สารจาก
ประธานกรรมการ
และรองประธานกรรมการ
คุณเจริญ - คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
|
นับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เมื่อ พ.ศ. 2546 ไทยเบฟประสบความสำเร็จในการรวบรวมธุรกิจสุรา ธุรกิจเบียร์ และธุรกิจที่ต่อเนื่องจากเครื่องดื่มของไทย เข้ามาอยู่ภายใต้กลุ่มบริษัทเดียวกัน และครองตำแหน่งผู้นำด้าน เครื่องดื่มในประเทศไทยนับตั้งแต่นั้นมา เราค่อย ๆ สร้างการเติบโตจากธุรกิจเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไปสู่ธุรกิจเครื่องดื่ม ที่ไม่มีแอลกอฮอล์ และธุรกิจอาหาร อีกทั้งยังได้ขยายตัวขึ้นเป็นผู้นำในภูมิภาคอีกด้วย เราภูมิใจกับความสำเร็จที่ผ่านมา และจะต่อยอดจากความสำเร็จเหล่านี้เพื่อก้าวขึ้นเป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มครบวงจรระดับโลกต่อไป
ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เราได้ขยายธุรกิจเข้าไปในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและตลาดใหม่ ๆ ในต่างประเทศ รวมถึงการสร้าง ตราสินค้าที่มีความหลากหลายสำหรับผลิตภัณฑ์ทุกประเภท หลังจากไทยเบฟเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เมื่อ พ.ศ. 2549 เราเข้าสู่ธุรกิจสก็อตช์วิสกี้ โดยการซื้อกิจการโรงกลั่นสุรา อินเวอร์เฮาส์ ดิสทิลเลอร์ส ในปีเดียวกัน ใน พ.ศ. 2551 เราเจาะตลาดชาเขียวพร้อมดื่มและอาหารญี่ปุ่น โดยการซื้อกิจการกลุ่มโออิชิ ต่อมาใน พ.ศ. 2552 ได้ขยายธุรกิจสู่ประเทศจีน โดยการซื้อกิจการบริษัท ยูนนาน อวี้หลินฉวน ลิเคอร์ จำกัด ใน พ.ศ. 2554 เราได้ขยายสู่ธุรกิจเครื่องดื่มอัดลม โดยการซื้อกิจการเสริมสุข นอกจากนี้ เรายังได้ซื้อกิจการเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชั้นนำของ สิงคโปร์ใน พ.ศ. 2555 ทำให้ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของเราขยายขนาดขึ้นเป็นผู้นำในระดับภูมิภาค และใน พ.ศ. 2560 ที่ผ่านมานี้ เรายังได้ซื้อกิจการวิสกี้รายใหญ่ที่สุดของเมียนมา คือ แกรนด์รอยัลกรุ๊ป (เมียนมาร์ ซัพพลายเชน แอนด์ มาร์เกตติ้ง เซอร์วิสเซส คอมพานี ลิมิเต็ด และเมียนมาร์ ดิสทิลเลอรี่ คอมพานี ลิมิเต็ด) และธุรกิจเบียร์อันดับ 1 ของ ประเทศเวียดนาม คือ ซาเบโก้ (ไซ่ง่อน-เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จอยท์ สต็อก คอร์เปอเรชั่น) ซึ่งเป็นบริษัทที่เก่าแก่ที่สุด บริษัทหนึ่งในภูมิภาค รวมทั้งได้เข้าซื้อร้านเคเอฟซีในประเทศไทยอีกกว่า 250 สาขา
เรามุ่งเน้นการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจของเราในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปพร้อมกันการเติบโตอย่าง ก้าวกระโดดของทั้งภูมิภาค เพราะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นที่ตั้งของประเทศซึ่งมีการเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุด กลุ่มเศรษฐกิจหนึ่งของโลก และสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) คาดการณ์ว่า ภูมิภาคนี้จะก้าวขึ้นเป็น เขตเศรษฐกิจใหญ่อันดับ 4 ของโลกภายใน พ.ศ. 2573 และยังคาดว่า เอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะได้รับประโยชน์จากการเติบโตของการค้าและการลงทุนจากนานาชาติ เนื่องด้วยการมีตลาดแรงงานที่เข้มแข็ง ผู้บริโภคที่อายุน้อยและมีกำลังซื้อ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตของเศรษฐกิจได้เป็นอย่างดี เราเชื่อว่าไทยเบฟมีทีมงานผู้บริหารที่มีความเข้าใจ มากด้วย ประสบการณ์ และมีทรัพยากรที่พร้อมในการดึงศักยภาพขององค์กรออกมาอย่างเต็มที่เพื่อต่อยอดความสำเร็จให้มากยิ่งขึ้น
เราขอขอบคุณคณะกรรมการและคณะผู้บริหารที่ร่วมสร้างการเติบโตมาด้วยกัน รวมถึงพนักงานในอดีตและปัจจุบัน ที่มีความทุ่มเท ตลอดจนท่านที่ปรึกษาที่กรุณาแบ่งปันประสบการณ์อันมีค่า และขอขอบคุณหุ้นส่วนธุรกิจและลูกค้าของเรา ที่ให้การสนับสนุนด้วยดีมาตลอด ความสำเร็จของเราจะเกิดขึ้นไม่ได้ หากปราศจากความร่วมมือทุกภาคส่วน รวมทั้งขอขอบคุณ ในความเชื่อมั่นที่ผู้ถือหุ้นมีให้ไทยเบฟมาโดยตลอด
ทั้งนี้ เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนาองค์กรของเราเพื่อครองความเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มในระดับภูมิภาค และเพื่อความเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมไปด้วยกันต่อไป เราเชื่อมั่นว่าจะมีเรื่องน่ายินดีให้พวกเราได้เฉลิมฉลองร่วมกันอีก ในระหว่างเส้นทางอันยาวไกลที่ไทยเบฟจะก้าวเดินอย่างมั่นคงต่อไป
เจริญ - คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี
ประธานกรรมการ และรองประธานกรรมการ
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
สารจากกรรมการผู้อำนวยการใหญ่
คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี
|
ไทยเบฟเป็นผู้ผลิตเครื่องดื่มชั้นนำของประเทศไทย และปัจจุบันได้ขยายการเติบโตสู่ระดับภูมิภาค อันเป็นผลจากวิสัยทัศน์ พลังขับเคลื่อน และความทุ่มเทของกลุ่มผู้ก่อตั้งและทีมบริหารรุ่นบุกเบิก ในฐานะผู้ดูแลธุรกิจในปัจจุบัน ผมและคณะผู้บริหารขอขอบพระคุณท่านเหล่านั้นที่ได้ช่วยวางรากฐานธุรกิจจนเป็นปึกแผ่น ทำให้พวกเราสามารถเติบโตต่อยอดได้อย่างมั่นคงต่อไป
ความสำเร็จไม่อาจเกิดขึ้นในชั่วข้ามคืนหรือทันทีทันใด และการที่ไทยเบฟสามารถก้าวมาถึงวันนี้ได้ก็เป็นเพราะการสร้างความสำเร็จเล็ก ๆ มากมายที่รวมกันกลายเป็นชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ในที่สุด อาทิ การเข้าซื้อกิจการบริษัท แสงโสม จำกัด การควบรวมธุรกิจสุรากับกลุ่มสุรามหาราษฎรซึ่งเป็นผู้ผลิตสุราภายใต้เครื่องหมายการค้าแม่โขง การเข้าซื้อกิจการโรงงานสุรา 12 แห่งจากรัฐบาล รวมถึงการวางจำหน่ายเบียร์ช้างเป็นครั้งแรกในประเทศไทย ความสำเร็จเหล่านี้ค่อย ๆ สร้างรากฐานที่แข็งแกร่ง ให้กับไทยเบฟในการก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครื่องดื่มครบวงจรระดับสากลผ่านการจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ และขยายสู่ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และธุรกิจอาหาร รวมถึงเสริมทัพความแข็งแกร่งผ่านการขยายธุรกิจสู่ตลาด เมียนมาและเวียดนามในปีที่ผ่านมา
ในปัจจุบัน นอกเหนือจากการเป็นผู้นำในตลาดเครื่องดื่มและอาหารหลากหลายประเภทในประเทศไทยแล้ว ไทยเบฟยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ประกอบด้วยหลากหลายตราสินค้าทั่วภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งล้วนเป็นตราสินค้าชั้นนำในแต่ละประเทศ อาทิ แกรนด์รอยัล วิสกี้ ตราสินค้าวิสกี้อันดับหนึ่งของเมียนมา เบียร์ไซ่ง่อน เบียร์อันดับหนึ่งของเวียดนาม และ100พลัส สินค้าเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ชั้นแนวหน้าของ F&N ในมาเลเซียและสิงคโปร์ หากมองไทยเบฟ ณ วันนี้เปรียบเทียบกับในคราวก่อตั้งบริษัทเมื่อ 15 ปีที่แล้ว จะเห็นว่าบริษัทได้ปรับเปลี่ยนและพัฒนาจากบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในประเทศไทย มาสู่กลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มครบวงจรระดับภูมิภาคในปัจจุบัน การเติบโตดังกล่าวนี้ล้วนมาจากความอุตสาหะและความร่วมแรงร่วมใจของคณะกรรมการบริษัท คณะผู้บริหาร และเพื่อนพนักงาน ซึ่งนำพาให้กลุ่มไทยเบฟของเราสามารถก้าวไกลมาได้อย่างเป็นที่ประจักษ์ในปัจจุบัน และเราภูมิใจที่สามารถนำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภคอันเป็นความภาคภูมิใจของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้แก่ผู้บริโภค ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เราได้สร้างความแข็งแกร่งเสริมสร้างศักยภาพในทุกด้านรวมเป็นพลังในการขับเคลื่อนธุรกิจของเรา ทั้งนี้ บริษัทจะไม่ประมาทกับความสำเร็จที่ได้รับ และจะยังคงเดินหน้าเพื่อก้าวสู่การเป็นกลุ่มบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เครื่องดื่มครบวงจรระดับโลกต่อไปอย่างไม่หยุดยั้ง การเติบโตดังกล่าวนี้มิได้หมายรวมเพียงการเติบโตด้านการเงิน แต่ยังรวมถึงการสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ผู้บริโภค และคู่ค้า เพื่อให้ได้รับประโยชน์จากการเติบโตร่วมกันผ่านการสร้างนวัตกรรมด้านสินค้าอย่างต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ความต้องการและความพึงพอใจของผู้บริโภค และเพื่อสร้างประโยชน์
ร่วมกันกับพันธมิตรทางธุรกิจ ซัพพลายเออร์ ตลอดจนตัวแทนจำหน่าย เพื่อสร้างผลตอบแทนแก่ผู้ถือหุ้นได้มากยิ่งขึ้น ไทยเบฟมิได้สนใจเพียงความสำเร็จระยะสั้น แต่บริษัทต้องการสร้างธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืน ดังนั้นเราจึงวางแผนกลยุทธ์การดำเนินงานด้วยความรอบคอบ ประเมินสภาวะธุรกิจในระดับมหภาค ประเมินโอกาส รับมือกับความท้าทาย พัฒนาแผนงาน โดยคำนึงถึงปัจจัยระยะกลางและระยะยาวเสมอ เพราะท้ายที่สุดแล้ว เราต้องการให้ไทยเบฟเป็นผู้นำในตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างมั่นคงและยั่งยืน
แม้บริษัทเพิ่งเริ่มดำเนินการมาได้เพียง 15 ปีในนามไทยเบฟ แต่จากประสบการณ์ในธุรกิจเครื่องดื่มเกือบครึ่งศตวรรษ ไทยเบฟเชื่อมั่นและมุ่งมั่นที่จะทำให้กลุ่มบริษัทของไทยเบฟและบริษัทในกลุ่มทั้งหมดก้าวเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรระดับภูมิภาคไปอีกตราบนานเท่านาน
ฐาปน สิริวัฒนภักดี
กรรมการผู้อำนวยการใหญ่
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
“พระครุฑพ่าห์”
เกียรติประวัติอันสูงค่าบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้รับพระราชทาน ตราตั้ง “พระครุฑพ่าห์” ซึ่งสะท้อนความหมายของการเป็นบริษัท ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอันน่าภาคภูมิใจยิ่ง |
เมื่อวันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556 พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้ และถือเป็นเกียรติยศและความภาคภูมิใจสูงสุดของบริษัทที่จะตราตรึงอยู่ตลอดไป
บริษัทห้างร้านและธุรกิจเอกชนแห่งใดที่มีรูปพระครุฑพ่าห์ที่มีข้อความว่า “โดยได้รับ พระบรมราชานุญาต” ประดิษฐานที่ด้านหน้าอาคาร ย่อมหมายถึงความมีเกียรติภูมิอันสูงยิ่ง อย่างเป็นที่ประจักษ์ โดยบริษัทห้างร้านที่จะได้รับพระราชทานตราตั้งจะต้องมีคุณสมบัติที่สมกับเกียรติยศ เช่น จะต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล หรือได้จดทะเบียนแล้วโดยชอบด้วยกฎหมาย ได้ทำการติดต่อกับกรมกองต่าง ๆ ในพระราชสำนักมาก่อน มีฐานะการเงินดี เป็นที่เชื่อถือของมหาชนมานานพอสมควร ประกอบการค้าขายโดยสุจริต ตั้งอยู่ในศีลในธรรม และไม่เคยมีความผิดฐานทุจริตเป็นปฏิปักษ์ต่อความรู้สึกของมหาชน ซึ่งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้ประกอบกิจการค้ากับพระราชสำนักมาเป็นเวลายาวนาน อีกทั้งได้ถวายความจงรักภักดีอย่างสูงสุดแด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร และพระบรมวงศานุวงศ์ ทุกพระองค์ตลอดมา
ถวายความจงรักและภักดี
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ให้ความสำคัญอย่างสูงสุดต่อการยึดมั่นและปฏิบัติตน เพื่อแสดงความเคารพเทิดทูน และแสดงออกถึงความจงรักภักดีต่อสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน พร้อมเป็นผู้จัดและเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ที่ทางรัฐบาลได้กำหนดขึ้นเนื่องในวาระสำคัญต่าง ๆ ด้วยความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้
พนักงานและผู้บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน ) เข้าร่วมกิจกรรม Bike for Mom “ปั่นเพื่อแม่” และ Bike for Dad “ปั่นเพื่อพ่อ” อย่างพร้อมเพรียงกันทั่วประเทศ เพื่อเปิดโอกาสให้พนักงานในจังหวัดต่าง ๆ ได้มีส่วนร่วมในการถวายความจงรักภักดี เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2558 และวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2558
คณะกรรมการและผู้บริหารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ร่วมถวายความจงรักภักดีเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2561 และวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 เมื่อวันที่ 12 สิงหาคม พ.ศ. 2561
เส้นทางสู่ความสำเร็จ
เรื่องราวแห่งการก่อร่างสร้างธุรกิจในยุคบุกเบิก จากปณิธานอันมุ่งมั่นของผู้ก่อต้ัง ผสมผสานการรักษาคุณค่า และตำนานการกลั่นสุราไทยจนกลายเป็นธุรกิจที่เติบโต และพัฒนาจนก้าวไกลสู่สายตาชาวโลก |
ปณิธานผู้ก่อตั้ง
ผู้ก่อตั้งและวางรากฐานอันมั่นคงให้กับบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คือคุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ผู้ก่อตั้ง ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ในการทำธุรกิจควบคู่ไปกับการเกื้อกูลสังคมมาตั้งแต่ ยุคบุกเบิก ได้สร้างฐานรากอันแข็งแกร่งให้ธุรกิจต่อยอด การเติบโตต่อมาจนถึงปัจจุบัน
คุณเจริญ สิริวัฒนภักดี ในวัยเยาว์เติบโตในย่านการค้า ใกล้ตลาดเก่าและถนนทรงวาด จึงชอบค้าขายมาตั้งแต่เด็ก โดยเริ่ม ทำการค้าเล็ก ๆ ด้วยเงินลงทุน 100 บาทที่อาม่าให้มา เมื่ออายุได้ประมาณ 15 ปี มีญาติผู้ใหญ่แนะนำให้ไปค้าขายในโรงงานสุราบางยี่ขัน โดยเป็นการขายสินค้าของใช้ทั่ว ๆ ไปในโรงงานสุรา
ด้วยความคิดที่ต้องการทำประโยชน์ควบคู่กันไปกับการรักษา สิ่งแวดล้อม คุณเจริญจึงเริ่มต้นธุรกิจเล็ก ๆ ด้วยการซื้อขวดเก่า เศษแก้ว และเศษกระดาษที่ไม่ใช้แล้วรอบบริเวณนั้นไปขายให้โรงงานผลิตขึ้นมาใหม่ จากจุดเล็ก ๆ ก็เริ่มพัฒนาไปสู่ธุรกิจ ที่ใหญ่ขึ้นในเวลาต่อมา คือขายเครื่องจักรในการบรรจุสุรา การกลั่นสุรา ให้โรงงาน จึงมีโอกาสได้รู้จักใกล้ชิดกับคุณจุล กาญจนลักษณ์ ผู้เชี่ยวชาญการปรุงรสสุรา โดยเฉพาะสูตร “แม่โขง” ด้วยความเป็นคนมีสัมมาคารวะและมีความอ่อนน้อมถ่อมตน ทำให้คุณเจริญได้รับความไว้วางใจจากคุณเถลิง เหล่าจินดา ซึ่งเป็นผู้บริหาร ระดับสูงของโรงงานสุราบางยี่ขัน ต่อมาใน พ.ศ. 2519 คุณเจริญ ร่วมกับคุณเถลิง เหล่าจินดา และคุณจุล กาญจนลักษณ์ ได้เข้าซื้อกิจการโรงงานสุราเอกชน คือบริษัท ธารน้ำทิพย์ จำกัด ผู้ผลิตธาราวิสกี้ (ภายหลังได้เปลี่ยนชื่อเป็นบริษัท แสงโสม จำกัด) และเริ่มต้นผลิตสุรา “แสงโสม” เป็นครั้งแรก
2 ปีต่อมา ได้ก่อตั้งกลุ่มทีซีซี (กลุ่มสุราทิพย์) เมื่อ พ.ศ. 2521 โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะเข้าประมูลซื้อสัมปทานโรงงานสุราบางยี่ขันซึ่งเป็นโรงงานสุราที่ใหญ่ที่สุดในขณะนั้น ทว่าไม่ประสบผลสำเร็จ ในการประมูล อย่างไรก็ตาม ด้วยความพยายามอย่างไม่ย่อท้อ ในที่สุดผลแห่งความเพียรก็สำเร็จใน พ.ศ. 2522 กลุ่มสุราทิพย์ชนะการประมูลโรงงานสุราหลายแห่งในหลายจังหวัดซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดรวมร้อยละ 15 แต่สถานการณ์ทางธุรกิจก็เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากคู่แข่งทางธุรกิจรายใหญ่ คือโรงงานสุราบางยี่ขันของกลุ่มสุรามหาราษฎรมีสัมปทานการผลิตสุรา ซึ่งมีส่วนแบ่งการตลาดถึงร้อยละ 85 มีต้นทุนการผลิตต่ำกว่า กลุ่มสุราทิพย์เป็นอย่างมาก
ต่อมาใน พ.ศ. 2526 ก่อนสัญญาสัมปทานเดิมจะสิ้นสุดลง 2 ปี รัฐบาลได้เตรียมการเปิดประมูลสัมปทานโรงงานที่เหลืออีก ร้อยละ 85 แต่กำหนดเงื่อนไขที่เปลี่ยนไปจากเดิมว่า ผู้ชนะการประมูล ต้องวางเงินสดล่วงหน้าร้อยละ 5 ของมูลค่าการประมูล จากเดิมที่สามารถใช้หนังสือค้ำประกันจากธนาคารพาณิชย์ เป็นหลักประกัน นอกจากนี้ผู้ชนะยังต้องสร้างโรงงานสุราอีก 12 โรงงาน กระจายไปทั่วประเทศ และต้องพร้อมที่จะเปิดดำเนินการได้ ใน พ.ศ. 2528 ทันที ซึ่งแตกต่างจากเงื่อนไขเดิมที่ให้เวลา ผู้ชนะการประมูลเตรียมการผลิตหลังได้สัมปทานถึง 2 ปี ดังนั้น ผู้ชนะการประมูลตามเงื่อนไขใหม่จึงต้องแบกรับภาระหนักมาก ทั้งการลงทุนและดอกเบี้ย อย่างไรก็ตาม เพื่อให้ชนะการประมูล คุณเจริญจึงยื่นประมูลด้วยราคาที่สูงกว่ารายได้ที่รัฐบาลเคยได้รับ จากการให้สัมปทานที่ผ่านมา เพราะมีความมั่นใจว่ามีผู้ชำนาญการ ด้านเทคนิคผลิตสุราที่มีประสบการณ์มากกว่า 50 ปี และยังได้วางแผนงานที่จะปรับปรุงการผลิตให้ทันสมัย โดยรับบุคลากร ที่สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาเข้าร่วมงานกับบริษัท
อย่างไรก็ตาม การแข่งขันทางการค้าระหว่างกลุ่มสุราทิพย์ กับกลุ่มสุรามหาราษฎรเป็นไปอย่างหนักหน่วงและทำให้ทั้งสองกลุ่ม ประสบอุปสรรคทางการเงิน รัฐบาลในยุคนั้นจึงกำหนดให้ ทั้งสองกลุ่มรวมกันเพื่อผลประโยชน์สูงสุดในการจัดเก็บภาษี
