ศ.2469 ในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่ รัชกาลที่ 7 ได้ยุบโรงเรียนนี้ไปรวมกับโรงเรียนวชิราวุธที่กรุงเทพ ต่อจากนั้นอีก 2 ปี คือปี พ.ศ. 2471 ได้ใช้อาคารหลังนี้เป็นศาลากลางจังหวัดนนทบุรี ใช้เป็นศาลากลางเรื่อยมาจนสร้างศาลากลางหลังใหม่ขึ้นในปี 2536 ครับ  ปัจจุบันอาคารหลังนี้ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์จังหวัดนนทบุรี เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของจังหวัดนนทบุรี เสียดายผมมีเวลาน้อย ไม่ได้เข้าไปชมด้านใน เอาไว้คราวหน้าจะพาเข้าไปชมครับ 
ศาลากลางหลังเก่านนทบุรี ด้านหน้าเป็นสถานที่พักผ่อน ติดแม่น้ำเจ้าพระยา

ด้านหน้าอาคาร ตอนเย็นจะมีของกินอร่อยๆมาขายเยอะมาก 

เห็นแล้วนึกถึงครั้งแรกที่ผมมาที่นี่ครับ ของกินอร่อยและราคาถูก













ท่าน้ำนนท์


            ท่าน้ำนนท์ หรือท่าน้ำพิบูลสงคราม 3 เป็นท่าเรือด่วนและท่าเรือข้ามฝาก ตั้งอยู่ด้านหน้าศาลากลางเก่า  ที่นี่ผู้คนจะคึกคักตลอดทั้งวัน เพราะเป็นท่าที่เรือด่วนจอดทุกสาย และเป็นจุดเชื่อมต่อรถโดยสารหลายสายเลยครับ เรียกว่าเป็นชุมทางทั้งทางบกทางน้ำก็ว่าได้ 
            ดูเวลาแล้ว ผมต้องรีบไปวัดสังฆทานแล้วครับ ไปถ่ายรูปเก็บบรรยากาศของวัดไว้ก่อนเสร็จแล้วเวียนเทียนต่อเลย ฝากรูปบริเวณท่าน้ำนนท์ไว้ให้ดูครับ