ต่อมาเมื่อสัญญาสัมปทานสิ้นสุดลงใน พ.ศ. 2542 รัฐบาล ได้เปิดเสรีในธุรกิจแอลกอฮอล์ ทำให้การค้าสุราและเบียร์เป็นไป โดยเสรี ผลปรากฏว่ากลุ่มโรงงานแสงโสมเป็นผู้ชนะการประมูลโรงงานสุราทั้งหมดด้วยเงิน 15,000 ล้านบาท ทำให้สามารถผลิตและจำหน่ายสุราหลายชนิดไปทั่วประเทศ รวมทั้งยังมีการส่งไปจำหน่ายยังต่างประเทศอีกบางส่วน
จากดำริที่ว่าควรมีเบียร์ที่มีความเป็นไทย “กินแล้วภาคภูมิใจ เบียร์คนไทยทำเอง” ดังนั้นจึงเริ่มการผลิต “เบียร์ช้าง” และใช้โลโก้ “ช้าง” ซึ่งถือเป็นสัตว์คูู่บ้านคู่เมืองเป็นสัญลักษณ์ เบียร์ช้าง ได้รับความนิยมทั้งในประเทศและต่างประเทศว่าเป็นเบียร์คุณภาพดี ในราคาย่อมเยา ใน พ.ศ. 2541 เบียร์ช้างได้รับรางวัลเหรียญทอง ในการประกวดเบียร์ที่ประเทศออสเตรเลีย และยอดขายเติบโตขึ้นเป็นลำดับ
สืบสานตำนาน “สุรา” ภูมิปัญญาตำรับไทย
อ้างอิงข้อมูลจาก: จดหมายเหตุลา ลูแบร์ เล่ม 1, พระนคร: คุรุสภา, 2505
หลักฐานเกี่ยวกับสุรากับวิถีชีวิตชาวสยามมีมาเนิ่นนาน และปรากฏชัดเจนมากขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา จากบันทึกของชาวต่างชาติที่เดินทางมาติดต่อค้าขายและเจริญสัมพันธไมตรี เช่น ซีมง เดอ ลา ลูแบร์ ราชทูตชาวฝรั่งเศสในพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซึ่งเดินทางมาสยามในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทำสุราพื้นเมืองที่ชาวสยาม ทำขึ้นดื่มเอง มีสุราแช่จำพวกกะแช่และน้ำตาลเมา เป็นพื้น ทำจากพืชท้องถิ่น เช่น ลูกตาล และมะพร้าว แล้วนำมาเข้ากระบวนการหมักบ่มกับพืชสมุนไพร ท้องถิ่น และนอกจากสุราแช่แล้ว ลา ลูแบร์ ยังกล่าวถึง ชาวสยามว่ายังนิยมดื่มสุรารสแรงที่กลั่นจากข้าว ดังความตอนหนึ่งว่า
“แต่เพราะในเมืองร้อนการดองน้ำกะแช่เนือง ๆ ไป ก็ชักให้ชาวสยามต้องการจะทวีแรงสุราให้เมาหนักขึ้น จึงพากันชอบนิยมดื่มแอควาวิตออย่างแรงที่สุด ยิ่งกว่าสุราอย่างอื่น ๆ ชาวสยามทำสุรานี้ด้วยข้าว ที่เคยทำกันนั้นหมักไว้กับน้ำปูน สุราที่ทำด้วยข้าวนี้ ชั้นแรกก็ทำเป็นเบียร์ แต่ชาวสยามไม่ดื่มเบียร์แต่กลั่น เป็นแอควาวิตอ ซึ่งชาวสยามเรียกเหล้า ฝรั่งโปรตุเกส เรียกอาแรก เป็นคำอาหรับ ซึ่งน่าจะแปลว่ากลั่น บางทีก็เรียกว่าเอสเซนต์ก็คือแอควาวิตออย่างดีนั่นเอง อนึ่งน้ำส้มสายชูทำด้วยเบียร์ข้าวนั้นด้วยก็มี”
จากบันทึกของลา ลูแบร์ แสดงให้เห็นว่า ชาวสยาม รู้จักการทำสุราหลายชนิด ทั้งสุราแช่และสุรากลั่น แต่ “ชาวสยาม” ในที่นี้อาจไม่ใช่คนพื้นถิ่นทั้งหมด แต่เป็นคนเชื้อชาติอื่นที่เดินทางเข้ามาตั้งถิ่นฐาน ในกรุงศรีอยุธยา โดยเฉพาะชาวจีนที่มีภูมิปัญญา ในการกลั่นสุราเป็นอย่างดี การผสมผสานวัฒนธรรม และรสนิยมหลากหลายเชื้อชาติ นำมาซึ่งรสชาติชั้นเลิศ อันมีรากฐานที่สืบทอดทางภูมิปัญญาและมีวิวัฒนาการต่อมาหลายชั่วอายุคน
เปิดตำนานโรงงานสุราบางยี่ขัน
โรงงานสุราบางยี่ขันเป็นตำนานที่ได้ถูกกล่าวขานถึง ในวรรณคดีไทยหลายเรื่อง สะท้อนให้เห็นประวัติศาสตร์ อันยาวนานที่โรงกลั่นแห่งนี้อยู่คู่วิถีชีวิตผู้คนมาเนิ่นนาน ดังเช่น นิราศภูเขาทอง บทประพันธ์ของพระสุนทรโวหาร (ภู่) หรือสุนทรภู่ กวีเอกแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น (พ.ศ. 2329 - 2398) ความตอนหนึ่งว่า
“ถึงโรงเหล้าเตากลั่นควันโขมง มีคันโพงผูกสายไว้ปลายเสา”
กาลเวลาผ่านไปโรงงานสุราบางยี่ขันได้ถูกโอนมาเป็น ของรัฐใน พ.ศ. 2457 ภายใต้การดูแลของกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง และเปิดให้เอกชนประมูลเพื่อผลิต และจำหน่ายสุราแทนการผลิตเองของรัฐบาล ต่อมาภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน พ.ศ. 2477 คณะรัฐมนตรีเห็นชอบให้มีการสร้างหรือขยายโรงงาน เพื่อการต้มกลั่นสุราจำหน่ายทั่วประเทศ จึงเปิดสัมปทาน ให้เอกชนเข้ามาดำเนินงานนับแต่นั้น
อ้างอิงข้อมูลจาก: นิทรรศการ House of Mekhong โรงงานสุราบางยี่ขัน
สร้างคนสร้างจิตสำนึกต่อสังคม
คุณเจริญได้วางหลักการและแนวทางการดำเนินธุรกิจของไทยเบฟ ในการสร้างคนให้มีความรู้และคุณภาพ ผนวกกับประสบการณ์ที่ได้เรียนรู้จากอุปสรรคและบทเรียนทั้งความสำเร็จและอุปสรรคที่ผ่านมา ทำให้คุณเจริญมีความมุ่งมั่นที่จะทำธุรกิจที่ตนเองมีความพร้อม และมีความรู้จริงอย่างถ่องแท้ในธุรกิจเหล่านั้น และยังสนับสนุนให้บุคลากรบริหารจัดการธุรกิจจากความรู้และประสบการณ์อย่างมืออาชีพ
สิ่งสำคัญอย่างยิ่งก็คือการปลูกฝังจิตสำนึกที่ช่วยเหลือเกื้อกูล และรับผิดชอบต่อสังคมโดยมีส่วนร่วมกับชุมชนตามคำพังเพย “คนไทย ให้กันได้” จากแนวทางคำสอนของบรรพบุรุษว่า “หากเรามีโอกาส ไม่เดือดร้อน ได้ปลดทุกข์ให้คนอื่นแล้ว แก้ไขได้แล้วเราไปได้ บุญนี้จะได้สนองแก่เรา” คุณเจริญก็ได้นำมาปฏิบัติ และยังถ่ายทอดจิตสำนึกนี้ ไปยังพนักงานทุกคนด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากโครงการเพื่อสังคม ต่าง ๆ ของบริษัท ไม่ว่าจะเป็นการมอบสวัสดิการด้านสุขภาพ สร้างศูนย์กีฬา และสนับสนุนให้พนักงานมีบทบาทในชุมชนมากยิ่งขึ้น คุณเจริญยังได้กล่าวไว้ในสารประธานกรรมการในรายงานประจำปี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) พ.ศ. 2551 ว่า “นับว่าเป็นบุญ ของเราที่มีพนักงานที่มีความโอบอ้อมอารีเช่นนี้”
โครงการที่บริษัทให้การสนับสนุนมาอย่างต่อเนื่อง คือ “ไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว” โดยมอบผ้าห่มให้ผู้ประสบภัยหนาวที่อยู่ใน ถิ่นทุรกันดารและมีอากาศหนาวเย็น ซึ่งได้ดำเนินการมานานกว่า 19 ปี รวมทั้งการบำบัดน้ำเสียที่โรงกลั่นสุราและโรงงานเบียร์ การประหยัดพลังงานและรักษาสิ่งแวดล้อม โดยให้นำขวดเก่ากลับมาใช้ให้มากที่สุด รวมถึงการผลิตพลังงานทางเลือกที่โรงงานผลิตเบียร์และสุรา คือไบโอแก๊ส ซึ่งผลิตจากน้ำเสีย เป็นการช่วยชาติลดค่าใช้จ่ายในการนำเข้าน้ำมัน ในอีกทางหนึ่ง
4 คุณธรรม
ค้ำจุนจิตใจ
“ยิ่ม”
หมายถึง ถ้าเรามี ความอดทน ขยันหมั่นเพียร เราก็จะประสบความสำเร็จ“เหยียง”
หมายถึง ความเสียสละ คือ ถ้าเราเป็นผู้ให้ เราก็จะพ้นภยันตราย“แจ๋”
หมายถึง ถ้าเรามีความสุขุมรอบคอบ จะนำมาซึ่งความสงบ และก่อให้เกิดสติปัญญา“ลัก”
หมายถึง ถ้าเรามีความร่าเริง ใช้ชีวิตอย่างมีความสุขแล้ว เราจะมีชีวิตที่ยืนยาว คำทั้ง 4 เป็นคำสอนที่คุณเจริญ ได้รับจากคุณกึ้งจู แซ่จิว ผู้เป็นบิดา ของคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ซึ่งคุณเจริญมีความประทับใจ ในความเมตตากรุณาที่ได้รับมา โดยตลอด อีกทั้งยังเป็นผู้มีความรู้ ด้านภาษาจีนและปรัชญาจีนอย่าง ลึกซึ้ง คุณเจริญได้นำคุณธรรม ทั้ง 4 ประการมาเป็นหลักธรรม ประจำใจในการดำรงชีวิตสืบสานธุรกิจ
คุณเจริญกล่าวเสมอว่า ความสำเร็จที่มีได้ในทุกวันนี้ ผู้ที่มีส่วนสำคัญมากก็คือ คุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี คู่ชีวิต ซึ่งอยู่ เคียงข้างเสมอ เป็นคู่คิด เป็นกำลังใจ ร่วมทุกข์และสุขมาด้วยกัน คุณหญิงวรรณาเป็นบุตรสาวของคุณกึ้งจู แซ่จิว อดีตรองประธานกรรมการธนาคารมหานคร มีบุตรธิดารวม 5 คน คือ คุณอาทินันท์ พีชานนท์ สมรสกับคุณโชติพัฒน์ พีชานนท์ คุณวัลลภา ไตรโสรัส สมรสกับคุณโสมพัฒน์ ไตรโสรัส คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี สมรสกับ คุณปภัชญา สิริวัฒนภักดี คุณฐาปณี เตชะเจริญวิกุล สมรสกับคุณอัศวิน เตชะเจริญวิกุล และคุณปณต สิริวัฒนภักดี สมรสกับหม่อมหลวงตรีนุช สิริวัฒนภักดี
ทั้งคุณเจริญและคุณหญิงวรรณาได้ให้ความสำคัญกับการดูแลบุตรธิดาอย่างใกล้ชิด และยึดหลักว่าบิดามารดาต้องเป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตร คุณหญิงวรรณานอกจากได้ช่วยคุณเจริญในด้านธุรกิจการงานแล้ว ยังได้ให้เวลาดูแลบุตรธิดาทั้ง 5 คนเป็นอย่างดียิ่ง และส่งเสริมให้ได้รับการศึกษาเป็นอย่างดีมาก ท่านได้ส่งบุตรธิดา ให้ไปศึกษาที่ต่างประเทศทุกคน เพื่อจะได้กลับมาช่วยดูแลกิจการ และสานฝันของคุณเจริญที่ต้องการทำธุรกิจในต่างประเทศ เนื่องจากคุณเจริญจบการศึกษาเพียงชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 เท่านั้น จึงได้เน้นเรื่องการศึกษาของบุตรธิดา นอกจากนั้นในอดีตยังได้พา บุตรธิดาร่วมเดินทางไปต่างประเทศด้วย แม้ในเวลาเดินทางไป ดูงาน นอกจากจะเป็นการใช้เวลาที่มีค่าร่วมกันในครอบครัวแล้ว ยังเป็นการเพิ่มพูนความรู้ให้แก่บุตรธิดาอีกด้วย
ปัจจุบันในวัย 74 ปี คุณเจริญยังคงทุ่มเทให้กับการทำงาน โดยมีคุณหญิงวรรณาเคียงข้างคอยเป็นกำลังใจเสมอมา และ ยังมีคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี บุตรชายคนโต ซึ่งเข้ารับตำแหน่งกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ของบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 เป็นกำลังสำคัญรับผิดชอบ ในการบริหารจัดการต่าง ๆ และได้พัฒนาแนวทางการทำงานให้เป็นสากลมากขึ้น โดยเสริมทัพด้วยผู้บริหารที่มีขีดความสามารถสูง อีกทั้งยังได้รับการถ่ายทอดประสบการณ์อันมากคุณค่าอีกด้วย นอกจากคุณฐาปนแล้ว คุณปณต สิริวัฒนภักดี บุตรชายคนเล็กยังได้เคยช่วยงานบริหารไทยเบฟอยู่ระยะหนึ่งก่อนไปศึกษา ต่างประเทศ และได้กลับมาดำรงตำแหน่งกรรมการบริษัทตั้งแต่ พ.ศ. 2550 จนถึงปัจจุบัน
จากอดีตผู้บริหารระดับสูงหลายท่าน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญในการช่วยบริหารจัดการธุรกิจอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย อาทิ คุณสมุทร หัตถสิงห์ ซึ่งเป็นกำลังสำคัญยิ่งในการบริหารการขาย คุณชูเกียรติ ตั้งพงศ์ปราชญ์ เป็นที่ปรึกษากฎหมายผู้ใกล้ชิด คุณสวัสดิ์ โสภะ ดูแลงานด้านการผลิต ควบคุมโรงงานสุรา และสร้างความสัมพันธ์กับชุมชน และคุณกนกนาฏ รังษีเทียนไชย ช่วยกำกับดูแลด้าน การเงิน บัญชี ต่อมาคุณเจริญยังได้เรียนเชิญคุณณรงค์ ศรีสอ้าน อดีตผู้บริหารระดับสูงของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเป็นผู้ทรงคุณวุฒิ เชี่ยวชาญด้านการเงินการธนาคารเป็นอย่างมากมาเป็นที่ปรึกษาด้วย
การร่วมแรงร่วมใจของคนหลายรุ่นทำให้ธุรกิจของกลุ่มเติบโต และขยายตัวอย่างก้าวไกลทั้งในประเทศและต่างประเทศ ปัจจุบันนี้ ทั้งบุตรธิดาก็ได้ช่วยบริหารจัดการธุรกิจในกลุ่มทีซีซีและสามารถ ขยายกิจการเติบโตมากขึ้นเป็นลำดับ
ก้าวสู่ผู้นำธุรกิจเครื่องดื่มอาเซียน
เรื่องราวแห่งการก่อร่างสร้างธุรกิจในยุคบุกเบิก จากปณิธานอันมุ่งมั่นของผู้ก่อต้ัง ผสมผสานการรักษาคุณค่า และตำนานการกลั่นสุราไทย จนกลายเป็นธุรกิจที่เติบโต และพัฒนาจนก้าวไกลสู่สายตาชาวโลก |
ความภูมิใจของอาเซียน
ก้าวแรกสู่ความสำเร็จในอาเซียน ได้แก่ การเข้าซื้อหุ้น บริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ผู้ผลิต และจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและสิ่งพิมพ์ชั้นนำของ สิงคโปร์ใน พ.ศ. 2555 ส่งผลให้ไทยเบฟก้าวสู่ การเป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มชั้นนำ ในระดับภูมิภาค โดยการซื้อกิจการครั้งนี้นับเป็น ครั้งที่ใหญ่ที่สุดในสิงคโปร์และภูมิภาคอาเซียน
และใน พ.ศ. 2560 ได้เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 75 ของ บริษัท เมียนมาร์ ซัพพลายเชน แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส คอมพานี ลิมิเต็ด และเมียนมาร์ ดิสทิลเลอรี่ คอมพานี ลิมิเต็ด (แกรนด์รอยัลกรุ๊ป) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ รายใหญ่ที่สุดในตลาดวิสกี้ของประเทศเมียนมา และมีฐานการผลิตอยู่ที่เมืองย่างกุ้งและมัณฑะเลย์ เมื่อ พ.ศ. 2560 นับเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญที่ทำให้ ไทยเบฟขยายพื้นที่ความเป็นผู้นำในภูมิภาคอาเซียน และเพิ่มความหลากหลายทางธุรกิจนอกประเทศไทย นอกจากนี้ยังสร้างโอกาสแห่งการกระจายสินค้า เข้าสู่ตลาดเมียนมาที่มีขนาดใหญ่พร้อมด้วยศักยภาพ เติบโตสูงต่อไปในอนาคต
อีกหนึ่งความสำเร็จของฝั่งธุรกิจเบียร์ซึ่งถือเป็นการเข้าซื้อกิจการครั้งใหญ่ที่สุดในเวียดนามประจำ พ.ศ. 2560 คือ เวียดนาม เบฟเวอเรจ คอมพานี ลิมิเต็ด บริษัทย่อยในกลุ่มไทยเบฟชนะการประมูลซื้อหุ้นร้อยละ 53.59 ของบริษัทไซ่ง่อน-เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จอยท์ สต็อก คอร์เปอเรชั่น (ซาเบโก้) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม ซึ่งมีผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เบียร์ไซ่ง่อน โดยซาเบโก้ถือเป็นผู้ผลิตเบียร์อันดับ 1 ของประเทศเวียดนาม การเข้าเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ครั้งนี้ ทำให้ไทยเบฟสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดเบียร์ของ ภูมิภาคอาเซียน สามารถสร้างการเติบโตนอกประเทศไทยแบบก้าวกระโดด และยิ่งตอกย้ำว่าวันนี้ ไทยเบฟ พร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจเข้าสู่ตลาดในต่างประเทศ โดยเฉพาะตลาดในภูมิภาคอาเซียนอย่างเต็มตัว
ไทยเบฟไม่เพียงแต่เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เครื่องดื่มครบวงจรในประเทศไทยที่มีส่วนแบ่งการตลาดเป็นอันดับ 1 ในหลายกลุ่มผลิตภัณฑ์ อาทิ สุราขาวรวงข้าว เครื่องดื่มชาเขียวโออิชิ น้ำดื่มคริสตัล และร้านอาหาร บริการด่วนเคเอฟซีเท่านั้น แต่สินค้าของไทยเบฟยังเป็น ที่รู้จักอย่างแพร่หลายในภูมิภาคอาเซียนและทั่วโลก
TOP 100 SPIRITS BRAND WORLDWIDE
ไทยเบฟมี 4 ตราสินค้าที่ติด
100 อันดับแรกของ IWSR
(International Wine and Spirit Research)
ซึ่งรายงาน 100 อันดับสุราที่มีปริมาณขายสูงสุด
ของโลกประจำปี พ.ศ. 2560
จากรายงานของ IWSR (International Wine and Spirit Research) ซึ่งรายงาน 100 อันดับสุราที่มีปริมาณขายสูงสุด ของโลกประจำปี พ.ศ. 2560 ไทยเบฟมี 4 ตราสินค้าที่ติด 100 อันดับแรกของ IWSR ได้แก่ สุราขาวรวงข้าว ซึ่งอยู่ในตำแหน่งอันดับ 2 ของโลก สุราหงส์ทอง อันดับ 8 ของโลก นอกจากนี้ ในส่วนของตราสินค้าสุราจากแกรนด์รอยัลกรุ๊ป ประเทศเมียนมานั้น ติดอยู่ในอันดับที่ 41 ของโลก และสุรา เบลนด์ 285 ติดอันดับ 73 ของโลก
ในส่วนของเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์นั้น จากความสำเร็จของ ชาเขียวโออิชิในการครองตำแหน่งผู้นำในตลาดชาพร้อมดื่ม ในประเทศไทย ไทยเบฟมีความภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่โออิชิ สามารถรุกตลาดเครื่องดื่มชาเขียวในประเทศกัมพูชา และลาว ซึ่งเป็นตลาดที่สำคัญในภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากภูมิประเทศติดกับประเทศไทย และประสบความสำเร็จโดยการเป็นผู้นำในตลาดชาเขียวพร้อมดื่มในทั้งสองประเทศ
สำหรับเครื่องดื่มเกลือแร่ 100พลัส นับเป็นเครื่องดื่มเรือธง ของ F&N ซึ่งมีประวัติอันยาวนาน เริ่มวางจำหน่ายใน พ.ศ. 2526 โดย 100พลัสมีทั้งเครื่องดื่มประเภทอัดลมและไม่อัดลมที่ผสม แร่ธาตุและเกลือแร่ นับเป็นอีกทางเลือกสำหรับผู้รักสุขภาพ และคนรุ่นใหม่ที่มีกิจกรรมต้องทำในระหว่างวัน ปัจจุบัน 100พลัส เป็นตราสินค้าอันดับหนึ่งในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์ โดยเป็นเครื่องดื่มสุขภาพที่สามารถดื่มได้ทุกวัน และล่าสุดได้รับ โลโก้ Healthier Choice จากกระทรวงสาธารณสุข ประเทศมาเลเซีย
บทบาทเพื่อความยั่งยืนของอาเซียน
C asean เป็นตัวกลางในการสร้างความเชื่อมโยง เพื่อให้เกิดความเข้าใจ สร้างเสริมสัมพันธภาพ มองความแตกต่างเป็นความงดงามที่หลากหลาย อันเป็นปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของความร่วมมือ เพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียนใน 3 มิติ ได้แก่ ธุรกิจ ศิลปะ และวัฒนธรรม
ตลอด 3 ปีของการทำงานของ C asean ได้รับการ ยอมรับและการสนับสนุนอย่างดีจากทุกภาคส่วน ทั้งในระดับประเทศและระดับภูมิภาค สามารถสร้างสรรค์ ความร่วมมืออันเป็นประโยชน์ ผ่านกิจกรรมอัน หลากหลาย อาทิ การแลกเปลี่ยนความร่วมมือใน กลุ่มธุรกิจใหม่ หรือสตาร์ทอัพ (Startup) ในภูมิภาค การจัดการประกวดโครงการนักธุรกิจเพื่อสังคม Win-Win WAR Thailand การจัดสัมมนาเพื่อ การพัฒนาอย่างยั่งยืนในภูมิภาคอาเซียน (C asean Sustainable Development Forum) โดยร่วมกับ โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UN Environment) การจัดทำวงดนตรีพื้นบ้านแห่ง ภูมิภาคอาเซียนภายใต้ชื่อ C asean Consonant ซึ่งได้รับเกียรติจากสำนักงานเลขาธิการอาเซียน ให้เป็นวงดนตรีแห่งการเฉลิมฉลองการจัดตั้ง ประชาคมอาเซียนครบรอบ 50 ปี และเป็นตัวแทน วัฒนธรรมแห่งภูมิภาคในการร่วมเฉลิมฉลองความ สัมพันธ์ทางการทูต 40 ปีระหว่างภูมิภาคอาเซียน กับสหภาพยุโรป และปัจจุบันได้รับทุนสนับสนุน ด้านวัฒนธรรมจากกองทุนวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN Cultural Fund) อีกด้วย
ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะเชื่อมโยงและประสาน “สัมพันธภาพ” กับทุกภาคส่วนในทุกมิติ ทั้งธุรกิจ ศิลปะ และวัฒนธรรม ตั้งแต่ระดับท้องถิ่น ชุมชน ประเทศ และนานาชาติ เพื่อเป็นรากฐานการเจริญเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนให้กับองค์กร ตลอดจน มุ่งหวังที่จะสร้างสรรค์สังคมให้มีการพัฒนาอย่างสร้างสรรค์และยั่งยืน ให้เป็นไปตามเจตนารมณ์ที่ได้วางไว้ในการเป็นองค์กรชั้นนำแห่งภูมิภาค
เติบโตและต่อยอด
การดำเนินธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟมีการเติบโตและขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ผ่านการซื้อกิจการและการเติบโตจากภายใน โดยเป็นการขยายธุรกิจทั้งภายในและต่างประเทศ |
รากฐานที่สำคัญสู่การเติบโต
- 2510
คุณเจริญเริ่มกิจการค้าขายภายใต้ชื่อ ห้างหุ้นส่วนจำกัด สหปานีภัณฑ์ ดำเนินธุรกิจจัดส่งสินค้านานาชนิดให้แก่ โรงงานสุรา - 2515
จัดตั้งบริษัท แพนอินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ดำเนินธุรกิจสั่งสินค้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศและส่งสินค้า ออกไปจำหน่ายนอกประเทศ - 2519
เข้าซื้อกิจการของบริษัท แสงโสม จำกัด เพื่อดำเนินการผลิต สุราตราแสงโสม - 2526
ได้รับสัมปทานจากรัฐบาลในการสร้างและประกอบการ โรงงานสุรา จำนวน 12 แห่งในประเทศไทย - 2529
ควบรวมธุรกิจสุรากับกลุ่มสุรามหาราษฎร ซึ่งเป็นผู้ผลิตสุรา ภายใต้เครื่องหมายการค้าตราแม่โขง - 2536
บริษัท คอสมอส บริวเวอรี่ (ประเทศไทย) จำกัด เริ่มเปิดการผลิตเบียร์ - 2543
เข้าซื้อกิจการโรงงานสุรา 12 แห่งจากรัฐบาล ตราสินค้ารวงข้าว เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของธุรกิจสุรา - 2546
ก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
การขยายกิจการภายใต้ไทยเบฟ
- 2549
บริษัทได้ลงทุนซื้อโรงงานสุราจากบริษัท สินสุรางค์ การสุรา จำกัด ผู้ผลิตสุราตราเสือขาว โรงงานดังกล่าว ใช้เครื่องจักรคุณภาพสูงจากประเทศสวีเดน และมี ความสามารถในการผลิตได้ทั้งสุราขาวและสุราสี อีกทั้ง ที่ตั้งโรงงานในจังหวัดกาญจนบุรีถือเป็นข้อได้เปรียบ ช่วยให้บริษัทสามารถขยายฐานการผลิตสู่ท้องที่เป้าหมาย - 2550
เข้าซื้อกิจการของบริษัท ประมวลผล จำกัด ประกอบธุรกิจหลัก ในการดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายสุรา รวมทั้งรับจ้าง กลั่นสุรา ผลิตภัณฑ์ของบริษัทประมวลผลมีหลากหลายชื่อ ได้แก่ สุราขาวตราหมีขาว สุราขาวตรามังกร และอื่น ๆ โดยมีโรงกลั่นสุราตั้งอยู่ที่จังหวัดนครปฐม - 2550
บริษัทได้เข้าซื้อกิจการบริษัท เอส.พี.เอ็ม อาหารและ เครื่องดื่ม จำกัด ประกอบธุรกิจหลักในการดำเนินธุรกิจ ผลิตและจำหน่ายน้ำแร่ เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้ และ ซอสปรุงรส รวมทั้งผลิตสินค้าที่มีบุคคลอื่นว่าจ้างตามสัญญา - 2551
เข้าซื้อหุ้นบริษัท โออิชิ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) (“โออิชิ กรุ๊ป”) ซึ่งประกอบกิจการร้านอาหารที่ผลิตและจำหน่าย อาหารญี่ปุ่นและเครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่ม โออิชิ กรุ๊ป เป็นผู้นำตลาดอาหารญี่ปุ่นและเครื่องดื่ม ชาเขียวพร้อมดื่มยอดขายอันดับหนึ่ง เป็นหนึ่งในแบรนด์ ที่ได้รับการยอมรับมากที่สุดในประเทศไทยอย่างกว้างขวาง ประกอบธุรกิจหลัก 2 ประเภท ได้แก่
- ธุรกิจร้านอาหารญี่ปุ่น
โดยใช้ตราสินค้าหลักคือ “โออิชิ” (Oishi) และมีความเป็นเอกลักษณ์ ความเป็นญี่ปุ่น มีทั้งหมด 8 แบรนด์ มีสาขาร้านอาหาร รวมทั้งสิ้นกว่า 240 สาขา ซึ่งเปิดให้บริการ ทั่วประเทศไทย และ 2 สาขาในประเทศเมียนมา - ธุรกิจเครื่องดื่ม
โออิชิ กรีนที มีรสชาติให้เลือก หลากหลาย ในบรรจุภัณฑ์หลายขนาด เพื่อให้ผู้ดื่ม ได้รับความสดชื่น ตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภค และได้สุขภาพดี นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่ม ชาเขียวภายใต้แบรนด์ OYOSHI ซึ่งผลิตและ จำหน่ายในต่างประเทศ - ไทยเบฟได้เข้าถือหุ้นในโออิชิ กรุ๊ป ด้วยเป้าหมายที่ต้องการจะเข้าสู่ตลาดธุรกิจ ชาพร้อมดื่ม ควบคู่กับการขยายสายการผลิต เครื่องดื่มต่าง ๆ มูลค่าเพิ่มที่ไทยเบฟให้กับโออิชิคือ การเป็นผู้กระจายสินค้า ซึ่งส่งผลให้ไทยเบฟสามารถสร้าง ผลกำไรที่เพิ่มขึ้นจากช่องทางการกระจายสินค้าเดิมที่มีอยู่
- 2554
เข้าซื้อหุ้นบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) (“เสริมสุข”) ซึ่งเป็น ผู้นำด้านการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มในประเทศไทย เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นความแข็งแกร่งของเครือข่าย กระจายสินค้าของเสริมสุข
เสริมสุขเริ่มดำเนินธุรกิจน้ำอัดลมเมื่อ พ.ศ. 2496 และ มีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานอุตสาหกรรมน้ำอัดลม ในประเทศไทยมากว่า 6 ทศวรรษ ตลอดจนเป็นตำนาน ผู้สร้างแบรนด์ระดับโลกให้ครองความเป็นผู้นำ ในตลาดเมืองไทย นอกจากนี้ เสริมสุขได้ขยายธุรกิจสู่ การผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มไม่อัดลมชั้นนำมากมาย อาทิ น้ำดื่มคริสตัล เครื่องดื่มเกลือแร่ และชาพร้อมดื่ม โออิชิ และก้าวเป็นบริษัทเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ครบวงจรรายแรกของประเทศ
ต่อมาบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก จำกัด ได้เข้ามา ถือหุ้นใหญ่ในเสริมสุข และผนึกรวมเป็นหนึ่งในบริษัทหลัก ของกลุ่มบริษัทไทยเบฟใน พ.ศ. 2555 จากนั้นเสริมสุข จึงได้มีการเปลี่ยนทิศทางการดำเนินธุรกิจของบริษัท ตลอดจนภาพลักษณ์และวัฒนธรรมองค์กรให้สอดคล้องกับ การเปลี่ยนแปลงของตลาดและความต้องการของผู้บริโภค ปัจจุบันเสริมสุขดำเนินการภายใต้ 4 เสาธุรกิจหลัก ได้แก่ การผลิตและจัดจำหน่ายน้ำดื่ม การผลิตและ จัดจำหน่ายเครื่องดื่มไม่อัดลม ผู้จัดจำหน่ายอาหารและ เครื่องดื่ม การผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มอัดลม - 2560
เข้าซื้อธุรกิจแฟรนไชส์เคเอฟซี (“KFC”) จำนวน 252 สาขาในประเทศไทยจากบริษัท ยัม เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด KFC เป็นแบรนด์ ผู้นำในตลาดร้านบริการอาหารแบบเร่งด่วนในประเทศไทย จากการเปิดให้บริการมาแล้วกว่า 30 ปี และยังมีการ ขยายตัวมากที่สุดในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
KFC ก่อตั้งใน พ.ศ. 2495 ในสหรัฐอเมริกา และปัจจุบัน KFC ในประเทศไทยขยายสาขาไปแล้วกว่า 600 สาขา ทั่วประเทศ และ KFC ก็มุ่งมั่นสร้างนวัตกรรมใหม่ ๆ อย่างต่อเนื่อง รวมทั้งนำเสนอเมนูใหม่ที่เป็นเอกลักษณ์ โดยยึดมั่นในเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยให้เป็นไป ตามมาตรฐานโลก นอกจากนี้ KFC ยังจัดการฝึกอบรม ให้แก่พนักงานอย่างดีที่สุด เพื่อให้ลูกค้าได้รับบริการ ชั้นเยี่ยมและประสบการณ์ที่อบอุ่นจากร้าน KFC
ธุรกิจร้านอาหาร KFC จะเป็นอีกหนึ่งจิ๊กซอว์ชิ้นสำคัญ ที่เข้ามาผนึกกำลังกับธุรกิจอาหารของไทยเบฟ เพื่อเสริมสร้างความเติบโตทางธุรกิจอย่างมั่นคงและยั่งยืน
การขยายกิจการไปต่างประเทศ
- 2549
เข้าซื้อบริษัท Pacific Spirits (UK) Limited ซึ่งมีกิจการโรงกลั่น สุรา Inver House Distillers ในประเทศสกอตแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัท ผู้ผลิตสก็อตช์วิสกี้ชั้นนำ ปัจจุบันผลิตสินค้ากระจายออกไปขาย กว่า 90 ประเทศทั่วโลก - 2552
เข้าซื้อบริษัท ยูนนาน อวี้หลินฉวน ลิเคอร์ จำกัด ซึ่งมีกิจการ โรงงานผลิตสุราขาวในสาธารณรัฐประชาชนจีน เป็นไปตาม กลยุทธ์ของบริษัทในการขยายธุรกิจไปยังตลาดใหม่ในต่างประเทศ อวี้หลินฉวนเป็นเจ้าของโรงกลั่นสุราขาวในเขตเอ๋อซาน เมืองอวี้สี ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ของเมืองคุนหมิง (เมืองหลวงของมณฑลยูนนาน) อวี้หลินฉวนประกอบธุรกิจหลักเป็นผู้ผลิตสุราขาวของจีนในระดับ อีโคโนมี เซกเมนต์ และระดับพรีเมี่ยม เซกเมนต์ ภายใต้ตราสินค้า อวี้หลินฉวน อันเป็นหนึ่งในตราสินค้าสุราที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุด ในมณฑลยูนนาน ผลิตภัณฑ์ของอวี้หลินฉวนเป็นที่รู้จักในฐานะ หนึ่งในยอดสุราของมณฑลยูนนาน และได้รับรางวัลด้านคุณภาพ มาแล้วมากมาย - 2555
เข้าซื้อหุ้นในเฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (“F&N”) ผู้ผลิตและ จัดจำหน่ายเครื่องดื่มและสิ่งพิมพ์ชั้นนำของสิงคโปร์ นับเป็น ก้าวที่สำคัญของบริษัทในการก้าวสู่การเป็นบริษัทผู้ผลิตและ จัดจำหน่ายเครื่องดื่มชั้นนำในระดับนานาชาติ เพื่อความเป็นเลิศ ด้านการค้า มีการพัฒนาผลิตภัณฑ์สู่ระดับแนวหน้า และมีความเป็นมืออาชีพ
จุดกำเนิดของ F&N เริ่มต้นตั้งแต่กว่าหนึ่งศตวรรษมาแล้วจากการ ตัดสินใจอย่างมุ่งมั่นของผู้ประกอบการหนุ่มสองคนคือ จอห์น เฟรเซอร์ (John Fraser) และเดวิด นีฟ (David Neave) ซึ่งขยายจาก ธุรกิจการพิมพ์ที่ทำอยู่มาบุกเบิกธุรกิจน้ำอัดลมในเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ใน พ.ศ. 2426 และจากการใช้ธุรกิจน้ำอัดลม เป็นฐาน F&N ก็มุ่งเข้าสู่ธุรกิจเบียร์ใน พ.ศ. 2474 ธุรกิจแดรี่ส์ ใน พ.ศ. 2502 ธุรกิจพัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ ใน พ.ศ. 2533 และธุรกิจสิ่งพิมพ์และการพิมพ์ใน พ.ศ. 2543 และใน พ.ศ. 2556 ซึ่งเป็นปีที่ F&N เฉลิมฉลองการดำเนินงาน ครบ 130 ปี F&N ก็ได้ต้อนรับผู้ถือหุ้นใหญ่รายใหม่คือกลุ่ม TCC ทั้งนี้ ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2557 F&N ได้แยกธุรกิจ อสังหาริมทรัพย์ออกจากกลุ่ม
ทุกวันนี้ F&N เป็นผู้นำในกลุ่มธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภค ของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ด้วยความเชี่ยวชาญและจุดยืนที่โดดเด่น ในอุตสาหกรรมประเภทอาหารและเครื่องดื่ม และธุรกิจสิ่งพิมพ์ และการพิมพ์ F&N ใช้ประโยชน์จากจุดแข็งด้านการตลาดและ การกระจายสินค้า การวิจัยและพัฒนา ตราสินค้าและการบริหาร จัดการด้านการเงิน รวมทั้งประสบการณ์ยาวนานด้านการเข้าซื้อ กิจการ เพื่อการจัดหาทรัพยากรที่สำคัญและวางแนวทางกลยุทธ์ สำหรับบริษัทย่อยของกลุ่มได้ในอุตสาหกรรมทั้งสองประเภท F&N ซึ่งจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ จัดอยู่ในกลุ่มบริษัท ซึ่งมีชื่อเสียงมายาวนานและประสบความสำเร็จมากที่สุดแห่งหนึ่ง ในภูมิภาค ด้วยตราสินค้าหลากหลายซึ่งเป็นที่รู้จักดี และเป็นผู้นำ ในตลาดได้อย่างแข็งแกร่ง F&N ทำธุรกิจใน 11 ประเทศ ซึ่งครอบคลุมทั้งเอเชียแปซิฟิก ยุโรป และสหรัฐอเมริกา - 2560
เข้าซื้อหุ้นร้อยละ 75 ของบริษัท เมียนมาร์ ซัพพลายเชน แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส คอมพานี ลิมิเต็ด และ เมียนมาร์ ดิสทิลเลอรี่ คอมพานี ลิมิเต็ด (“แกรนด์รอยัล”) ซึ่งนับเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในตลาดสุราของ เมียนมา ที่มีตราสินค้าวิสกี้ที่มีชื่อเสียงในระดับสากล และบริหารงานอย่างมืออาชีพ
กลุ่มแกรนด์รอยัลก่อตั้งใน พ.ศ. 2538 และสร้างชื่อเสียง ได้อย่างรวดเร็วด้วยการเสนอสินค้าที่ยอดเยี่ยม และบริการ ที่โดดเด่นให้แก่ลูกค้าและผู้บริโภค
ตราสินค้าแรก ๆ ของกลุ่มคือ แกรนด์รอยัล วิสกี้ (Grand Royal Whisky) และรอยัล ดราย ยิน (Royal Dry Gin) ตามมาด้วยอีเกิ้ล วิสกี้ (Eagle Whisky) แกรนด์รอยัล สเปเชียล รีเสิร์ฟ วิสกี้ (Grand Royal Special Reserve Whisky) แกรนด์รอยัล สมูธ วิสกี้ (Grand Royal Smooth Whisky) แกรนด์รอยัล ซิกเนเจอร์ วิสกี้ (Grand Royal Signature Whisky) และแกรนด์รอยัล ดับเบิ้ลโกลด์ วิสกี้ (Grand Royal Double Gold Whisky)
ซึ่งแต่ละตราสินค้าก็เป็นตราสินค้าเด่นของเมียนมา ในปัจจุบัน ด้วยแนวทางการสร้างนวัตกรรม ความทุ่มเท เพื่อมอบสินค้าที่มีคุณภาพเหนือกว่า ทีมงานซึ่งมีความ สามารถและกระตือรือร้นในการสร้างตราสินค้าและรากฐาน ด้านคุณค่าที่มั่นคง ทำให้แกรนด์รอยัลก้าวขึ้นมาเป็น ผู้นำในธุรกิจนี้
- 2561
ไทยเบฟชนะการประมูลซื้อหุ้นร้อยละ 53.59 ของบริษัท ไซ่ง่อน-เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จอยท์ สต็อก คอร์เปอเรชั่น (ซาเบโก้) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่าย เบียร์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
ผู้บริโภคชาวเวียดนามต่างคุ้นเคยกับตราสินค้าไซ่ง่อนเบียร์ ของไซ่ง่อน-เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จอยท์ สต็อก คอร์เปอเรชั่น (ซาเบโก้) เป็นอย่างดี พ.ศ. 2560 เป็นปีที่ ไซ่ง่อนเบียร์มีอายุกว่า 142 ปี นับตั้งแต่เริ่มมีการผลิต และเป็นปีที่ 40 ของการสร้างและพัฒนาตราสินค้า เพื่อให้ ชาวเวียดนามได้ภาคภูมิใจในผลิตภัณฑ์ของเวียดนามอยู่เสมอ รสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของไซ่ง่อนเบียร์เป็นรสชาติแห่ง แรงบันดาลใจอันเกิดจากการผสมผสานจิตวิญญาณ ความมีน้ำใจของชาวไซ่ง่อนกับความอุดมสมบูรณ์แห่งดินแดน เวียดนามใต้ ทำให้เบียร์ไซ่ง่อนเป็นส่วนหนึ่งที่ขาดไม่ได้ ในชีวิตประจำวัน จากเดิมที่เริ่มต้นด้วยเบียร์ลารู (Larue) แบบขวดสองขนาดในช่วงแรก ปัจจุบันนี้ ไซ่ง่อนเบียร์ มีสินค้าเบียร์ขายภายใต้ตราสินค้าไซ่ง่อนลาเกอร์ ไซ่ง่อน เอ็กซ์พอร์ต ไซ่ง่อน สเปเชียล เบียร์ 333 และไซ่ง่อนโกลด์
จากโรงงานผลิตขนาดเล็กที่มีกำลังการผลิต 21.5 ล้านลิตร ใน พ.ศ. 2520 ผ่านช่วงเวลา 39 ปีแห่งการพัฒนา ไซ่ง่อนเบียร์มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1,590 ล้านลิตร ใน พ.ศ. 2559 และมุ่งพัฒนาต่อไปจนถึง 1,660 ล้านลิตร ใน พ.ศ. 2560 ทั้งนี้ แม้เวียดนามจะมีตราสินค้าเบียร์ชื่อดัง ระดับโลกเข้ามาในตลาดหลายตราสินค้า แต่ไซ่ง่อนเบียร์ ก็ยังคงเป็นตราสินค้าเบียร์อันดับหนึ่งในเวียดนาม และกำลังจะรุกเข้าสู่ตลาดต่างประเทศต่อไป
ใน พ.ศ. 2559 ซาเบโก้นำหุ้นเข้าจดทะเบียนใน ตลาดหลักทรัพย์โฮจิมินห์อย่างเป็นทางการ และกลายเป็น หนึ่งในหุ้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุด และเพิ่มมูลค่าให้แก่ผู้ถือหุ้นและนักลงทุนได้อย่างมาก
ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีความน่าสนใจและมีการเติบโตสูง สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ 2020 ของไทยเบฟ การเข้าซื้อ กิจการครั้งนี้จะช่วยเพิ่มความหลากหลายให้กับผลิตภัณฑ์ ของไทยเบฟ เนื่องจากซาเบโก้มีตราสินค้าเป็นที่รู้จักดี อาทิ ไซ่ง่อนเบียร์ และเบียร์ 333 อีกทั้งช่วยให้มีช่องทางเข้าถึง เครือข่ายการกระจายสินค้าที่ครอบคลุมในเวียดนามได้ทันที รวมถึงด้วยประสบการณ์และความสามารถในธุรกิจเครื่องดื่ม ไทยเบฟเชื่อมั่นว่าจะสามารถดึงศักยภาพด้านความร่วมมือ เพื่อการก้าวขึ้นเป็นผู้ประกอบการระดับโลกต่อไป นอกจากนี้ ซาเบโก้มีผลการดำเนินงานด้านการเงินที่เข้มแข็ง นับเป็น ศักยภาพในการเพิ่มอัตรากำไรให้กับบริษัท
การเติบโตอย่างยั่งยืน
นอกจากการซื้อกิจการแล้ว ความสำเร็จของไทยเบฟยังมาจาก
การเติบโตจากภายใน อันเกิดจากปณิธานและความมุ่งมั่นของ
ผู้นำองค์กรที่นำมาสู่ความสำเร็จ ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ถึงศักยภาพ
ในการดำเนินธุรกิจ โดยยึดมั่นในหลักธรรมาภิบาล นโยบายการกำกับดูแลกิจการที่ดี ความเอาใจใส่ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม อาทิ คู่ค้า ลูกค้า สังคม สิ่งแวดล้อม และพนักงาน รวมถึงวิสัยทัศน์
ด้านเศรษฐกิจและสังคม เทคโนโลยีสารสนเทศและนวัตกรรม
ผสมผสานกับองค์ความรู้ ประสบการณ์ ศักยภาพของบุคลากร และความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน นำไปสู่การขับเคลื่อนวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง และสามารถผลักดันธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ
ได้สอดคล้องกับเป้าหมายในการสร้างการเติบโตให้แก่ธุรกิจ
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน
หนึ่งในความสำเร็จจากการเปลี่ยนแปลงของไทยเบฟคือ
การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้มีความเป็นสากล (Premiumization)
อาทิ การออกสินค้าใหม่ เบลนด์ 285 ซิกเนเจอร์ ซึ่งตอบโจทย์
ไลฟ์สไตล์ของกลุ่มบริโภคสุราคุณภาพระดับโลก การปรับฉลาก
การเพิ่มกล่องนอกและบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์สุรา การเปลี่ยนขวดบรรจุภัณฑ์ของผลิตภัณฑ์เบียร์ช้าง ความสำเร็จนี้เกิดขึ้นจากการสั่งสมประสบการณ์ทำธุรกิจมายาวนาน จนสามารถเข้าใจและรับรู้ถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี และมีการสื่อสาร
ที่เข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างฉับไว กอปรกับการสื่อสารให้ผู้บริโภค
รับทราบถึงความโดดเด่นของสินค้าว่าเป็นสินค้าที่มีคุณภาพ
ระดับสูง (Premium) และมีรสชาติเป็นที่ยอมรับ สอดคล้องกับ
การกระจายสินค้าที่เข้าถึงผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ส่งผลให้ไทยเบฟมีสัดส่วนการตลาด (Market Share) เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
อีกหนึ่งความสำเร็จของการเติบโตอย่างยั่งยืนตลอดระยะเวลาของไทยเบฟ สายธุรกิจอาหารได้มีการเติบโตเพิ่มทั้งในแง่ของการสร้างความแตกต่างของรูปแบบร้านอาหารและจำนวนร้านอาหารอย่างต่อเนื่อง ในสายธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ได้มุ่งเน้นศึกษาและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคในด้านการสร้างเสริมผลิตภัณฑ์สุขอนามัย/ความปลอดภัย (Consumer Health, Safety, and Nutrition) โดยการผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่มีมาตรฐานการผลิตที่มีคุณภาพและปลอดภัย เช่น ผลิตภัณฑ์ชาเขียวโออิชิ (Oishi) น้ำแร่ตราช้าง น้ำดื่มตราช้าง
และคริสตัล เครื่องดื่มอัดลมเพื่อสุขภาพ 100พลัส ซึ่งมุ่งเน้น
การปรับกลยุทธ์ให้ตอบสนองพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคปัจจุบัน ที่ใส่ใจในสุขอนามัยจากการบริโภค ซึ่งผลลัพธ์คือ
ไทยเบฟมีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 สำหรับ
กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชาเขียวพร้อมดื่มโออิชิ (Oishi)
และการก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ของน้ำดื่มคริสตัลในประเทศไทย
จากการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของแต่ละสายธุรกิจ ประกอบด้วยธุรกิจสุรา ธุรกิจเบียร์ ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และธุรกิจอาหาร ได้มีการกำหนดแนวคิด ปรัชญาของแต่ละหน่วยงานเป็นของตัวเอง ซึ่งได้ช่วยเกื้อกูลให้การปฏิบัติงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพมาโดยตลอด จนถึง พ.ศ. 2560 ไทยเบฟได้รวบรวมปรัชญา แนวความคิดสิ่งที่ดีที่สุดของทุกบริษัทในกลุ่มไทยเบฟ
ตลอดจนถึงปรัชญาการทำงานตามหลักธรรมาภิบาล
การกำกับดูแลกิจการที่ดี การเอาใจใส่พนักงาน ตลอดจนคู่ค้าและ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย มาพัฒนาเป็น ThaiBev Group Global Values ค่านิยมกลุ่มไทยเบฟ ซึ่งเป็นพื้นฐานการเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ความเป็นหนึ่งเดียวกันเป็นจุดกำเนิดของค่านิยมของกลุ่มไทยเบฟ (ThaiBev Global Values: Collaboration, Creating Values, Caring for Stakeholders) แนวคิดที่ได้รังสรรค์ขึ้นโดยคณะผู้บริหารกลุ่มไทยเบฟ จากทั่วโลก ด้วยมุ่งหวังที่จะให้เกิดการขับเคลื่อนวัฒนธรรมการทำงาน สำหรับไทยเบฟในการก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทชั้นนำในกลุ่มอาหารและเครื่องดื่ม ในระดับภูมิภาคอาเซียนและระดับสากล ด้วยเชื่อมั่นว่า ความเป็นหนึ่งเดียวกัน สามารถร่วมใจผลักดันและขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ร่วมกันผสานพลัง...เราผสาน ความร่วมมือกัน เพื่อสร้างคุณค่าให้แก่ การดำเนินธุรกิจ และใช้ประโยชน์ จากจุดแข็งและความหลากหลายของ พนักงานแต่ละบุคคล ผสานความ แข็งแกร่ง มุ่งสู่เป้าหมายเดียวกัน
สร้างสรรค์คุณค่า...เรามุ่งมั่นที่จะริเริ่มสิ่งใหม่ และพร้อมที่จะสร้างโอกาสที่จะสร้างสรรค์คุณค่าให้แก่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกกลุ่ม
ใส่ใจต่อผู้เกี่ยวข้อง... เราเอาใจใส่และทำความเข้าใจต่อทุกมุมมองของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ด้วยความตั้งใจดี และมั่นใจว่าจะสามารถเติบโตก้าวไปด้วยกันอย่างมั่นคงและยั่งยืน
ผู้นำเครื่องดื่มครบวงจร
จากความแข็งแกร่งในธุรกิจสุรา ไทยเบฟได้ขยายกิจการ เข้าสู่ธุรกิจเบียร์และธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ โดยปัจจุบันถือเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียน |
ธุรกิจสุรา
ความภาคภูมิใจไทย
บนมาตรฐานเวทีโลก
ธุรกิจสุราของไทยเบฟมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เริ่มจากสุราขาวที่นับเป็นสุราชนิดแรกของไทย และอยู่คู่กับคนไทยมาอย่างยาวนาน จากเดิมก่อนที่รัฐบาล จะเปิดเสรีธุรกิจสุรา สุราขาวถือเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity Product) ที่หาซื้อได้ทั่วไปตามชุมชน ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก และไม่มีตราสินค้าแต่อย่างใด จนถึง พ.ศ. 2543 เมื่อกลุ่มบริษัทเข้าซื้อกิจการโรงงานสุรา 12 แห่งจากรัฐบาล จึงได้เริ่มสร้างตราสินค้าให้กับสุราขาว ภายใต้ชื่อ “รวงข้าว” ซึ่งมาจากรูปรวงข้าวที่อยู่บน ฉลากสินค้า โดยเริ่มจากการพิมพ์ชื่อตราสินค้า “รวงข้าว” ลงบนกล่อง และขยายไปสู่การพิมพ์ชื่อตราสินค้า “รวงข้าว” ลงบนฉลากสินค้าตามลำดับ เป็นการสร้างการรับรู้ ในตราสินค้าอย่างค่อยเป็นค่อยไป จนในที่สุด ”รวงข้าว” กลายเป็นตราสินค้าสุราขาวอันดับ 1 ที่ครองใจผู้บริโภคชาวไทยอย่างมั่นคงมาโดยตลอด และมียอดขายอยู่ใน อันดับที่ 2 ของโลก จากการสำรวจของ IWSR (International Wine and Spirit Research)
สุราขาว “รวงข้าว” ผลิตจากวัตถุดิบหลักที่มีคุณภาพที่คัดสรรมาอย่างพิถีพิถัน ผ่านกรรมวิธีและเครื่องจักร ที่ได้มาตรฐานสากลทุกขั้นตอน ทำให้ได้รสชาติที่เป็นเอกลักษณ์ และเพื่อต่อยอดความสำเร็จและขยายช่องทาง การเติบโตของสุราขาวไทยในภูมิภาคเอเชีย รวมถึงดำเนินการตามแนวกลยุทธ์ Premiumization บริษัทได้เปิดตัวสินค้า “รวงข้าว ซิลเวอร์” เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้สินค้าในกลุ่มสุราขาว ชูจุดเด่นของรวงข้าวที่คัดสรรวัตถุดิบ ชั้นดี คือ Sugar Cane Honey ผ่านกรรมวิธีการผลิตแบบมาตรฐานสากลต่างประเทศ ทำให้ได้รสชาติที่นุ่ม หอม และหวานอย่างมีเอกลักษณ์ สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคได้หลากหลายรูปแบบการดื่ม พร้อมบรรจุภัณฑ์รูปลักษณ์ พรีเมี่ยม ทำให้สุราขาว “รวงข้าว ซิลเวอร์” ยกระดับเป็นตัวแทนสุราไทยออกสู่ตลาดโลก โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน อย่างประเทศเกาหลีและเวียดนาม
ในส่วนของสุราสีไทย ไทยเบฟมีการพัฒนาสินค้าและภาพลักษณ์อย่างต่อเนื่อง จากเดิมสุรา “แสงโสม” อันประกอบด้วย “แสงโสมเหรียญทอง” “แสงโสมสุพีเรียร์” “แสงโสมพรีเมี่ยม” และ “แสงโสมสิมิลัน” ที่เคย ตั้งราคาเท่ากันทั้งหมด บริษัทได้ปรับราคาและภาพลักษณ์ของแต่ละสินค้าให้แตกต่างกัน เพื่อสอดคล้องกับ กลุ่มเป้าหมายและความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยในปัจจุบัน “แสงโสมเหรียญทอง” เป็นสุราแสงโสม เพียงประเภทเดียวที่วางจำหน่ายในท้องตลาดและได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มผู้บริโภคที่มีความเป็นศิลปิน (Artistic)
ในส่วนของสุรา “แม่โขง” การเดินทางของ “แม่โขง” จากจุดเริ่มต้น ได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ปัจจุบัน “แม่โขง” ก้าวสู่ความเป็นสากลด้วยรสชาติที่โดดเด่น ภาพลักษณ์พรีเมี่ยม และเน้นที่เอกลักษณ์แห่ง The Spirit of Thailand ปรับเปลี่ยนตลาดเป้าหมายสู่การบริโภคในโรงแรมและร้านอาหารชั้นนำ และตั้งเป้าที่จะเห็นสุรา “แม่โขง” ได้รับการยอมรับให้เข้าไปอยู่ในผับบาร์ต่าง ๆ ทั่วโลก
ไทยเบฟได้นำสินค้าสุรา “หงส์ทอง” กลับสู่ตลาดอีกครั้งใน พ.ศ. 2549 (หลังจากการ ปรับขึ้นของภาษีสรรพสามิตใน พ.ศ. 2548) โดยได้ปรับภาพลักษณ์และบรรจุภัณฑ์ ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับรสนิยมของผู้บริโภครุ่นใหม่ ชื่อตราสินค้าภาษาไทย ถูกปรับเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษให้มีความสากลมากขึ้น และปรับขนาดตัวหงส์ให้เล็กลง จากความสำเร็จในการสร้างตราสินค้าสุรา “หงส์ทอง” ทำให้ในปัจจุบันสุรา “หงส์ทอง” กลายเป็นตราสินค้าหลักในกลุ่มสุราสี เจาะกลุ่มผู้บริโภคมวลชน (Mass Market) และมียอดจำหน่ายติดอันดับ 8 ของโลก จากการสำรวจของ IWSR สร้างความภาคภูมิใจ ให้แก่สุราไทยเป็นอย่างยิ่ง
ไทยเบฟเน้นการทำการตลาดโดยใช้กลยุทธ์ Premiumization อย่างต่อเนื่อง ด้วยการ นำสุราสีไทยมาบรรจุในกล่องของขวัญ (Gift Box) เพื่อสร้างมูลค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ เพิ่มความหรูหราและความสะดวกในการพกพา พร้อมพัฒนาตราสินค้าให้มีเอกลักษณ์ มีความแตกต่างกันในระดับราคา เพื่อเป้าหมายฐานลูกค้าที่แตกต่างกัน
นอกจากนี้ ไทยเบฟยังติดตามและศึกษาความเปลี่ยนแปลงและความต้องการของผู้บริโภคในแต่ละยุคสมัย เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของนักดื่มรุ่นใหม่ที่มองหาสุราไทยในภาพลักษณ์เทียบเท่าสุราสากล และตอบสนองต่อสถานการณ์การแข่งขัน ในตลาดสุราสีที่มีตราสินค้าจากต่างประเทศเริ่มเข้ามาทำตลาด ในประเทศมากขึ้น ใน พ.ศ. 2549 บริษัทได้เปิดตัวสุรา “เบลนด์ 285” ซึ่งเป็นสุราผสม สร้างความได้เปรียบคู่แข่งทั้งด้านราคาที่ ผู้บริโภคสามารถจับต้องได้ เนื่องจากมีฐานการผลิตภายในประเทศ แต่คุณภาพของสินค้าในระดับสากล โดยมีทั้งกล่องของขวัญ ฝาจุกกันปลอม และรูปลักษณ์สินค้าที่มีความเป็นสากล โดยสุรา “เบลนด์ 285” ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว ความสำเร็จ อย่างมากของ “เบลนด์ 285” ส่งผลให้ในปัจจุบัน “เบลนด์ 285” ติดอันดับที่ 73 ของ IWSR นอกจากนี้ เพื่อรองรับโอกาสที่ผู้บริโภค จะยกระดับการดื่มไปบริโภคสินค้าระดับพรีเมี่ยมในอนาคต บริษัท ได้ออกสุรา “เบลนด์ 285 ซิกเนเจอร์” สุราระดับพรีเมี่ยมที่เก็บบ่ม น้ำสุราในถังไม้โอ๊คพร้อมดีไซน์ที่หรูหราของบรรจุภัณฑ์ รวมถึง เริ่มนำเข้าสุราซิงเกิ้ลมอลต์จากโรงงานของเราในสกอตแลนด์ (Inver House) เพื่อเติมเต็มผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสุราระดับพรีเมี่ยม
ไทยเบฟยังมุ่งสร้างความเติบโตและขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการรักษาความแข็งแกร่งทางธุรกิจในประเทศไทย ก้าวสำคัญของไทยเบฟในการก้าวสู่ตลาดสุราในภูมิภาคอาเซียน คือ การเข้าซื้อหุ้นในแกรนด์รอยัลกรุ๊ป ซึ่งเป็นผู้ประกอบการ รายใหญ่ที่สุดในตลาดสุราของเมียนมา มีตราสินค้าวิสกี้ ที่มีชื่อเสียงในระดับสากลคือ สุรา “แกรนด์รอยัล วิสกี้” ซึ่งเป็น ที่นิยมอย่างมากในประเทศเมียนมา และติดอันดับที่ 41 ของโลก นอกจากนี้ บริษัทได้ตั้งบริษัทย่อยขึ้นในเวียดนาม เพื่อเริ่มนำเข้าและจัดจำหน่ายสุราจากประเทศไทยและสกอตแลนด์
สำหรับตลาดสุรานอกภูมิภาคอาเซียน ไทยเบฟซื้อกิจการ สก็อตช์วิสกี้ Inver House และร่วมพัฒนาธุรกิจให้เติบโตยิ่งขึ้น จากเดิมเน้นการขายสุราวิสกี้แบบถัง (Bulk Whisky) สู่การทำสุรา ซิงเกิ้ลมอลต์แบบบรรจุขวดมากขึ้นเพื่อเพิ่มมูลค่าของสินค้า ผ่านการปรับปรุงภาพลักษณ์และกิจกรรมทางการตลาด ทำให้ ตราสินค้าซิงเกิ้ลมอลต์ของ Inver House เช่น “Old Pulteney” “Balblair” “anCnoc” “Speyburn” ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เป็นอย่างมาก ตลอดจนได้รับการยอมรับและการันตีคุณภาพด้วย รางวัลยิ่งใหญ่ระดับโลกอย่าง Whisky of the Year (Old Pulteney 21 Year Old) จาก Jim Murray’s 2012 Whisky Bible และ Old Pulteney Vintage 1989 กับรางวัล World’s Best Single Malt Whisky of 2016 โดยสถาบัน World Whiskies Awards และขยายกลุ่มลูกค้าส่งออกไปกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
ธุรกิจสุราของไทยเบฟ
สุราขาว
สุราขาวเป็นหนึ่งในผลิตภัณฑ์หลักในกลุ่มธุรกิจสุราของไทยเบฟ ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบหลักที่มีคุณภาพอย่างพิถีพิถัน ผ่านกรรมวิธีและเครื่องจักรที่ทันสมัย ทำให้ได้สุราที่มีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ “รวงข้าว” สุราขาวของไทยเบฟ จึงได้รับความนิยมอย่างมากตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เป็นตราสินค้าอันดับ 1 ของ ผู้บริโภคชาวไทยและมียอดขายอยู่ในอันดับ 2 ของโลก นอกจากนี้ไทยเบฟยังขยายการเติบโตของสุราขาวไทย ระดับพรีเมี่ยมในภูมิภาคเอเชียด้วย “รวงข้าว ซิลเวอร์”
ตามกลยุทธ์ของบริษัทในการขยายธุรกิจไปยัง ตลาดต่างประเทศ ไทยเบฟเข้าซื้อบริษัท ยูนนาน อวี้หลินฉวน ลิเคอร์ จำกัด ซึ่งมีกิจการโรงงาน ผลิตสุราขาวในทางตอนใต้ของเมืองคุนหมิง ภายใต้ตราสินค้า “อวี้หลินฉวน” อันเป็นหนึ่งใน ตราสินค้าสุราที่เก่าแก่และมีชื่อเสียงที่สุดในมณฑล ยูนนาน ผลิตภัณฑ์ของอวี้หลินฉวนเป็นที่รู้จักในฐานะ หนึ่งในยอดสุราของมณฑลยูนนาน และได้รับรางวัล ด้านคุณภาพมาแล้วมากมาย
นอกเหนือจากสุราขาวไทย Caorunn พรีเมี่ยมยินของไทยเบฟซึ่งผลิตด้วยความประณีตจากโรงกลั่น Balmenach ในประเทศสกอตแลนด์ โดยคัดสรรและเก็บเกี่ยวสมุนไพรท้องถิ่นสกอตแลนด์ 5 ชนิด ผสมกับสมุนไพรหลัก 6 ชนิดของการกลั่นยิน ทำให้ Caorunn มีรสชาติที่สดชื่นและโดดเด่นไม่เหมือนใคร Caorunn นับเป็นยินระดับ Super Premium ที่ได้รับความนิยมติดอันดับ 1 ใน 5 ในประเทศอังกฤษ และมีวางจำหน่ายในกว่า 35 ประเทศทั่วโลก
สุราสี
สุราสีไทยนับเป็นอีกหนึ่งประเภทสุราที่มีประวัติยาวนาน ตราสินค้าหลักของบริษัทประกอบด้วย “แม่โขง” “หงส์ทอง” และ ”มังกรทอง”
ชื่อของสุรา “แม่โขง” สะท้อนให้เห็นความยิ่งใหญ่ ของลำน้ำโขงที่ไหลผ่านดินแดนแห่งวัฒนธรรมสำคัญและหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชุมชนริมน้ำโขง นับจาก ที่สุรา “แม่โขง” ขวดแรกถือกำเนิดขึ้นใน พ.ศ. 2484 ชื่อสุรา “แม่โขง” ก็ครองใจและถือเป็นความภาคภูมิใจ ของคนไทย การเดินทางของ “แม่โขง” จากจุดเริ่มต้น ได้พัฒนาและเปลี่ยนแปลงตามกาลเวลา ปัจจุบัน “แม่โขง” ก้าวสู่ความเป็นสากลด้วยรสชาติที่โดดเด่น ภาพลักษณ์พรีเมี่ยม และเอกลักษณ์แห่ง The Spirit of Thailand จึงทำให้สุรา “แม่โขง” แตกต่างจาก สุราอื่น ๆ ในตลาดโลกอย่างเด่นชัดและได้รับความนิยม จากนักดื่มนานาประเทศ รวมทั้งการสร้างสรรค์เมนู ค็อกเทลสูตรพิเศษ “ไทยสบาย” ซึ่งถือเป็น Signature Drink ของ “แม่โขง” ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ นอกจากนี้มีการจัดกิจกรรม Mekhong Elite Table อย่างต่อเนื่อง ซึ่งเป็นการนำเสนอศิลปะในการจับคู่ เครื่องดื่มค็อกเทลไทยกับอาหารไทย เพื่อสร้างประสบการณ์แห่งรสชาติครั้งใหม่ให้กับมื้ออาหาร บริษัทกำหนดช่องทางการขายของ “แม่โขง” ที่ร้านอาหาร โรงแรม และตั้งเป้าที่จะเห็นสุรา “แม่โขง” ได้รับการยอมรับไปทั่วโลก
สุรา “หงส์ทอง” นับเป็นตราสินค้าหลักในกลุ่มสุราสี มียอดจำหน่ายติดอันดับ 8 ของโลก ความสำเร็จของสุรา “หงส์ทอง” ในปัจจุบัน เกิดขึ้นจากการปรับภาพลักษณ์ และบรรจุภัณฑ์ใน พ.ศ. 2549 ให้มีความทันสมัย สอดคล้องกับผู้บริโภครุ่นใหม่ รวมถึงการจัดกิจกรรมทางการตลาดภายใต้ “มันส์ล่ะหงส์” มีกิจกรรมทางดนตรีให้กลุ่มเป้าหมายผู้บริโภคมวลชน (Mass Market) สุรา “มังกรทอง” ไทยเบฟกำหนดตำแหน่งทางการตลาดเป็นสุราที่คุ้มค่าคุ้มราคา (Value for Money)
สุราสี
รัมไทย
สุรา “แสงโสม” จัดเป็นเหล้ารัม 40 ดีกรีของไทย ที่ผู้บริโภคคุ้นเคย ที่มีส่วนผสมของเอทิลแอลกอฮอล์คุณภาพดี เก็บบ่มในถังไม้โอ๊คนาน 3 - 10 ปี และ นำมาปรุงด้วยหัวเชื้อสูตรลับเฉพาะที่ทำมาจากสมุนไพร และเครื่องเทศนับร้อยชนิด ใน พ.ศ. 2525 และ พ.ศ. 2526 สุรา “แสงโสม” ได้รับรางวัลเหรียญทอง จากการประกวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นานาชาติของประเทศสเปน (International Quality to Alcohol Beverages) และใน พ.ศ. 2526 ได้รับรางวัล เหรียญทองจากการประกวดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นานาชาติของประเทศเยอรมนี โดยกลุ่มเป้าหมายของ “แสงโสม” คือ ผู้บริโภคที่มีความเป็นศิลปิน (Artistic) กิจกรรมสนับสนุนตราสินค้าของแสงโสมจึงเน้น ในด้านศิลปะและดนตรีภายใต้แคมเปญงานสายศิลป์ (NganSaiSilp) นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์ “พระยา” รัมไทยระดับพรีเมี่ยม ที่ผ่านการเก็บบ่มยาวนานถึง 7 - 12 ปี เป็นหนึ่งในรัมไทย ที่ออกสู่ตลาดโลก รับประกันคุณภาพด้วยเหรียญ Double Gold จากงาน 2013 San Francisco World Spirits Competition และรางวัล Category Winner – Gold Rum Aged 8 - 12 Years จากงาน World Rum Awards 2017 “พระยา” สร้างสรรค์ขึ้นด้วย แรงบันดาลใจจากความอุดมสมบูรณ์ของธาตุทั้ง 4 บนแผ่นดินไทย รวมไปถึงรูปทรงลวดลายของขวด ที่สะท้อนดิน น้ำ ไฟ ลม ฉลุลงบนแผ่นสีทองตัดกับ รัมทองอำพัน ตอกย้ำความเป็นซูเปอร์พรีเมี่ยม ของรัมไทย