ท่าเรือข้ามฝาก

ผู้คนคึกคักตลอดวัน จุดรวมการเดินทางทั้งทางน้ำและทางบก

เรือด่วนจอดเทียบท่า รอผู้โดยสาร

ฝั่งตรงข้ามของท่าน้ำนนท์ครับ

สภาพอากาศในวันนั้นช่วงเกือบสี่โมงเย็น

ตัวอาคารท่าน้ำนนท์ มองจากจุดท่าเรือข้ามฝาก

เดินมารอรถสองแถวเล็กสาย 3 ก็มาเจอหลักหินบอกปีสร้างเมืองนนท์

ผมยืนรถรถสองแถวจุดนี้แหละครับ

มุ่งสู่วัดสังฆทาน

            วัดสังฆทาน ตั้งอยู่ที่ 100/1 หมู่ 3 ต.บางไผ่  อ.เมือง จ.นนทบุรี  เดิมเป็นวัดร้าง สันนิษฐานว่าน่าจะสร้างมานานแล้ว อายุน่าจะเกิน 100 ปี แต่ไม่พบบันทึกประวัติของวัด ได้แต่ฟังจากคำพูดของคนรุ่นเก่าที่มีอายุมากๆบ้านอยู่แถววัดเล่าให้ฟัง อายุคนเล่าก็เกิน 80 แล้ว บอกว่าเกิดมาก็เห็นวัดนี้แล้ว เป็นวัดร้างอยู่กลางป่า เคยมีพระมาจำพรรษาบ้างแต่ไม่มีองค์ไหนอยู่ได้ บางองค์ถึงกับมรณภาพก็มี
            ถึงแม้จะเป็นวัดร้าง แต่มีพระพุทธรูปที่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกท่าน “ หลวงพ่อโต “ ศักดิ์สิทธิ์มาก ( เสียดายผมไม่ได้รูปมาเนื่องจากฝนตกหนักลงมาก่อน ) ชาวบ้านบนบานขออะไรก็จะได้สมใจหมายทุกครั้งไป แก้บนด้วยประทัด  ด้วยความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อ ชาวบ้านนิยมถวายสังฆทานต่อหน้าท่าน โดยนิมนต์พระสงฆ์จากวัดอื่นมาทำพิธีรับสังฆทานที่วัดนี้ ด้วยเหตุนี้ชาวบ้านจึงเรียกวัดนี้ว่า วัดสังฆทาน ติดปากมาถึงทุกวันนี้
            เป็นวัดร้างมานานกว่า 100 ปี จนปี พ.ศ. 2511 หลวงพ่อสนอง กตปุญโญ ธุดงค์มาพบเข้า และเห็นว่าเหมาะที่จะเป็นวัดป่าปฏิบัติธรรมเผยแพร่คำสอนของพระพุทธเจ้า แต่ตอนนั้นหลวงพ่อรู้ว่าตัวท่านเองบารมียังไม่ถึงที่จะครองวัดนี้ จึงกลับไปบำเพ็ญเพียร อยู่ตามถ้ำ ตามป่าอีก 6 ปี  ในปี 2517 หลวงพ่อก็กลับมาครองวัดนี้ หลังจากนั้นวัดนี้ก็ได้รับการพัฒนามาจนทุกวันนี้
          วัดสังฆทานเป็นวัดที่มุ่งเน้นปฏิบัติธรรม ตามวิธีของพระป่าพระธุดงค์นั่นแหละครับ มุ่งไปที่การทำสมาธิกรรมฐาน พัฒนาจิตใจ ไม่มีวัตถุมงคลจำหน่ายให้เช่าบูชา มีแต่หนังสือธรรมะกับซีดีธรรมะครับ จุดเด่นอยู่ที่พระอุโบสถที่เป็นเรือนกระจกแปดเหลี่ยม มีหลวงพ่อโตองค์ศักดิสิทธิ์เป็นพระประธานโบสถ์ ทุกวันนี้ยังมีผู้คนไปกราบไหว้ขอพรกันอยู่มาก แต่ไม่มีพิธีแก้บนด้วยประทัดแล้ว หลวงพ่อสนอง ท่านขอไว้ เพราะเสียงของประทัดจะไปทำลายสมาธิของพระหรือผู้ที่มาปฏิบัติธรรม

            16.30 น. ผมมาถึงวัดสังฆทาน แต่พิธีเวียนเทียนเริ่มไปแล้วครับและกำลังจะจบลง ผมเพิ่งรู้ว่า วัดสังฆทานจัดพิธีเวียนเทียนสองรอบ จากเสียงประกาศผ่านเครื่องขยายเสียงของวัด รอบแรกน่าจะ 16.00 น. อีกรอบจะมีขึ้นในเวลา 20.00 น. ผมรอรอบสองทุ่มดีกว่า ตอนนี้ผมก็เดินถ่ายรูปเก็บบรรยากาศไปเรื่อย ๆ ไปชมวัดนี้ด้วยกันนะครับ


พิธีเวียนเทียนรอบแรก 16.00 น.


คนเยอะมากครับ ส่วนใหญ่ก็ถือโอกาสนี้ค้างคืนปฏิบัติธรรมเลย

ผมไปถึงวัด พิธีเวียนเทียนเป็นรอบที่สามแล้วครับ

พิธีเวียนเทียนจบแล้วครับ


เอาธูปเทียนดอกไม้ไปปักไว้ยังจุดที่ทางวัดกำหนดให้ครับ

เห็นพลังศรัทธาชาวพุทธแล้ว อนุโมทนาบุญด้วยครับ

ตรงนี้เป็นลานปฏิบัติธรรม นั่งสมาธิ เดินจงกลม ฟังธรรม

คนเยอะมากๆ มีทุกเพศทุกวัย

ระหว่างรอเวลาเวียนเทียนรอบสองทุ่ม


            ผมยังคงเดินถ่ายรูปไปเรื่อยๆ รอบๆบริเวณของวัด แต่ตอนนี้เริ่มมีลมพัดแรง เมฆฝนเริ่มครึ้มหนาตัวขึ้น  เราจะได้เวียนเทียนรอบสองทุ่มหรือเปล่านะ ไปดูรอบๆวัดกันครับ เดี๋ยวค่อยเข้าไปกราบหลวงพ่อโตขอพรกัน ตอนนี้ในโบสถ์คนแน่นมาก