บรั่นดี
บรั่นดี “เมอริเดียน” ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกใน พ.ศ. 2553 ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของไทยเบฟในตลาดผลิตภัณฑ์ในกลุ่มบรั่นดี และผลักดันให้ไทยเบฟ ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มีความแข็งแกร่งและมีสินค้าครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ความโดดเด่นของบรั่นดี “เมอริเดียน” อยู่ที่ความเป็นบรั่นดีเกรด V.S.O.P. (Very Special Old Pale) คัดสรรวัตถุดิบจากธรรมชาติ ทั้งองุ่นและผลไม้ชนิดอื่น มาหมัก กลั่น แล้วนำไปบ่มในถังไม้โอ๊คนานกว่า 4 ปี เพื่อให้ได้รสชาติกลมกล่อม
เมียนมาวิสกี้
การเข้าซื้อหุ้นในบริษัท เมียนมาร์ ซัพพลายเชน แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส คอมพานี ลิมิเต็ด และเมียนมาร์ ดิสทิลเลอรี่ คอมพานี ลิมิเต็ด หรือ แกรนด์รอยัลกรุ๊ป ถือเป็นก้าวสำคัญของไทยเบฟ ในการก้าวเข้าสู่ตลาดเมียนมาวิสกี้ แกรนด์รอยัลกรุ๊ปเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในตลาดสุราของ เมียนมา มีตราสินค้าวิสกี้ที่มีชื่อเสียงในระดับสากลและมีการบริหารงานอย่างมืออาชีพ แกรนด์รอยัลกรุ๊ป ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2538 และสามารถสร้างชื่อเสียง ได้อย่างรวดเร็วด้วยการนำเสนอสินค้าที่ยอดเยี่ยม และบริการที่โดดเด่นให้กับและผู้บริโภค ตราสินค้า ของกลุ่มคือแกรนด์รอยัล วิสกี้ (Grand Royal Whisky) แกรนด์รอยัล สมูธ วิสกี้ (Grand Royal Smooth Whisky) แกรนด์รอยัล ซิกเนเจอร์ วิสกี้ (Grand Royal Signature Whisky) แกรนด์รอยัล สเปเชียล รีเสิร์ฟ วิสกี้ (Grand Royal Special Reserve Whisky) และแกรนด์รอยัล ดับเบิ้ลโกลด์ วิสกี้ (Grand Royal Double Gold Whisky) รอยัล ดราย จิน (Royal Dry Gin) และ อีเกิ้ล วิสกี้ (Eagle Whisky) โดยแต่ละตราสินค้า เป็นตราสินค้าเด่นของเมียนมาในปัจจุบัน
สุรา “แกรนด์รอยัล วิสกี้” ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ในประเทศเมียนมา ส่งผลให้ “แกรนด์รอยัล วิสกี้” ติดอันดับที่ 41 ของโลกจากการสำรวจของ IWSR
นอกจากนี้ Inver House ยังมีความเชี่ยวชาญใน สุราซิงเกิ้ลมอลต์ การปรับปรุงภาพลักษณ์และกิจกรรมทางการตลาดเอกซ์คลูซีฟทำให้ตราสินค้าซิงเกิ้ลมอลต์ของ Inver House เช่น “Old Pulteney” “Balblair” “anCnoc” “Speyburn” ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้น เป็นอย่างมาก และได้รับรางวัลใหญ่ระดับโลก หลายรางวัล รวมถึงขยายกลุ่มลูกค้าส่งออกไปกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
วอดก้าและเครื่องดื่มพร้อมดื่ม (Ready to Drink)
ใน พ.ศ. 2561 บริษัทได้ขยายสู่สุราประเภท Ready to Drink กับตราสินค้า “Star Cooler” ไวน์คูลเลอร์ พร้อมดื่มสำหรับผู้หญิง และ “Kulov Max 7” วอดก้า พร้อมดื่มในรูปแบบกระป๋อง เพื่อตอบโจทย์ให้เป็นเครื่องดื่มที่สามารถดื่มได้ทุกที่ ทุกโอกาส ธุรกิจในกลุ่มสุราของไทยเบฟเริ่มต้นจากสุราขาวไทย ซึ่งเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ ที่แต่เดิมสินค้าในตลาด ไม่มีความแตกต่างกันมากนัก ผ่านการสร้างตราสินค้า ปรับภาพลักษณ์ตราสินค้า และเพิ่มความหลากหลาย ของราคาสินค้าให้สอดคล้องกับความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่แตกต่างกัน ในวันนี้ไทยเบฟได้สร้างตราสินค้าสุราไทยให้มีชื่อเสียงทั้งในไทยและต่างประเทศ พร้อมทั้งเสริมสร้างความแข็งแกร่งด้วยการต่อยอด สู่ธุรกิจสุราต่างประเทศ รวมถึงเพิ่มประเภทสินค้า เพื่อเติมเต็มกลุ่มผลิตภัณฑ์ในธุรกิจสุรา โดยไทยเบฟเชื่อมั่นว่าเราจะเป็นผู้นำในธุรกิจสุราได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
ธุรกิจเบียร์
คุณภาพสู่ความเป็นผู้นำตลาดในอาเซียน
การเดินทางสู่การเปลี่ยนแปลงในครั้งใหม่นี้ เกิดขึ้นเมื่อช่วงต้น พ.ศ. 2556 เริ่มจากการศึกษาข้อมูล ความต้องการของผู้บริโภคและผลวิจัยทางการตลาดจากหลาย ๆ ช่องทาง พร้อมทั้งกำหนดแนวทาง ภาพลักษณ์ใหม่ของเบียร์ช้าง และศึกษาโอกาส ในการดื่มเพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมกลุ่มผู้บริโภค รุ่นใหม่ อีกทั้งยังได้พัฒนาคุณค่าของตราสินค้า โดยยึดแนวคิดจากความต้องการของผู้บริโภค ที่มองหามิตรภาพที่จริงใจและแน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ เบียร์ช้างยังได้ปรับลดระดับความขมและ ปริมาณแอลกอฮอล์ลง เพื่อให้เป็นเบียร์ที่ดื่มง่าย แต่ยังคงไว้ซึ่งความกลมกล่อมของรสชาติเบียร์ รวมทั้งเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ในการสื่อสารของตราสินค้าในทุกช่องทาง อาทิ สื่อประชาสัมพันธ์ และอุปกรณ์ส่งเสริมการขายต่าง ๆ ให้ทันสมัยมากยิ่งขึ้น โดยการเปลี่ยนแปลงอย่างยิ่งใหญ่ในครั้งนี้นำมาซึ่งเบียร์ช้างภาพลักษณ์ใหม่ที่หรูหรา มีระดับ ในขวด สีเขียวมรกต
ด้วยภาพลักษณ์ใหม่ที่ดูดีและทันสมัย เบียร์ช้างจึงเป็นที่ถูกใจของผู้บริโภค อย่างรวดเร็วนับตั้งแต่การเปิดตัวเมื่อเดือนสิงหาคม 2558 โดยใช้กลยุทธ์การสื่อสาร ที่โดนใจผู้บริโภคเรื่องมิตรภาพที่แน่นแฟ้นจริงใจ พร้อมทั้งกิจกรรมทางการตลาด ที่หลากหลายสำหรับผู้บริโภค เช่น ช้าง มิวสิค คอนเนคชั่น, ช้าง คาร์นิวัล, ช้าง เซนซอรี่ เทรลส์ และช้าง ฟุตบอล โมเมนต์ จึงไม่เป็นที่แปลกใจเลยว่ายอดขายของเบียร์ช้างเติบโตขึ้นถึงร้อยละ 58 และมี ส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 12 เช่นเดียวกับภาพลักษณ์ของตราสินค้า ที่ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นในทุก ๆ ด้าน ส่งผลให้เบียร์ช้างกลายเป็นตราสินค้า ที่ผู้บริโภคมีความต้องการมากที่สุด ในประเทศไทย และพร้อมที่จะก้าวสู่ การเป็นผู้นำในตลาดใน พ.ศ. 2563
ความสัมพันธ์ของเบียร์ช้างและกีฬาฟุตบอลนับเป็นอีกส่วนหนึ่งที่มีความสำคัญ เป็นอย่างยิ่งในประวัติศาสตร์ของ ความสำเร็จและความเป็นผู้นำของเบียร์ช้าง เริ่มตั้งแต่การเข้าร่วมสนับสนุนกีฬาฟุตบอลในระดับท้องถิ่น ระดับประเทศ ตลอดจนถึงการสนับสนุนทีมฟุตบอล เอฟเวอร์ตันมากกว่า 10 ปี และ เพื่อเป็นการสานต่อความยิ่งใหญ่ในการสนับสนุนกีฬาฟุตบอลในระดับสากล เมื่อไม่นานมานี้ ไทยเบฟได้ประกาศเข้าร่วมสนับสนุนทีมฟุตบอลเลสเตอร์ ซิตี้ นับเป็นการสร้างโอกาสครั้งสำคัญอีกครั้ง ที่จะสนับสนุนให้เบียร์ช้างและเบียร์ไซ่ง่อนกลายเป็นตราสินค้าที่ได้ร่วมสนับสนุนวงการฟุตบอลระดับโลก
นอกเหนือจากความสำเร็จของเบียร์ช้างในประเทศไทย ช้างและไทยเบฟมีเป้าหมายและวิสัยทัศน์ที่จะก้าวขึ้นสู่ ความเป็นผู้นำตลาดเบียร์ในอาเซียน ปลาย พ.ศ. 2560 จึงถือเป็นอีกก้าวหนึ่งที่ยิ่งใหญ่เมื่อไทยเบฟเข้าซื้อกิจการ ผู้ผลิตเบียร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศเวียดนาม “SABECO” ส่งผลให้ไทยเบฟก้าวขึ้นเป็นผู้นำอันดับหนึ่งในธุรกิจเบียร์ในตลาดอาเซียน ด้วยมีกลุ่มสินค้าเบียร์ที่หลากหลายสามารถนำเสนอให้แก่ผู้บริโภคในโอกาสต่าง ๆ อันประกอบไปด้วย สินค้าเรือธง เบียร์ช้าง รวมไปถึง เบียร์กลุ่มพรีเมี่ยม เบียร์เฟเดอร์บรอย ซึ่งเป็นเบียร์ สไตล์เยอรมันที่หมักบ่มจากเยอรมัน ซิงเกิ้ล มอลต์ เบียร์อาชา เบียร์ที่คุ้มค่าคุ้มราคา เบียร์แทปเปอร์ เบียร์แอลกอฮอล์สูง และเบียร์ไซ่ง่อน โดยไทยเบฟยังคงพัฒนาต่อยอดกลุ่มสินค้า เพื่อให้สอดคล้องกับโอกาส และแนวโน้มของตลาด เพื่อก้าวสู่การเป็นผู้นำธุรกิจเบียร์ ในอนาคต
ธุรกิจเครื่องดื่ม
ไม่มีแอลกอฮอล์
กับความนิยมที่ไร้ขีดจำกัด
ไทยเบฟขยายธุรกิจสู่ตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ จากการเข้าซื้อกิจการโออิชิ บริษัทเครื่องดื่มชาเขียวอันดับหนึ่ง ของประเทศไทยใน พ.ศ. 2551 และเข้าซื้อเสริมสุข บริษัทเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ที่มีเครือข่ายกระจายสินค้าครอบคลุมที่สุดในประเทศไทยใน พ.ศ. 2554 และ F&N ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและสิ่งพิมพ์ชั้นนำ ของประเทศสิงคโปร์ที่มีชื่อเสียงยาวนานกว่า 130 ปี ใน พ.ศ. 2555
ผลิตภัณฑ์หลักในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของไทยเบฟ ได้แก่ ชาเขียว “โออิชิ” เครื่องดื่มอัดลม “เอส” และ น้ำดื่ม “คริสตัล” เป็นต้น
ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ แบ่งตามประเภทสินค้า
โออิชิ
ชาเขียวพร้อมดื่มเป็นเครื่องดื่มที่ได้รับความนิยม อย่างสูงจากผู้บริโภคในประเทศไทย และชาเขียว พร้อมดื่ม โออิชิ ภาคภูมิใจกับการเป็นผู้นำ ทางการตลาดมาอย่างต่อเนื่อง
เป็นเวลากว่า 20 ปีแล้ว ที่โออิชิสร้างชื่อในกลุ่ม ธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มสุขภาพมาโดยตลอด ด้วยคุณลักษณะต่าง ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ ประกอบด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีอันทันสมัย ตลอดจนการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ ทำให้ชาเขียวโออิชิ ได้ชื่อว่าเป็นเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ตอบสนอง ความต้องการที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของ ผู้บริโภคได้อย่างทันท่วงทีเสมอ
ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอนนับตั้งแต่กระบวนการผลิต ด้วยเทคโนโลยีระดับสากล การคัดสรรวัตถุดิบ ชั้นเยี่ยมจากแหล่งวัตถุดิบคุณภาพ ตลอดจน ความละเมียดละไม ใส่ใจในเรื่องรสชาติที่หลากหลาย อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโออิชิ ทำให้ชาเขียว โออิชิมีรสชาติกลมกล่อมและแตกต่างจากชาเขียว ทั่วไปในท้องตลาด อาทิ ชาเขียว กลิ่นองุ่นเคียวโฮ นวัตกรรมชาเขียวเคี้ยวได้ยี่ห้อแรกของตลาด นับเป็นครั้งแรกที่ใส่วุ้นมะพร้าวลงในชาเขียวพร้อมดื่ม ส่งผลให้ โออิชิ กลิ่นองุ่นเคียวโฮ เป็นสินค้าที่ขายดีอันดับต้น ๆ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ การสร้างกระแส ความแปลกใหม่ก็นับเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งของชาเขียวโออิชิ เช่น นวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ที่เปลี่ยนสีได้เมื่อสัมผัส ความเย็นของชาเขียวโออิชิ กลิ่นซากุระ สตรอเบอร์รี่ การเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่มธุรกิจเครื่องดื่มที่ไม่มีแอลกอฮอล์และกลุ่มธุรกิจอาหารภายใต้ไทยเบฟ ทำให้ชาเขียวโออิชิ สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึงและแพร่หลาย นอกจากนี้ โออิชิยังคัดสรรความเป็นเลิศ รักษามาตรฐาน และคำนึงถึงความปลอดภัยและประโยชน์สูงสุดของ ผู้บริโภคเป็นหลัก
โออิชิภาคภูมิใจที่เป็นหนึ่งเดียวในกลุ่มเครื่องดื่มประเภทชา ที่สามารถคว้ารางวัลเกียรติยศ “แบรนด์ทรงพลัง” ของประเทศไทย The Most Powerful Brands of Thailand 2016 ประกาศคุณค่าของการเป็นชาพร้อมดื่ม ที่แข็งแกร่งและทรงพลังที่สุดในกลุ่มชาพร้อมดื่มประจำปี 2559 2560 และ 2561
นอกจากความแข็งแกร่งของชาเขียวโออิชิในประเทศแล้ว ยังคงต่อยอดความสำเร็จด้วยการส่งออกไปจำหน่าย สู่ตลาดอาเซียน ปัจจุบันโออิชิประสบความสำเร็จ อย่างมากและก้าวสู่การเป็นชาเขียวอันดับหนึ่ง ในลาว กัมพูชา และมาเลเซีย
ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพและรักษา ความเป็นผู้นำตลาด เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ผ่านการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ ตอบสนองความต้องการ ผู้บริโภคทุกเพศ ทุกวัย และมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับทุกช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน
เอส
ภายหลังจากการเข้าซื้อกิจการบริษัท เสริมสุข จำกัด (มหาชน) (“เสริมสุข”) ท่ามกลางความท้าทายและการแข่งขันในธุรกิจ เครื่องดื่มน้ำอัดลม ใน พ.ศ. 2555 เสริมสุขได้เปิดตัวเครื่องดื่มอัดลมภายใต้ตราสินค้า “เอส”
นับตั้งแต่เริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจเครื่องดื่มอัดลม “เอส” ได้สร้างปรากฏการณ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง และด้วยจุดแข็งของเสริมสุข ด้านช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าที่มีเครือข่ายครอบคลุม อยู่ทั่วประเทศ และการค้นคว้าจนได้รสชาติที่ชวนให้ลิ้มลอง ตลอดจนบรรจุภัณฑ์ที่เหมาะสมกับแต่ละช่องทางการจำหน่าย ส่งผลให้ “เอส” เติบโตเป็นตราสินค้าเครื่องดื่มอัดลมอันดับ 3 ของประเทศไทย
สำหรับชื่อผลิตภัณฑ์ “เอส” ก็นับเป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่สนับสนุนความสำเร็จเช่นกัน เพราะคำว่า “เอส” เป็นชื่อที่จำง่าย เรียกง่าย ติดปากผู้บริโภค ทั้งยังสื่อถึงความเป็นที่สุด เช่น B-est หมายความว่าดีที่สุด หรือ Cool-est หมายความว่าเท่ที่สุด หรือเย็นที่สุด เป็นต้น ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อตอบสนองต่อความต้องการ ของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย โดยเฉพาะผู้บริโภควัยรุ่นที่มองหา เครื่องดื่มรสชาติใหม่ที่มีความแตกต่างจากยี่ห้ออื่น ๆ เสริมสุขได้ เปิดตัวเครื่องดื่มน้ำสี “เอสเพลย์” ที่มีสีสันและรสชาติหลากหลาย รวมทั้งทำกิจกรรมส่งเสริมการตลาดเพื่อสนับสนุนตราสินค้าอย่าง ต่อเนื่อง และวางจำหน่ายบรรจุภัณฑ์รุ่นพิเศษในโอกาสต่าง ๆ
เอสยังคงมุ่งมั่นที่จะเติบโตสู่ตลาดอาเซียนด้วยการเปิดตัวเครื่องดื่ม “เอส โคล่า” ในประเทศเพื่อนบ้านของไทย นับเป็นการสร้าง ตราสินค้า “เอส” ให้ขยายตัวสู่ภูมิภาคนี้อย่างมั่นคงและยั่งยืน
คริสตัล
ในส่วนของตลาดน้ำดื่ม “คริสตัล” นับเป็นตราสินค้าหลัก ในการขับเคลื่อนกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ และสามารถครองใจผู้บริโภคมานานกว่า 20 ปี ด้วยรางวัลมาตรฐานการผลิตน้ำดื่มระดับโลกจาก สถาบัน NSF (National Sanitation Foundation) สหรัฐอเมริกา และรางวัลมาตรฐานระดับประเทศ อย. ควอลิตี้ อวอร์ด ถึง 4 ครั้ง รวมถึงได้รับ การรับรองมาตรฐาน ISO 22000 Food Safety ด้านการบริหารจัดการความปลอดภัยด้านอาหาร มาตรฐานฮาลาลซึ่งเป็นเครื่องหมายตรารับรองสำหรับชาวมุสลิม และการขึ้นทะเบียนฉลากลดโลกร้อน ในฐานะเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีการลดการปล่อย ก๊าซเรือนกระจก แสดงให้เห็นถึงคุณภาพของ การผลิตน้ำดื่มที่ดีเยี่ยมและใส่ใจต่อสิ่งแวดล้อม
ทั้งนี้ “คริสตัล” ยังเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อตอบสนองการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ด้วยการผนึกกำลังกับกลุ่มบริษัทในเครือไทยเบฟ เปิดสายการผลิตน้ำดื่มคริสตัล ณ โรงงานแก่นขวัญ จังหวัดขอนแก่น และโรงงานนทีชัย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โดยบริษัทใช้กำลังการผลิตจากโรงงานแห่งใหม่นี้เพื่อเร่งการขยายธุรกิจในตลาดน้ำดื่ม และกระจายสินค้าครอบคลุมพื้นที่ใหม่ ๆ เพื่อให้ได้ ปริมาณขายเพิ่มขึ้น และบริษัทยังคงสำรวจการตั้ง โรงงานผลิตในส่วนอื่น ๆ ของประเทศต่อไป เพื่อตอบสนอง ต่อความต้องการของตลาดในส่วนที่ยังเข้าไปไม่ถึง
นอกจากนี้ “คริสตัล” ได้ตอกย้ำการเป็นตราสินค้า น้ำดื่มคุณภาพที่ขายดีที่สุดในประเทศไทย ด้วยการ รับมอบรางวัลแบรนด์ที่มีการตัดสินใจเลือกซื้อสูงสุด ประจำปี 2560 - Brand Footprint Award ประเภท รางวัลแบรนด์ดาวรุ่งในกลุ่มเครื่องดื่ม จากกันตาร์ เวิล์ดพาแนล บริษัทวิจัยพฤติกรรมการจับจ่ายของ ผู้บริโภคเชิงลึกที่เชี่ยวชาญในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีอัตราการบริโภคสูงหรือ FMCG (Fast Moving Consumer Goods) รางวัลดังกล่าวนี้ได้ตอกย้ำ ความเป็นตราสินค้าน้ำดื่มคุณภาพอันดับหนึ่งในใจ ของคนไทย
“น้ำดื่มตราช้าง” เริ่มวางจำหน่ายใน พ.ศ. 2538 เป็นหนึ่งในตราสินค้าที่คนไทยรู้จักมาอย่างยาวนานและได้รับรางวัลรับรองจากหลายสถาบัน เช่น GMP (Good Manufacturing Practice) NSF (National Sanitation Foundation) และรางวัลอื่น ๆ ที่การันตีคุณภาพในระดับสากล ซึ่งสร้างความมั่นใจในคุณภาพให้กับผู้บริโภคอย่างมาก
ใน พ.ศ. 2558 “น้ำดื่มตราช้าง” ได้ปรับภาพลักษณ์ ฉลากใหม่ โดยยังคงอัตลักษณ์ของแบรนด์ช้าง ที่ผู้บริโภครู้จักกันเป็นอย่างดี โดยการเพิ่มลายเส้น ที่สื่อถึงการเคลื่อนไหวของสายน้ำ และเพิ่มความสดชื่น ให้แก่ผู้บริโภคโดยใช้สีเขียวซึ่งเป็นสีหลักของแบรนด์
จากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาใส่ใจดูแลสุขภาพ มากขึ้น ไทยเบฟจึงเลือกมองหาเครื่องดื่มที่ช่วย ดับกระหายคลายร้อนและอุดมด้วยคุณประโยชน์ ต่อร่างกาย โดยเปิดตัว “น้ำแร่ธรรมชาติตราช้าง” ใน พ.ศ. 2560 ภายใต้บรรจุภัณฑ์แบบขวด PET สีเขียวมรกต สำหรับน้ำแร่ช้างนั้น ผลิตขึ้นจาก หนึ่งในแหล่งน้ำบริสุทธิ์ที่ดีที่สุดจากชั้นหิน ให้น้ำธรรมชาติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่สะสม แร่ธาตุที่มีประโยชน์ต่าง ๆ มากว่า 1.6 ล้านปี
ใน พ.ศ. 2559 ไทยเบฟพัฒนาและเปิดตัวผลิตภัณฑ์ โซดาใหม่ภายใต้ตราสินค้า “ร็อค เมาเท็น” ซึ่งผลิต ด้วยเทคโนโลยี “โคลด์ อินฟิวชั่น” (Cold Infusion) ใช้กระบวนการผลิต ณ อุณหภูมิที่เย็นกว่า เพื่อคงความซ่าไว้ในน้ำโซดา โดยได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี จากกลุ่มผู้บริโภคซึ่งชื่นชอบการออกแบบของ บรรจุภัณฑ์และความซ่าที่ยาวนาน เมื่อผสมกับ เครื่องดื่มทำให้ได้รสที่กลมกล่อมถูกใจมากยิ่งขึ้น
เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (F&N)
นอกจากการส่งเสริมความมั่นคงของธุรกิจในประเทศแล้ว ไทยเบฟยังคงมุ่งมั่นสร้างการเติบโตของธุรกิจ โดยการขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศและก้าวสำคัญ ในการขยายธุรกิจในต่างประเทศคือ การซื้อหุ้นบริษัท เฟรเซอร์ แอนด์ นีฟ, ลิมิเต็ด (F&N) ใน พ.ศ. 2555 ซึ่งทำให้ F&N เข้าเป็นบริษัทร่วมของไทยเบฟ F&N ได้รับการยอมรับอย่างสูงว่าเป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องดื่ม ชั้นนำในประเทศสิงคโปร์ที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่า130 ปี มีตราสินค้าที่มีชื่อเสียงมากมาย และสามารถส่งเสริมธุรกิจเครื่องดื่มของไทยเบฟตามกลยุทธ์ระยะยาวได้เป็นอย่างดี F&N มีกลุ่มผลิตภัณฑ์และเครื่องหมายการค้าที่ครอบคลุมและหลากหลาย เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ของ F&N ประกอบด้วยเครื่องหมายการค้าที่เป็นที่รู้จักดีในระดับสากล เช่น 100พลัส, F&N Seasons และ Ice Mountain
ใน พ.ศ. 2558 ไทยเบฟได้นำ “100พลัส” เข้ามา ทำตลาดและวางจำหน่ายในประเทศไทย โดยเครื่องดื่ม “100พลัส” ถือกำเนิดขึ้นในประเทศสิงคโปร์ ใน พ.ศ. 2526 ซึ่งเป็นปีที่ F&N ดำเนินกิจการครบ 100 ปี และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้รับความนิยมอย่างมาก ในประเทศมาเลเซียและสิงคโปร์จนถึงปัจจุบัน
ใน พ.ศ. 2561 ไทยเบฟเล็งเห็นความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคที่ชื่นชอบรสชาติและโฟมซ่าของรูทเบียร์ จึงได้นำ “ซาสี่” เครื่องดื่มรูทเบียร์ต้นตำรับกลิ่นหอมและโฟมซ่ากลับมาสร้างความคึกคักในตลาดน้ำอัดลมอีกครั้ง โดยมีกลุ่มเป้าหมายหลักเป็นกลุ่มวัยรุ่นจนถึงวัยทำงานที่ชอบลิ้มลองของใหม่ที่มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ในตลาด รวมทั้งกลุ่มคนที่ชื่นชอบ และคิดถึงรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์ของ “ซาสี่” ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะเสริมสร้างศักยภาพและรักษา ความเป็นผู้นำตลาดเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ผ่านการสร้างนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ที่ดีต่อสุขภาพ อย่างต่อเนื่อง ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ทุกเพศทุกวัย และมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์สำหรับ ทุกช่วงเวลาในชีวิตประจำวัน
เครือข่ายอันแข็งแกร่ง
มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของการขาย มีการจัดตั้งหน่วยงาน
ดูแลลูกค้าให้ครอบคลุมทุกช่องทาง พร้อมกันนั้นได้มีการจัดตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก จำกัด เพื่อเพิ่มศักยภาพรองรับ การเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัท และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไทยเบฟได้พัฒนาเครือข่ายให้มีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง |
ในระยะแรกการจัดจำหน่ายสินค้ารับผิดชอบโดย หน่วยงานขายประจำพื้นที่ในแต่ละจังหวัด แบ่งเป็น 8 ภาค มีผู้จัดการประจำจังหวัด รับหน้าที่ดูแลบริหาร การขายในพื้นที่ของตนเอง ผ่านระบบตัวแทนจำหน่าย ที่ได้รับการแต่งตั้งในแต่ละจังหวัดและอำเภอ โดยมี หน่วยส่งเสริมการขายกลางเข้าไปช่วยดูแลและ ประสานงานขายตามภารกิจที่ได้รับมอบหมายในพื้นที่นั้น ๆ มีหน้าที่หลักคือ งานสำรวจตลาด สำรวจราคาขาย ถึงร้านขายปลีก และการกระจายสินค้าของบริษัท ในพื้นที่ พร้อมกับการรายงานสุราที่มีจำหน่ายที่มิชอบ ด้วยกฎหมายด้วย สำหรับงานบริหารจัดการด้าน การตลาดและส่งเสริมการตลาด ยังไม่มีการจัดตั้ง เป็นหน่วยงานกลางมารับผิดชอบแต่อย่างใด โดยช่องทางการขายกำหนดออกเป็น 2 ช่องทางหลัก ได้แก่ ขายให้กับคู่ค้า คือเอเย่นต์หรือตัวแทนจำหน่าย และการขายตรงให้กับผู้ค้าปลีก
ด้านพนักงานในสายงานขายไม่ได้มีการอบรมอย่างเป็น รูปธรรม ส่วนใหญ่จะเน้นการสอนงานจากรุ่นพี่ให้รุ่นน้อง ในพื้นที่การขาย (On-the-Job Training) ทำให้การเรียนรู้ ของพนักงานขายในแต่ละพื้นที่ไม่เหมือนกัน เพราะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ภาวะตลาดและลูกค้าในพื้นที่นั้น ๆ เป็นหลัก โดยจะมีการอบรมเบื้องต้นเฉพาะในหัวข้อ เกี่ยวกับข้อกำหนดทางด้านกฎหมายเกี่ยวกับการขาย เครื่องดื่มสุรา รวมถึงข้อกำหนดด้านภาษีและ ภาษีมูลค่าเพิ่ม
*โฮเรก้า คือ กลุ่มลูกค้าในธุรกิจโรงแรม ร้านอาหาร และจัดเลี้ยง (HORECA: Hotel Restaurant & Catering)
การบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์
ช่วงที่บริษัทได้รับสัมปทานผลิตและจำหน่ายสุรา บริษัทใช้รถบรรทุก ในการขนส่งสินค้าจากคลังสินค้าภายในโรงงานไปส่งให้กับ ตัวแทนจำหน่ายและร้านค้า โดยมีรถบรรทุกของแต่ละพื้นที่และ ว่าจ้างผู้ขนส่งภายนอกมาดำเนินการ และหน่วยขายอาจมีบทบาท ในการช่วยส่งสินค้าในช่วงเทศกาล ต่อมาภายหลัง เพื่อให้เกิด การบริหารต้นทุนด้านการขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ จึงได้ก่อตั้ง บริษัท สหทิพย์ขนส่ง จำกัด ใน พ.ศ. 2535 เพื่อรับผิดชอบในส่วนของการบริหารจัดการด้านการขนส่งแบบรวมศูนย์ เพื่อให้เป็น ผู้บริหารจัดการคำสั่งซื้อและจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าด้วยตนเอง แต่ยังคงเป็นการให้บริหารในด้านการขนส่งเท่านั้น
ต่อมาเพื่อให้การบริหารงานขนส่งมีศักยภาพรองรับการเติบโตอย่างรวดเร็วของบริษัท ซึ่งระบบโลจิสติกส์เปรียบเสมือน กระดูกสันหลังที่เป็นแกนหลัก และเป็นส่วนที่สำคัญของกระบวนการผลิตและการกระจายสินค้า จึงได้มีการก่อตั้งบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ โลจิสติก จำกัด (ทีบีแอล) ขึ้นใน พ.ศ. 2550 เพื่อการบริหารจัดการด้านโลจิสติกส์อย่างเต็มรูปแบบ โดยได้ กำหนดจุดขนส่งกลยุทธ์ในแต่ละภูมิภาค และใน พ.ศ. 2555 และ 2556 มีการจัดตั้งศูนย์กระจายสินค้าที่จังหวัดนครราชสีมาและ จังหวัดสุราษฎร์ธานี ตามลำดับ ล่าสุดใน พ.ศ. 2560 ทีบีแอล ได้เปิดศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาคแห่งใหม่ ณ อำเภอเกาะคา จังหวัดลำปาง เพื่อเป็นฐานในการกระจายสินค้าสู่พื้นที่ในภาคเหนือ ทำให้ในปัจจุบันมีศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาค 3 แห่ง และศูนย์ขนส่งหลัก 2 แห่ง ได้แก่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา และจังหวัดกำแพงเพชร และศูนย์ขนส่งย่อย 15 แห่ง โดยมีรถขนส่งสินค้า รถบรรทุก 6 ล้อ 10 ล้อ 18 ล้อ และ 22 ล้อ จำนวน 1,380 คัน ทั้งนี้ บริษัทมีแผนการที่จะปรับเปลี่ยนศูนย์กระจายสินค้าภูมิภาค ทั้งหมดให้เป็นศูนย์กระจายสินค้าอัจฉริยะ โดยการนำเทคโนโลยี เข้ามาบริหารจัดการระบบทั้งหมด ภายใต้ระบบอัตโนมัติและ การใช้บิ๊กดาต้ามาทำการเชื่อมโยงศูนย์ทั้งหมด รวมทั้งก่อตั้ง ศูนย์กระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพสูง 18 แห่ง แทนคลังสินค้า ซึ่งมีอยู่ 55 แห่งด้วยกันในปัจจุบัน
ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ทีบีแอลได้พัฒนาระบบ บริการขนส่งอย่างต่อเนื่อง ด้วยการขยายฐานการกระจายสินค้า สู่ภูมิภาคอย่างมีประสิทธิภาพ จึงสามารถลดต้นทุนค่าขนส่งในการกระจายสินค้า และส่งสินค้าได้ทันตามความต้องการของลูกค้า ได้อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการขนส่งสินค้าทางรถไฟและ ทางเรือในบางพื้นที่ เพื่อรองรับการขยายธุรกิจในส่วนของอาหาร บริษัทได้เข้าไปถือหุ้นบริษัท ฮาวี ลอจิสติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งและกระจายสินค้าที่มีการควบคุมอุณหภูมิของสินค้าให้เหมาะสม ตั้งแต่ออกจากโรงงานไปจนถึง มือผู้บริโภค (Cold Chain) เพื่อให้บริการแก่ลูกค้าในกลุ่มธุรกิจ ร้านอาหาร (Food Services) ในประเทศไทย
ขยายสู่ธุรกิจอาหาร
การขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างยั่งยืนต้องมองหาธุรกิจ
ที่แข็งแกร่งและเชื่อมโยงกัน ไทยเบฟจึงมุ่งมั่นเสริมทัพธุรกิจ เครื่องดื่ม โดยการต่อยอดสู่ธุรกิจอาหารที่มีศักยภาพ |
เป้าหมายของ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) คือ การเป็นอันดับ 1 ในธุรกิจเครื่องดื่มและอาหารของประเทศไทยและอาเซียน ซึ่งปัจจุบัน สามารถก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครื่องดื่มครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียนได้สำเร็จ ทั้งยังติด Top 5 บริษัทเครื่องดื่มรายใหญ่ในเอเชีย ก้าวสำคัญที่ไทยเบฟ มีความมุ่งมั่นที่จะสร้างให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นคือ “กลุ่มธุรกิจอาหาร” เพราะธุรกิจอาหารเป็นอีกหนึ่งความเชื่อมโยงกับเครื่องดื่มอย่างมีนัยสำคัญ เพิ่มโอกาสในการขยายธุรกิจได้อย่างก้าวกระโดด ทั้งในด้านผลประกอบการ และความสามารถในการเข้าถึงผู้บริโภคได้โดยตรง ผ่านเครือข่ายร้านอาหาร ที่กระจายครอบคลุมทั่วประเทศ ซึ่งปัจจุบันมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ทั้งจากการเพิ่มฐานลูกค้าหรือเพิ่มความถี่ในการกลับมารับประทานที่ร้าน ให้บ่อยขึ้นในร้านเดิม และจากการเพิ่มขยายสาขาใหม่ ๆ ที่เพิ่มขึ้น
ร้านอาหารญี่ปุ่น
ก้าวแรกในธุรกิจอาหาร
หากย้อนกลับไปก้าวแรกของการลงทุนในธุรกิจ ร้านอาหารอย่างจริงจังของไทยเบฟ เกิดขึ้นเมื่อครั้ง ซื้อกิจการ “โออิชิ กรุ๊ป” ใน พ.ศ. 2551 ทำให้ได้ทั้ง ธุรกิจเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์และธุรกิจอาหาร ซึ่ง “โออิชิ” เป็นผู้สร้างตลาด “ร้านอาหารญี่ปุ่น” ในรูปแบบบุฟเฟต์ และทำให้การบริโภคอาหารญี่ปุ่นแพร่กระจายเป็นวงกว้างในระดับ Mass Market การเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ของกลุ่มไทยเบฟ ได้มีความมุ่งมั่นที่จะขยายตลาดโดยเปิดเกมขยายสาขาตามศูนย์การค้าและแหล่งชุมชนต่าง ๆ ในประเทศ พร้อมสร้าง Brand Portfolio ร้านอาหารญี่ปุ่น ให้มีความหลากหลายของประเภทอาหารและระดับราคา ทำให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม ทุกโอกาสการบริโภค อีกทั้งยังได้กำหนดวิสัยทัศน์ อย่างชัดเจนว่า “โออิชิ” คือผู้นำและสร้างสรรค์ธุรกิจ อาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่น เพื่อคุณภาพชีวิตที่ดี ของคนรุ่นใหม่ โดยมีพันธกิจคือ ส่งมอบอาหารและ เครื่องดื่มที่มีคุณภาพให้กับลูกค้า พร้อมมุ่งมั่นสร้าง และรักษาความนิยมของผู้บริโภคในสินค้าของโออิชิ ให้มีความต่อเนื่อง อีกทั้งให้ความสำคัญกับ การผลิตสินค้าให้ได้มาตรฐาน มีการจัดการ ด้านสุขลักษณะที่ดี โดยเลือกใช้วัตถุดิบที่มีคุณภาพ ปลอดภัยและสร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า เพื่อให้ได้รับการยอมรับจากทั้งตลาดภายในประเทศ และต่างประเทศ อีกทั้งปรับปรุงกระบวนการผลิต อย่างต่อเนื่อง โดยนำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ใน กระบวนการผลิต การวิจัย และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิตและการแข่งขัน ในด้านราคาและด้านคุณภาพกับคู่แข่งขันทั้งในและ ต่างประเทศ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยผลักดันให้เศรษฐกิจ ของประเทศไทยมีความเจริญเติบโตมากขึ้น
3 กลุ่มธุรกิจอาหารของโออิชิ
โออิชิประกอบและพัฒนาธุรกิจร้านอาหารสไตล์ญี่ปุ่นที่หลากหลาย ที่มีเอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่น ทั้งบุฟเฟต์ ชาบู ยากินิกุ รวมไปถึงอาหาร ประเภทราเมนและข้าวหน้าต่าง ๆ ซึ่งให้บริการครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภค ทุกเพศ ทุกวัย โดยปัจจุบันมีร้านอาหารในเครือทั้งหมดจำนวนรวมกว่า 250 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่
โออิชิ แกรนด์ บุฟเฟต์หรูแนวใหม่กับหลากหลายเมนูคัดพิเศษ
ชาบูชิ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Shabushi and So Much More ทั้งชาบูและซูชิ มากมายล้นสายพาน
โออิชิ อีทเทอเรียม ร้านอาหารญี่ปุ่นนิยามใหม่ ภายใต้แนวคิด 3 ส่วนผสม ที่ลงตัว ประกอบด้วย EAT – EXPLORE - PREMIUM เพื่อส่งมอบ ความอร่อยที่มาพร้อมคุณภาพในบรรยากาศแบบญี่ปุ่นสไตล์ “ยาไต” (Yatai) พร้อมการให้บริการที่ทันสมัยโดยใช้ระบบบาร์โค้ดและจอทัชสกรีนสั่งอาหารเมนูพิเศษของแต่ละโซน
โออิชิ บุฟเฟต์ อาหารญี่ปุ่นขนานแท้ในรูปแบบบุฟเฟต์
นิกุยะ บุฟเฟต์ปิ้งย่างตำรับญี่ปุ่นแท้
โออิชิ ราเมน ราเมนต้นตำรับญี่ปุ่นแท้หลากหลายเมนูและปรุงแต่ง รสจัดจ้านตามตำรับไทย
คาคาชิ เมนูข้าวหน้าหลากหลายสไตล์ญี่ปุ่น
2. โออิชิ เดลิเวอรี่ (Oishi Delivery)
โออิชิ เดลิเวอรี่ ถือกำเนิดขึ้นเพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการสั่งอาหารสไตล์ญี่ปุ่นให้ผู้บริโภคได้อร่อยกันถึงบ้าน ผ่าน 2 ช่องทางหลักคือ
www.oishidelivery.com และ Call Center หมายเลขโทรศัพท์ 1773
ซึ่งให้บริการครอบคลุมทั้งพื้นที่ในเขตกรุงเทพมหานคร ปริมณฑล
และต่างจังหวัดทั่วประเทศ
3. อาหารพร้อมปรุงและพร้อมทาน (Oishi Packaged Food)
โออิชิได้พัฒนาและจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในกลุ่มอาหารพร้อมปรุงและ
พร้อมทาน ทั้งแบบแช่เย็นและแช่แข็งที่หลากหลาย เช่น แซนด์วิช เกี๊ยวซ่า
เส้นราเมน และข้าวหน้าต่าง ๆ เพื่อรองรับแนวโน้มการขยายตัวของตลาด
อาหารพร้อมทาน และความต้องการของกลุ่มผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่มีไลฟ์สไตล์เร่งรีบ เน้นการรับประทานอาหารที่สะดวกและรวดเร็ว รวมถึง
การขยายสู่ตลาดต่างประเทศ ทั้งภูมิภาคเอเชียและกลุ่มสหภาพยุโรป
โดยมีครัวกลางโออิชิ ซึ่งตั้งอยู่ที่อำเภอบ้านบึง จังหวัดชลบุรี เป็นศูนย์กลาง
การผลิตที่ได้รับการรับรองมาตรฐานระดับโลก โดยได้รับการรับรอง
มาตรฐานระดับสากลเทียบเท่าระดับสินค้าส่งออก ที่เป็นที่ยอมรับใน
ตลาดโลก ได้แก่ ระบบ GMP/HACCP และระบบ BRC (British Retail Consortium) ซึ่งเป็นระบบคุณภาพด้านความปลอดภัยทางอาหาร
ด้วยผลการประเมินระดับดีเยี่ยม (เกรด A) และยังได้รับการขึ้นทะเบียนเป็นสถานประกอบการเพื่อการส่งออกจากกรมประมง ด้วยผลการประเมิน
ระดับดีเยี่ยมเช่นกัน
ปัจจุบันโออิชิเป็นแบรนด์ชั้นนำของอาหารและเครื่องดื่มสไตล์ญี่ปุ่นที่ ผู้บริโภคชื่นชอบและยกให้เป็นแบรนด์ยอดนิยมอันดับหนึ่ง การันตีได้
จากรางวัลและการรับรองต่าง ๆ มากมาย อาทิ
รางวัล Superbrands Thailand Award สามปีซ้อน
(พ.ศ. 2558 - 2560) ในฐานะแบรนด์อาหารและเครื่องดื่มที่เป็นที่รู้จักและครองใจผู้บริโภค
พ.ศ. 2560 “โออิชิ” เป็นแบรนด์ร้านอาหารแรกในเอเชีย ที่ร้านในเครือ ทุกสาขาผ่านการรับรองระบบประกันคุณภาพ มาตรฐาน GMP (Good Manufacturing Practice) – HACCP (Hazard Analysis Critical Control Point) – ISO 9001:2015 จากบริษัท เอสจีเอส (ประเทศไทย) จำกัด องค์กรชั้นนำของโลกทางด้านการตรวจสอบ และการรับรองระบบคุณภาพและความปลอดภัยของสินค้า-บริการ
รางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด 2560 ในฐานะสถานประกอบการดีเด่น ในด้านการผลิตผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณภาพ ได้มาตรฐาน มีจริยธรรม และมีความรับผิดชอบต่อสังคมจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา
รางวัลผลิตภัณฑ์ที่ได้รับการรับรองสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ ในฐานะผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการรับรองด้านการลดสารอาหารที่เป็น ปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคไม่ติดต่อเรื้อรัง จากกระทรวงสาธารณสุข
เดินหน้าขยาย
Brand Portfolio
เพื่อครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมายตั้งแต่ Street Food ถึง
Fine Dining
ใน พ.ศ. 2558 เป็นปีที่ไทยเบฟเริ่มขยายธุรกิจอาหารให้แข็งแกร่งขึ้นด้วยการ
ตั้งบริษัท “Food of Asia” (FOA) เพื่อทำธุรกิจร้านอาหารหลากหลาย