รูปขบวนรถแห่อัญเชิญพระสารีริกธาตุ ของวัดสังฆทาน จอดอยู่หน้าวัดครับ ข้อมูลไม่ชัดเจนเห็นเขาบอกว่า ทางวัดจะอัญเชิญพระสารีริกธาตุไปให้ประชาชนกราบไหว้ที่หอประชุมเอนกประสงค์ที่ท่าน้ำนนท์ เวลาอันเชิญพระสาริกธาตุกลับวัด จะมีขบวนแห่อัญเชิญสวยงามมาก จัดอยู่ช่วงวันวิสาขบูชานี่แหละครับ จะก่อนหรือหลังไม่แน่ใจ ท่านใดมาอ่านเจอเข้าช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติมด้วยนะครับ

พระอุโบสถเป็นเรือนกระจกแปดเหลี่ยม หลวงพ่อโตศักดิ์สิทธิ์เป็นพระประธานครับ

กุฏิทรงไทย สวยงามมาก ทำด้วยไม้สักทั้งหลัง ตอนนี้ใช้เป็นที่บำเพ็ญกุศพหลวพ่อสนอง กตปุญโญ อดีตเจ้าอาวาสผู้พัฒนาวัดสังฆทาน เป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านละสังขารเมื่อ 24 สิงหาคม 2555 

ที่พักแม่ชี้ หรือผู้หญิงที่มาปฏิบัติธรรม อยู่ติดกับกุฏิทรงไทย

ดูเมฆฝนสิครับ อย่างนี้ฝนตกแน่ๆ ตอนนั้นลมเริ่มพัดแรงด้วย 

อีกมุมหนึ่งของกุฏิทรงไทย 

ทางเดินไปชมกุฏิทรงไทย ร่มรืนมาก ต้นไม้ใหญ่เยอะมากครรับ


ฝนจากฟ้าเย็นกาย เย็นฉ่ำใจด้วยฝนแห่งธรรม

            17.05 น. ฝนก็เทลงมา ไล่ผมไปหลบฝนอยู่ในเต็นท์ใหญ่หน้าวัด เพิ่งมาถึงได้แค่ 30 นาทีเอง ยังเดินไม่ทั่ววัดเลย ยังไม่ได้ไปกราบหลวงพ่อเลย ฝนก็ลงมาตกหนักเสียด้วย แต่ผมก็ยังไม่หยุดถ่ายรูปนะครับ มองดูว่าอะไรถ่ายได้บ้าง อยากถ่ายตอนฝนตกมานานแล้ว
            ขณะที่ผมกำลังมองหามุมถ่ายรูป เสียงแตรของรถสองแถวเล็กที่จอดหน้าวัดก็ดังขึ้น เหมือนจะถามว่า จะมีใครไปด้วยไหม  ผมตัดสินใจวินาทีนั้นเอง กลับก่อนดีกว่าวันหลังมาใหม่ ตกหนักแบบนี้คงหยุดยาก  เก็บกล้องใส่กระเป๋ากล้องไม่ทันด้วยซ้ำ ได้แต่เอากล้องเข้าไปซุกไว้ใต้เสื้อแล้วเอาตัวบังไม่ให้ฝนตกโดนกล้อง วิ่งผ่าสายฝนไปขึ้นรถสองแถวเล็กคันนั้น
          รถสองแถวออกตัววิ่งผ่าสายฝนออกไปเกือบจะพ้นทางเข้าวัดแล้ว ผมหันกลับไปมองวัดสังฆทานผ่านสายฝนที่ตกลงมา ลมพัดยอดไม้เหนือวัดโอนเอนไหวไปมา แม้ผมยังไม่ได้ไหว้พระ ยังไม่ได้เวียนเทียน แต่ใจผมสบายยังไงไม่รู้บอกไม่ถูก

            วันวิสาขบูชา วันที่พระพุทธเจ้า ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน เกิดขึ้นตรงกันในวันเดียวกันอย่างน่ามหัศจรรย์ ผมขอน้อมรำลึกถึงพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ขององค์พระศาสดาของศาสนาพุทธ ตรงนี้แล้วกัน สาธุ 

ในที่สุดฝนก็ตกลงมา 

เย็นกายด้วยสายฝน เย็นใจด้วยสายธรรม

ฝนเริ่มตก ทุกคนหาที่หลบฝน 

อีกหลายวันต่อมา ได้มีโอกาศไปที่วัด เก็บรูปมาฝากเพิ่มเติม





























ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น