ประเภทนอกเหนือจากร้านอาหารญี่ปุ่นที่บริหารโดยโออิชิ กรุ๊ป เพื่อผลักดันธุรกิจ
ร้านอาหารในเครือไทยเบฟให้เข้าไปอยู่กับผู้บริโภคทุกกลุ่ม ทุกโอกาส และสามารถ
ขยายสาขาในประเทศ และนำแบรนด์ออกสู่ตลาดต่างประเทศ โดย FOA มีปณิธาน
อย่างแน่วแน่ที่จะเข้ามาเติมเต็ม “คุณภาพ” ให้กับธุรกิจอาหารได้อย่างแข็งแกร่ง
รองรับในทุก ๆ ความต้องการของทุกกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ
พร้อมก้าวสู่การเป็นผู้นำทางธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มครบวงจรของภูมิภาคอาเซียน
ต่อไปในอนาคต
ปัจจุบัน FOA ให้บริการธุรกิจร้านอาหารที่ครอบคลุมทุกความต้องการของกลุ่ม ผู้บริโภคในทุก ๆ ไลฟ์สไตล์ ที่ผู้บริโภคสามารถเลือกอร่อยได้ตั้งแต่อาหารไทย ทั่วทุกภูมิภาค อาหารจีน อาหารอาเซียน อาหารชาติตะวันตก เครื่องดื่มนานาชนิด รวมไปถึงขนมเค้กและเบเกอรี่ที่มีรสชาติอันเป็นเอกลักษณ์
3 กลุ่มธุรกิจอาหารของ FOA
1. ธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ ภายใต้แบรนด์ ของตัวเอง ประกอบไปด้วยแบรนด์ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
ฟู้ด สตรีท แหล่งของ “ความอร่อย” ที่รวบรวมร้านอาหารมีชื่อเสียงจากทุกซอกซอยทั่วกรุงเทพฯ ไว้ในศูนย์อาหารแห่งเดียว ทุกเมนูอาหารล้วนเต็มไปด้วยคุณภาพ ความอร่อย สะอาด และจำหน่ายในราคาย่อมเยา ภายใต้บรรยากาศทันสมัย นั่งสบาย
SO asean Café & Restaurant
ร้านอาหารที่พัฒนาขึ้นภายใต้
คอนเซ็ปต์ “The Destination of Thai & ASEAN Cuisine”
แรงบันดาลใจในการนำเสนอ “จานเด็ดอาเซียน” จึงคัดสรรเฉพาะ
อาหารไทยและอาเซียนยอดนิยมจากหลากหลายประเทศมาให้ลิ้มลอง
กับรสชาติที่อร่อยถูกใจในแบบที่คุ้นเคย อีกทั้งยังมีกาแฟและเครื่องดื่ม
เมนูต่าง ๆ ให้ได้สัมผัสประสบการณ์ความอร่อยที่เป็นเอกลักษณ์
ภายใต้แนวคิด “The Art of ASEAN Irresistible Taste”
Hyde & Seek
ให้บริการอาหารสไตล์ตะวันตก เจาะกลุ่มตลาดระดับบน เป็นร้านอาหารกึ่งบาร์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะในเรื่องค็อกเทลที่เป็น
สูตรเฉพาะของร้าน พร้อมทั้งให้บริการอาหารที่เน้นสไตล์บริติช อเมริกัน
หม่าน ฟู่ หยวน คิทเช่น
หนึ่งในภัตตาคารอาหารจีนเลื่องชื่อจากสิงคโปร์
ให้บริการในรูปแบบ Casual Dining ที่ให้ได้ลองลิ้มชิมรสกับอาหารจีน
สไตล์กวางตุ้งต้นตำรับ รังสรรค์เมนูโดยสุดยอดเชฟฮ่องกงที่พิถีพิถัน
ในการปรุงทั้งเมนูติ่มซำและเมนูซิกเนเจอร์ ด้วยการคัดสรรวัตถุดิบชั้นเยี่ยม
บ้านสุริยาศัย
เรือนเก่าทรงคุณค่าอายุราว 100 ปี ในยุคสมัยรัชกาลที่ 6
ได้รับการบูรณะและเปลี่ยนการใช้งานจากบ้านพักอาศัยสู่ร้านอาหาร
แต่ยังคงไว้ซึ่งการอนุรักษ์ตัวอาคารให้คงแบบสถาปัตยกรรมเดิม
เพื่อส่งมอบเรื่องราวของคนไทยผ่านมื้ออาหารประจำบ้านซึ่งมีรสชาติ
อันเป็นแบบฉบับที่สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น อีกทั้งยังมีบริการ Tea Room
ให้ดื่มด่ำกับความรื่นรมย์ในการจิบชาที่ผ่านการคัดสรรปรุงรสและกลิ่น
อย่างพิถีพิถันในแบบเฉพาะของทางร้าน พร้อมด้วยกาแฟและของว่าง
ทั้งขนมไทยโบราณตำรับชาววังและแบบตะวันตก ปิดท้ายด้วยบริการที่ตอบโจทย์ทุกการดื่มที่สุริยาศัยบาร์ นำเสนอเรื่องราวความเป็นไทยโบราณ
ร่วมสมัยผ่านเครื่องดื่มที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของบ้านสุริยาศัย
2. ธุรกิจร้านอาหาร เครื่องดื่ม และเบเกอรี่ ในรูปแบบการร่วมทุน
mx cakes & bakery
ใน พ.ศ. 2559 ทาง FOA เข้ามาบุกตลาดเค้กและ
เบเกอรี่ โดยจับมือกับ “Maxim’s Group” จากฮ่องกง ซึ่งเป็นกลุ่มทุน
ด้านธุรกิจอาหารและเบเกอรี่รายใหญ่ของฮ่องกง เพื่อร่วมทุนตั้ง
“บริษัท แมกซ์ เอเชีย จำกัด” เริ่มต้นด้วยการนำเชนเบเกอรี่ชื่อดังจากฮ่องกง “mx cakes & bakery” มาเปิดสาขาในประเทศไทย
Spice of Asia
ปลาย พ.ศ. 2560 ไทยเบฟเติมพอร์ตอาหารไทยด้วยการเข้าซื้อหุ้นในกิจการร้านอาหารของบริษัท สะไปซ์ ออฟ เอเชีย จำกัด (SOA) จำนวนกว่า 10 สาขาจาก 5 แบรนด์ ได้แก่
ชิลลี่ ไทย เรสเตอรองท์
ได้บรรจงคัดสรรและรวบรวมเมนูอาหารไทยแท้สูตรดั้งเดิมจากทั่วทุกภูมิภาคไว้ให้คุณได้สัมผัสความอร่อยในที่เดียว
คาเฟ่ ชิลลี่
นำเสนออาหารอีสานในมุมมองใหม่ด้วยการเลือกใช้ วัตถุดิบระดับพรีเม่ียมจากทั่วทุกมุมโลก แต่ยังคงไว้ด้วย รากฐานความเป็นอาหารอีสานต้นตำรับ
พอท มินิสทรี
แหล่งรวมอาหารไทยแท้รสเลิศจากทั้ง 4 ภาค
โดดเด่นด้วยเกาเหลาหม้อไฟที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นไม่เหมือนใคร เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มปรุงรสของแต่ละภาคที่มีรสชาติเฉพาะตัว
Eat Pot เกาเหลาหม้อไฟ
บริการอาหารอีสานในรูปแบบเมนู หม้อไฟรสจัดจ้าน ร้อนแรง พร้อมเมนูอาหารรสแซ่บอีกมากมาย
ที่ให้คุณเลือกอร่อยในบรรยากาศร้านแบบไทยร่วมสมัย
เสือใต้
ยกขบวนเมนูอาหารใต้ เลือกสรรวัตถุดิบหลักของทุกเมนู
ที่ทั้งสด สะอาดและคุณภาพดีจากจังหวัดภูเก็ต เสริมด้วย การปรุงรสชาติที่กลมกล่อม จัดจ้าน อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว
KFC
ในปลาย พ.ศ. 2560 โดยการเป็นพันธมิตรธุรกิจกับบริษัท ยัม
เรสเทอรองตส์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เจ้าของแฟรนไชส์แบรนด์ KFC ในการมอบสิทธิ์การเป็นแฟรนไชซีรายที่ 3 ให้แก่ บริษัท เดอะ
คิวเอสอาร์ ออฟ เอเชีย จำกัด (QSA) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของ FOA ในการเข้าบริหารและปรับปรุงร้าน KFC กว่า 250 ร้าน จากร้าน KFC ในประเทศไทยกว่า 600 สาขา พร้อมแผนงานในการขยายสาขากว่า 30 สาขาในทุก ๆ ปี KFC ให้บริการธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน (Quick Service Restaurant หรือ QSR) โดยเป็นแบรนด์ร้านอาหารบริการด่วนอันดับหนึ่งของประเทศไทยเมื่อประเมินจากส่วนแบ่งแบรนด์ในตลาดและจำนวนสาขา ซึ่ง KFC
ดำเนินงานในประเทศไทยมากกว่า 30 ปี โดยมีอัตราการเติบโตของธุรกิจ
ทั้งในด้านของการขยายสาขาและยอดขายอย่างต่อเนื่องและรวดเร็ว
จะช่วยเป็นหนึ่งในกำลังสำคัญส่งให้ไทยเบฟขยายสู่ธุรกิจอาหารและ
เข้าถึงไลฟ์สไตล์ในปัจจุบันของผู้บริโภคในกลุ่มร้านอาหารบริการด่วนได้
จากเป้าหมายอันท้าทายสู่วิสัยทัศน์ 2020 ทำให้ธุรกิจอาหารของไทยเบฟ ต้องเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการในทุก ๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็น การขยายสาขา การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่หลากหลายและปรับเปลี่ยน เมนูใหม่ เพื่อเพิ่มโอกาสกระตุ้นความสนใจให้ลูกค้าอยากลอง การยกระดับการให้บริการและเข้าถึงลูกค้าให้มากขึ้น พร้อมใส่ใจ ความต้องการของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา โดยยึดหลัก การสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง โดดเด่น และมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน
กลยุทธ์หลัก 4 ประการ1. Customer Centric (การเข้าถึงผู้บริโภค) มุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์ที่ดีที่สุด โดยมุ่งเน้นการตอบโจทย์ลูกค้าให้ได้มากที่สุด ตามที่ผู้บริโภคต้องการ
2. Innovation (นวัตกรรม) สร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ ไม่ว่าจะเป็น ในเรื่องผลิตภัณฑ์ บริการ และกิจกรรมการตลาดที่โดดเด่น แปลกใหม่ แตกต่าง และสร้างคุณค่าแก่ผู้บริโภค
3. Digital Transformation (การใช้ดิจิทัลขับเคลื่อนธุรกิจ) โดยใช้เครื่องมือดิจิทัลต่าง ๆ เข้ามาขับเคลื่อนธุรกิจ และเข้าถึงผู้บริโภค ที่มีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไปได้หลากหลายยิ่งขึ้น
4. Continue to Build & Support Brand (สร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง) พัฒนาแบรนด์ให้ทรงพลัง และติดตรึงใจผู้บริโภคจนเป็นแบรนด์ในใจ ของลูกค้าต่อไป
นวัตกรรมสร้างสรรค์ธุรกิจ
ไทยเบฟให้ความสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านคุณภาพสินค้าและประสิทธิภาพของกระบวนการผลิต เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าและส่งเสริมให้เกิดความยั่งยืน ในกระบวนการผลิตอย่างแท้จริง |
ตลอดระยะเวลา 15 ปีที่ผ่านมา ไทยเบฟให้ความสำคัญด้านการพัฒนา นวัตกรรมในหลากหลายด้าน ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะพัฒนา อย่างต่อเนื่องในการเพิ่มคุณค่าของสินค้าและการบริการ เพิ่มประสิทธิภาพของกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ และรักษาสิ่งแวดล้อมให้มากยิ่งขึ้น รวมถึงเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน สิ่งสำคัญคือ คำนึงถึงผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียตลอดห่วงโซ่คุณค่า (Value Chain) ของธุรกิจ ตั้งแต่เพื่อนพนักงานที่ให้มีความเป็นอยู่ดีขึ้น สภาพการทำงานที่ดี ตามแนวทาง Happy Workplace ไปจนถึงกลุ่มผู้บริโภค คู่ค้า สังคม และชุมชน ซึ่งไทยเบฟมุ่งเน้นสร้างสรรค์นวัตกรรม เพื่อความยั่งยืนของธุรกิจและสังคมอย่างเสมอมา
ห่วงโซ่คุณค่าขององค์กรเริ่มจากกระบวนการจัดซื้อจัดหา ไทยเบฟ ได้ริเริ่มนำนวัตกรรมกระบวนการทำงานที่มุ่งเน้นด้านการส่งเสริม ความร่วมมือระหว่างคู่ค้ากับบริษัท พัฒนาควบคู่ไปกับการเสริมสร้างศักยภาพของคู่ค้าให้สามารถเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับบริษัท ผ่านระบบออนไลน์และเทคโนโลยีสารสนเทศ อาทิ ระบบ Supplier Life Cycle Management (SLCM) ที่ใช้สำหรับเชื่อมโยง สื่อสาร และแลกเปลี่ยนข้อมูลระหว่างคู่ค้ากับบริษัท ตั้งแต่ขั้นตอนเริ่มต้น ไปจนถึงขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการจัดหา และยังเป็นกลไกสำคัญ ในการสร้างคุณค่าและมาตรฐานด้านความยั่งยืนให้กับคู่ค้าอีกด้วย พร้อมกันนี้ไทยเบฟยังมีการสื่อสารแนวปฏิบัติสำหรับคู่ค้า (Supplier Code of Practice) หรือการประเมินความเสี่ยง ด้านความยั่งยืนของคู่ค้าของเราอย่างสม่ำเสมอ
ในกระบวนการผลิตของห่วงโซ่คุณค่าของไทยเบฟ มุ่งเน้นที่การสร้างสรรค์นวัตกรรมการบริหารจัดการ การบริหารความเสี่ยงและ การพึ่งพาตัวเองเป็นหลัก โดยน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มาเป็นกรอบการบริหารจัดการ ซึ่งผลอันเกิดจากการดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว ได้เกิดการสร้างสรรค์นวัตกรรมในไทยเบฟมาอย่าง ต่อเนื่อง และเกิดนวัตกรรมในด้านต่าง ๆ ในทุกภาคส่วนอย่างมีนัยสำคัญ เช่น การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีน้ำหนักเบาขึ้น การสรรหาวัตถุดิบและ พัสดุบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม กระบวนการผลิตที่คำนึงถึง ประสิทธิภาพ ของเสียหรือผลพลอยได้จากการผลิตให้น้อยที่สุด ซึ่งที่เหลือนั้นก็จะนำไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์อื่นต่อไป (ที่เรียกว่า Circular Economy) และความปลอดภัยการทำงานของพนักงาน ทั้งนี้เราเชื่อมั่นและส่งเสริมความยั่งยืนในกระบวนการผลิตอย่างแท้จริง
ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะเอาใจใส่และรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม นวัตกรรม ผลพลอยได้จากการผลิตได้ถูกนำมาเป็นพลังงานความร้อน ไอน้ำ และพลังงานไฟฟ้า โดยใช้เทคโนโลยีล่าสุดที่เหมาะสมนำมาบริหารจัดการ ผลพลอยได้ที่เกิดขึ้น เปลี่ยนเป็นพลังงานทดแทนในกระบวนการผลิต และยังสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจ โดยการผลิตเป็นพลังงานไฟฟ้า คืนกลับสู่ระบบ โดยไทยเบฟกำหนดให้บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ เอ็นเนอร์ยี่ จำกัด เป็นศูนย์กลางการพัฒนานวัตกรรมด้านพลังงาน
ด้วยแรงบันดาลใจจาก หินภูเขาไฟที่มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแกร่ง ผลพลอยได้จากกระบวนการผลิต อย่างเช่น ขี้เถ้า ได้ถูกนำมาแปลงสภาพด้วยเทคโนโลยีและนวัตกรรม ด้านวัสดุศาสตร์ จนเกิดเป็น “วัสดุมวลเบาสังเคราะห์” (Green Rock) ที่มีลักษณะและคุณสมบัติที่คล้ายคลึงกับหินธรรมชาติ สามารถนำไปใช้ทดแทนหินธรรมชาติในการก่อสร้างอาคารสมัยใหม่
อีกหนึ่งนวัตกรรมการผลิตที่ไทยเบฟได้สร้างสรรค์จากการผสมผสาน ประสบการณ์และเทคโนโลยีเพื่อช่วยเหลือพนักงานคือ เครื่องจักร ชุดเมตตานารี เครื่องจักรนี้ได้รับการพัฒนาจากความคิดของพนักงาน เพื่อทำหน้าที่ป้อนขวดเปล่าเข้าสู่เครื่องล้างขวด ยกกล่องบรรจุสินค้า และดำเนินการจัดเก็บลังพลาสติก ผลที่ได้จากนวัตกรรมนี้ช่วยลดปัญหาจากขั้นตอนในกระบวนการบรรจุขวดสุรา ช่วยลดอาการอ่อนล้าของพนักงาน ช่วยลดอัตราการบาดเจ็บจากการทำงาน และป้องกัน การเกิดอุบัติเหตุจากการทำงานได้อีกด้วย เรามุ่งมั่นที่จะพัฒนา นวัตกรรมแบบนี้ให้มากขึ้นเพื่อพนักงานของเรา
สำหรับนวัตกรรมที่ใช้เทคโนโลยีชั้นสูง เครื่องบรรจุเทคโนโลยีปลอดเชื้อ (Cold Aseptic Filling: CAF) ของกลุ่มโออิชิ เป็นการใช้เทคโนโลยี การผลิตที่ทันสมัยคือ เครื่องบรรจุเทคโนโลยีปลอดเชื้อขั้นสูง (CAF) ที่สามารถเพิ่มศักยภาพของฝ่ายผลิต ซึ่งสร้างความแข็งแกร่ง การเติบโต และความแตกต่างเพื่อเป็นผู้นำด้านนวัตกรรมของธุรกิจ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
ผลจากการพัฒนานวัตกรรมอย่างต่อเนื่อง ไทยเบฟมีการจดลิขสิทธิ์ทางปัญญา (Intellectual Property หรือ IP) มากกว่า 100 รายการกับกรมทรัพย์สินทางปัญญา เพื่อให้การสร้างสรรค์นวัตกรรมเป็นไปอย่างยั่งยืน ไทยเบฟได้จัดตั้งบริษัท เบฟเทค จำกัด เพื่อเป็นองค์กร รวมศูนย์ด้านเทคโนโลยีและวิศวกรรมขององค์กร
ปัจจัยความสำเร็จที่สำคัญที่สุดของการสร้างสรรค์นวัตกรรมคือ การสนับสนุนจากผู้บริหารระดับสูงที่เปิดโอกาสให้พนักงาน ได้รับโอกาสการเรียนรู้และพัฒนานวัตกรรมต่าง ๆ ที่ส่งเสริมธุรกิจ และดูแลความปลอดภัยในการทำงานของพนักงาน เพื่อการเติบโต อย่างยั่งยืนขององค์กรต่อไป
ผลสำเร็จจากความมุ่งมั่น
ไทยเบฟเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เมื่อวันที่
30 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดยถือเป็นการจดทะเบียนครั้งใหญ่ที่สุด ครั้งหนึ่งในรอบสิบปี ปัจจุบันไทยเบฟเป็น 1 ใน 10 บริษัท ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ http://thaibev.listedcompany.com |
ไทยเบฟเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2549 โดยถือเป็นการ จดทะเบียนครั้งใหญ่ที่สุดครั้งหนึ่งของประเทศสิงคโปร์ มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดในการซื้อขาย หลักทรัพย์วันแรกกว่า 160,000 ล้านบาท และเป็น ที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งที่อีก 12 ปีให้หลัง ไทยเบฟสามารถก้าวขึ้นเป็น 1 ใน 10 บริษัทที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงสุดในตลาดหลักทรัพย์สิงคโปร์ โดยที่มูลค่าหลักทรัพย์เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในส่วนของผลประกอบการด้านฐานะทางการเงินของบริษัทนั้น ในช่วงเริ่มต้น ไทยเบฟดำเนินธุรกิจหลักเกี่ยวกับ การผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายใน ประเทศไทยเป็นหลัก โดยใน พ.ศ. 2549 ไทยเบฟ มีรายได้รวมประมาณ 98,000 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ด้วยวิสัยทัศน์ที่ต้องการจะก้าวสู่การเป็นกลุ่มบริษัท ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มครบวงจรระดับภูมิภาค ไทยเบฟได้ดำเนินการขยายกิจการจากธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อันได้แก่ สุราและเบียร์ เข้าสู่ธุรกิจเครื่องดื่ม ไม่มีแอลกอฮอล์ ผ่านการซื้อกิจการโออิชิ บริษัทเครื่องดื่ม ชาเขียวอันดับหนึ่งของประเทศไทยใน พ.ศ. 2551 เข้าซื้อเสริมสุข บริษัทเครื่องดื่มที่มีเครือข่ายกระจายสินค้าครอบคลุมที่สุดในประเทศไทยใน พ.ศ. 2554 และ F&N ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มและสิ่งพิมพ์ชั้นนำ ของสิงคโปร์ที่มีชื่อเสียงยาวนานใน พ.ศ. 2555
ใน พ.ศ. 2560 ไทยเบฟได้ขยายการเติบโตของธุรกิจต่างประเทศ โดยเข้าซื้อกิจการเมียนมาร์ ซัพพลายเชน แอนด์ มาร์เก็ตติ้ง เซอร์วิสเซส คอมพานี ลิมิเต็ด และเมียนมาร์ ดิสทิลเลอรี่ คอมพานี ลิมิเต็ด (แกรนด์ รอยัล) ซึ่งเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่สุดในตลาดวิสกี้ของประเทศเมียนมา และเข้าซื้อหุ้นบริษัทไซ่ง่อน- เบียร์-แอลกอฮอล์-เบฟเวอเรจ จอยท์ สต็อก คอร์เปอเรชั่น (ซาเบโก้) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเบียร์รายใหญ่ที่สุดของเวียดนาม
นอกจากนี้ยังได้ขยายธุรกิจเข้าสู่ธุรกิจร้านอาหารบริการด่วน เคเอฟซี ซึ่งส่งผลให้รายได้ของบริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด กว่าสองเท่าจากประมาณ 98,000 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2549 เป็น มากกว่า 200,000 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2560 จากสี่สายธุรกิจ อันประกอบด้วย สุรา เบียร์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และอาหาร โดยมิได้พึ่งพารายได้จากธุรกิจภายในประเทศแต่เพียงอย่างเดียว
จากการบริหารจัดการต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กำไรสุทธิ จากการดำเนินธุรกิจของไทยเบฟเพิ่มขึ้นเกือบสามเท่า จากประมาณ 10,000 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2549 เป็นกว่า 26,000 ล้านบาท ใน พ.ศ. 2560 สำหรับในส่วนของเงินปันผลของผู้ถือหุ้นนั้น ไทยเบฟมีการจ่าย เงินปันผลอย่างสม่ำเสมอนับตั้งแต่เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ สิงคโปร์ โดยอัตราเงินปันผลจ่ายเพิ่มขึ้นจาก 0.22 บาทต่อหุ้น ใน พ.ศ. 2549 เป็น 0.67 บาทต่อหุ้น ใน พ.ศ. 2560 นับเป็น การสร้างผลตอบแทนให้กับผู้ถือหุ้นอย่างมั่นคงและยั่งยืน
นอกจากนี้ไทยเบฟปฏิบัติหน้าที่การเป็นบริษัทเอกชนที่ดีในการชำระภาษี ให้แก่ภาครัฐ โดยไทยเบฟชำระภาษีกว่าร้อยละ 4 ของรายได้ภาษี ที่จัดเก็บทั้งหมดโดยภาครัฐ
ทุกคนคือพลังสำคัญ
เราเชื่อมั่นว่า เมื่อพนักงานเติบโตและก้าวเดินเคียงคู่องค์กร จะเป็น “พลังสำคัญ” ในการร่วมกันขับเคลื่อนธุรกิจ ไปสู่ความสำเร็จอย่างยั่งยืน |
เพราะไทยเบฟ…
เชื่อมั่นในการเรียนรู้
และเชื่อว่าทุกคนสามารถ
พัฒนาศักยภาพของตนเองให้ เติบโตได้อย่างไม่มีขีดจำกัด
เราจึงมีปณิธานแน่วแน่ที่จะส่งเสริมให้พนักงานไทยเบฟ
ทุกคน ทุกวัย ทุกกลุ่มบริษัทและกลุ่มงาน ในทุกประเทศ
ได้เรียนรู้และเติบโตในสายอาชีพตลอดชีวิตการทำงาน
พร้อมเปิด “โอกาสไร้ขีดจำกัด...Limitless Opportunities”
และสร้างสรรค์ประโยชน์ให้แก่ผู้อื่นไปพร้อม ๆ กัน
โอกาส ไร้ขีดจำกัด
Limitless Opportunities
ตลอด 15 ปี บนเส้นทางการบริหารและพัฒนาบุคลากร ไทยเบฟให้ความสำคัญต่อการสนับสนุนและส่งเสริมให้พนักงาน เปิดรับความท้าทายพร้อมประสบการณ์ในการทำงานที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพทั้งด้านความรู้ ความสามารถ พร้อมปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรที่จะช่วยส่งเสริมโอกาสและการเติบโต ของพนักงานอย่างไร้ขีดจำกัด
เพื่อมอบโอกาสให้พนักงานได้ก้าวหน้าในสายอาชีพ (Career Opportunity) ได้พัฒนาความรู้ ทักษะและขีดความสามารถ ในการทำงานที่เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพและประสิทธิผล เพื่อมอบโอกาสในการสร้างเครือข่ายและความสัมพันธ์ แห่งมิตรภาพอันเข้มแข็ง (Connectivity Opportunity) ให้เกิดความรัก ความผูกพัน และความสัมพันธ์อันดีต่อกัน พร้อมช่วยเหลือแลกเปลี่ยนความรู้และต่อยอดประสบการณ์ ร่วมกัน นำไปสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
และเพื่อมอบโอกาสที่จะร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลง สานต่อ ความสุขและประโยชน์สู่ชุมชนและสังคม (Contribution Opportunity) ผ่านกิจกรรมและโครงการสาธารณประโยชน์ ในภูมิภาคต่าง ๆ ของประเทศ โดยมุ่งหวังให้พนักงานเกิด “ความรู้ ความคิด และความดี” อันเป็นส่วนหนึ่งในการสร้างรากฐาน แห่งการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้เกิดขึ้นในสังคมไทย เพื่อความมั่งคั่ง และมั่นคงอย่างยั่งยืน
เสริมศักยภาพ
การเติบโตไม่สิ้นสุด
Career Opportunity
เพราะเราเชื่อมั่นในศักยภาพของบุคลากร เชื่อว่างานที่ท้าทายจะสามารถขยายขีดความสามารถของพนักงาน และเชื่อว่าเมื่อไรก็ตามที่เราพัฒนาคนอื่นให้เติบโตก้าวหน้า เราก็จะพัฒนาและเติบโตไปพร้อมกันด้วย
ไทยเบฟให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการพัฒนาศักยภาพพนักงานให้เติบโตในสายอาชีพ โดยมุ่งมั่น ที่จะมอบโอกาสที่ท้าทายให้แก่พนักงานทุกคน ผ่านกระบวนการเรียนรู้ควบคู่กับการพัฒนาหลากหลาย รูปแบบที่เหมาะสมกับพนักงานแต่ละกลุ่ม เพื่อให้พนักงานมีทักษะและขีดความสามารถใน การทำงานเพิ่มขึ้น โดยมุ่งเน้นการพัฒนาสมรรถนะ (Competency) ในทุกด้าน ทั้งด้านการบริหารจัดการ (Managerial Competency) ด้านความรู้ทักษะและ ความชำนาญในงาน (Functional Competency) และด้านภาวะผู้นำ (Leadership) รวมทั้งจัดโปรแกรม การพัฒนา เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลง (Transformation Program) เพื่อจัดเตรียม บุคลากรให้มีความเข้าใจและมีทัศนคติพร้อมรับ การเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
สานความผูกพัน
มิตรภาพ และเครือข่ายที่ยั่งยืน
Connectivity Opportunity
สร้างความ
เปลี่ยนแปลง
และประโยชน์เพื่อสังคม
Contribution Opportunity
ไทยเบฟให้ความสำคัญต่อการสร้างประโยชน์แก่ชุมชนและสังคม
โดยเปิดโอกาสให้พนักงานทุกคนมีโอกาสได้ร่วมสร้างสรรค์และ
แบ่งปันคุณค่า มอบความหมายให้ชีวิตและมอบความสุขให้แก่ผู้อื่นผ่านกิจกรรมและโครงการสาธารณประโยชน์ต่าง ๆ มากมาย
ในทุกพื้นที่ทั่วประเทศไทย เพื่อให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไป
ในทิศทางที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน
คุณค่าองค์กรไทยเบฟ
ThaiBev’s Core Values
ไทยเบฟเชื่อว่า การเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่เข้มแข็ง
คือรากฐานสำคัญในการพัฒนาองค์กรให้เติบโตอย่างยั่งยืน
เสมือนหนึ่งรากแก้วของต้นไม้ใหญ่ที่หยั่งลึก สร้างความมั่นคง
ให้ต้นไม้ เพื่อเติบโตและสานต่อคุณค่าคุณประโยชน์สู่ไม้ต้นอื่น
และชีวิตอื่น ๆ ในผืนป่าต่อไป คุณค่าองค์กรของไทยเบฟ (ThaiBev’s Core Values) คือ อีกหนึ่งรากฐานวัฒนธรรมองค์กรที่ไทยเบฟให้ความสำคัญ โดยถือกำเนิดขึ้นจากตัวอักษรในชื่อ T H A I B E V 7 ตัว เกิดเป็น 9 คุณค่าและความหมาย สะท้อนให้เห็นปรัชญาการทำงานที่พนักงานไทยเบฟทุกคนยึดถือเป็นแนวทางในการประพฤติปฏิบัติร่วมกันเสมอมา
Team Spirit สามัคคีเป็นหนึ่งเดียว
Heart มุ่งมั่นทั้งกาย ใจ
Accountability รับผิดชอบในหน้าที่
Initiative ริเริ่มสร้างสรรค์
Be Best-Be Bold-Be Bright กล้าที่จะคิด คิดอย่าง ชาญฉลาด และทำให้ดีที่สุด
Efficiency ตั้งมั่นในความเป็นเลิศ
Virtue ยึดมั่นในคุณธรรมความดี
ความภาคภูมิใจในระดับสากล
ตลอด 15 ปี ไทยเบฟมุ่งมั่นบริหารและพัฒนาศักยภาพบุคลากรอย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างทีมงานที่แข็งแกร่งเปี่ยมประสิทธิภาพ ความภาคภูมิใจของไทยเบฟ ได้รับการยอมรับอย่างเป็นรูปธรรม เมื่อไทยเบฟได้คว้า 3 รางวัลยอดเยี่ยม ด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล บนเวทีระดับนานาชาติ Asia’s Best Employer Brand Awards 2018 ที่ประเทศสิงคโปร์ อันได้แก่ รางวัลนายจ้างยอดเยี่ยม (Best Employer Brand) รางวัลนายจ้างในฝันแห่งปี (Dream Employer of the Year) และ รางวัลการบริหารพนักงานศักยภาพสูง ยอดเยี่ยม (Award for Talent Management) จากสถาบัน Employer Branding Institute และ World HRD Congress ซึ่งประกอบด้วยเครือข่ายผู้บริหารระดับสูงด้านบริหารทรัพยากรบุคคลจาก 36 ประเทศในทวีปเอเชีย
ไทยเบฟยังคงมีปณิธานมุ่งมั่นที่จะบริหารและพัฒนาศักยภาพบุคลากรที่ เต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพ สอดคล้องกับเป้าหมายและวิสัยทัศน์ของธุรกิจ เพื่อให้พนักงานสามารถร่วมกันขับเคลื่อนและผลักดันกลุ่มธุรกิจให้เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน
เกียรติแห่งความภาคภูมิ
ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจในการทำงานตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จและความภาคภูมิใจของไทยเบฟได้รับการรับรอง จากสถาบันและองค์กรสากลมากมาย นับเป็น “เกียรติภูมิ” ที่เราภาคภูมิใจและเป็นกำลังใจสำคัญสำหรับเราเพื่อก้าวต่อไป |
รางวัลสำหรับองค์กร
- MOST TRANSPARENT COMPANY AWARD - WINNER IN THE FOREIGN LISTINGS:
SIAS Investors’ Choice Awards: 2009, 2014, 2016 - ENERGY RECYCLE OFF-GRID:
Thailand Energy Awards: 2009 - ENERGY MANAGEMENT:
Prime Minister’s Industry Awards: 2009, 2010 - BEST FOR INVESTOR RELATIONS IN THAILAND: Asiamoney’s Corporate Governance Poll: 2008
- BEST IR IN THE SINGAPORE MARKET BY THAI COMPANY:
IR Magazine Awards: 2006, 2007, 2008 - MOST ORGANIZED INVESTOR RELATIONS:
Southeast Asia Institutional Investor Corporate Awards: 2011, 2012, 2013, 2014, 2015, 2016 - BEST ANNUAL REPORT IN THAILAND:
Southeast Asia Institutional Investor Corporate Awards: 2012, 2018 - STRONGEST ADHERENCE TO CORPORATE GOVERNANCE:
Southeast Asia Institutional Investor Corporate Awards: 2014 - MOST CONSISTENT DIVIDEND POLICY:
Southeast Asia Institutional Investor Corporate Awards: 2014, 2015, 2016, 2018 - BEST STRATEGIC CORPORATE SOCIAL RESPONSIBILITY:
Southeast Asia Institutional Investor Corporate Awards: 2014, 2015 - BEST INVESTOR RELATIONS:
Asian Excellence Recognition Awards: 2011, 2012, 2013, 2014 - A DECADE OF EXCELLENCE - HALL OF FAME:
Thailand Corporate Excellence Awards: 2011 - THE BEST OF ASIA:
Corporate Governance Asia Recognition Awards: 2011, 2012 - ASIA’S ICON:
Corporate Governance Asia Recognition Awards: 2013 - THE BEST INNOVATION PROJECT: FOR THE BUSINESS ALERT SYSTEM:
Thailand ICT Excellence Awards: 2013 - THE EXCELLENCE CORE PROCESS IMPROVEMENT PROJECT:
TRANSPORTATION ORDER MANAGEMENT SYSTEM: Thailand ICT Excellence Awards: 2015 - THE EXCELLENCE CORE PROCESS IMPROVEMENT PROJECT: RETURNABLE MANAGEMENT:
Thailand ICT Excellence Awards: 2016 - CONSOLATION PRIZE: SHARED SERVICE CENTER PROJECT:
Thailand ICT Excellence Awards: 2016 - CSR OF THE YEAR:
Thailand Top Company Awards: 2014 - OUTSTANDING AWARD:
Thailand Top Company Awards: 2015 - CORPORATE SUSTAINABILITY:
Thailand Top Company Awards: 2016 - OUTSTANDING ACHIEVEMENT IN CORE PROCESS IMPROVEMENT PROJECT:
SHARED SERVICE CENTER:
Thailand ICT Excellence Awards: 2016 - FINANCIAL MANAGEMENT EXCELLENCE AWARD:
Thailand Corporate Excellence Awards: 2016
รางวัลสำหรับผลิตภัณฑ์ เบียร์ช้าง
- EUROPEAN STYLE LAGER - GOLD MEDAL:
Australian International Beer Awards: 1998 - INTERNATIONAL HIGH QUALITY TROPHY:
Monde Selection Bruxelles International Institute for Quality Selections: 2010 - GOLD QUALITY AWARDS:
Monde Selection Bruxelles International Institute for Quality Selections: 2018 - ASIA BEST PREMIUM LAGER:
World Beer Awards: 2011 - THAILAND COUNTRY WINNER FOR LAGER BEER IN HELLES/MÜNCHNER STYLE:
World Beer Awards: 2017 - TOP BRAND IN THE PREMIUM BEER CATEGORY:
Top Brand Awards: 2015
รางวัลสำหรับผลิตภัณฑ์ เบียร์เฟเดอร์บรอย
- THAILAND COUNTRY WINNER FOR LAGER BEER IN GERMAN STYLE PALE BEER:
World Beer Awards: 2017 - DESIGN AND PACKAGING:
The International Beer Challenge: 2017
รางวัลสำหรับผลิตภัณฑ์ Inver House
- WHISKY OF THE YEAR [OLD PULTENEY 21 YEAR OLD]:
Jim Murray’s Whisky Bible: 2012 - WORLD’S BEST SINGLE MALT WHISKY [OLD PULTENEY VINTAGE 1989]:
World Whiskies Awards: 2016 - WINNER [ANCNOC 18 YEAR OLD]:
World Whiskies Awards: 2016 - INTERNATIONAL GOLDEN AWARD FOR FOOD & BEVERAGES [SANGSOM]:
1982, 1983, 2006 - GOLD - BEST IN CLASS [BALBLAIR HIGHLAND SINGLE MALT SCOTCH WHISKY 1978]:
International Wine and Spirit Competition (IWSC): 2011 - GOLD – BEST IN CLASS [HANKEY BANNISTER 40 YEAR OLD]:
International Wine and Spirit Competition (IWSC): 2011 - SUPREME CHAMPION SPIRIT [HANKEY BANNISTER 40 YEAR OLD]:
International Spirits Challenge (ISC) : 2012, 2014 - GOLD [PHRAYA]:
Beverage Testing Institute: 2012 - DOUBLE GOLD [SPEYBURN BRADAN ORACH]:
San Francisco World Spirits Competition: 2012 - DOUBLE GOLD [SPEYBURN 25 YEAR OLD]:
San Francisco World Spirits Competition: 2013 - DOUBLE GOLD [BALBLAIR 1999]:
San Francisco World Spirits Competition: 2015, 2017 - DOUBLE GOLD - [ANCNOC RASCAN]:
San Francisco World Spirits Competition: 2016 - DOUBLE GOLD [ANCNOC 12 YEAR OLD]:
San Francisco World Spirits Competition: 2017 - DOUBLE GOLD [SPEYBURN ARRANTA CASKS]:
San Francisco World Spirits Competition: 2017 - BEST GIN DOUBLE GOLD [CAORUNN]:
The Fifty Best - Best Gin Gold: 2014 - DOUBLE GOLD WINNER - [SPEYBURN BRADAN ORACH]:
New York International Spirits Competition: 2017
รางวัลสำหรับผลิตภัณฑ์ เครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์
- FDA QUALITY AWARD [CRYSTAL]:
Food and Drug Administration of Thailand (FDA Thailand): 2011, 2012, 2013, 2017 - THAILAND’S MOST ADMIRED BRAND [OISHI]:
Brand Age Magazine Thailand: 2012, 2013, 2014, 2015, 2016, 2017, 2018 - SUPERBRANDS AWARD [OISHI]:
Superbrands Thailand: 2015, 2016, 2017 - THE MOST POWERFUL BRANDS OF THAILAND [OISHI]:
Chulalongkorn University, Faculty of Commerce and Accountancy: 2012, 2014, 2016, 2018 - THAILAND’S MOST SOCIAL POWER BRAND [OISHI]:
Brand Age Magazine & Thoth Zocial Co., Ltd.: 2018 - THAILAND TOP COMPANY AWARDS [OISHI]:
ARIP & UTCC: 2018 - GOLD QUALITY AWARD [CHANG MINERAL STILL WATER]:
Mode Selection Bruxelles International Institute for Quality Selections: 2018
รางวัลการจัดการด้านการผลิตและการจัดการสิ่งแวดล้อม
- รางวัล KAIZEN SUGGESTION SYSTEM BRONZE AWARD:
จากงาน Thailand Kaizen Award 2018, โดยสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น): 2561 - รางวัล ZERO ACCIDENT CAMPAIGN 2018:
จากสถาบันส่งเสริมความปลอดภัย อาชีวอนามัย และสภาพแวดล้อมในการทำงาน (องค์การมหาชน): 2561 - รางวัลโล่เกียรติคุณมหกรรมอาหารปลอดภัย ประจำปี 2561:
โดยกระทรวงสาธารณสุข: 2561 - รางวัลโครงการพัฒนาต่อยอดการดำเนินการจัดการพลังงาน ตามกฎหมายประเทศไทยไปสู่ระบบการจัดการ
พลังงานในระดับสากล ISO 50001 2017:
โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน กระทรวงพลังงาน: 2560 - รางวัล TPM EXCELLENCE CATEGORY A - 2017:
จากสถาบัน Japan Institute of Plant Maintenance (JIPM) ประเทศญี่ปุ่น: 2560 - รางวัลการบริหารจัดการความร่วมมือของกลุ่มบริษัท:
จากงานสัมมนาวิชาการและเผยแพร่ผลงานสถาบันน้ำเพื่อความยั่งยืนประจำปี 2560, โดยกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม: 2560 - รางวัล อย. Quality Award 2017 สถานประกอบการผลิต ผลิตภัณฑ์คุณภาพด้านอาหาร:
โดยสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข: 2560 - รางวัลโครงการสร้างต้นแบบและขยายเครือข่ายการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำบาดาลอย่างมีประสิทธิภาพ
ในภาคอุตสาหกรรมด้วยเครื่องมือทางสังคม 2560 (2017):
โดยกรมทรัพยากรน้ำบาดาล: 2560 - รางวัลบรรจุภัณฑ์ยอดเยี่ยม THAI PACK AWARDS:
โดยสมาคมการบรรจุภัณฑ์ไทย: 2558, 2560 - รางวัลการอนุรักษ์และฟื้นฟูแม่น้ำดีเด่น “โรงงานต้นแบบน้ำ” ปี 2559 (2016):
โดยกระทรวงอุตสาหกรรม: 2559
*บางส่วนของรางวัลที่ได้รับทั้งหมด
มาตรฐานที่ได้รับการรับรอง
- ISO 9001, ISO 22000, ISO 14001, ISO 50001, ISO/IEC 17025
- OHSAS 18001, GMP (GOOD MANUFACTURING PRACTICE), HACCP (HAZARD ANALYSIS CRITICAL CONTROL POINT)
- GOOD LABORATORY PRACTICE, DEPARTMENT OF INDUSTRIAL WORKS (GLP/DIW)
- FSSC (FOOD SAFETY SYSTEM CERTIFICATION 22000), NSF (NATIONAL SANITATION FOUNDATION)
- การรับรองเครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ขององค์กร, เครื่องหมายคาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์: จากองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน): 2560
- การรับรองสัญลักษณ์โภชนาการทางเลือกสุขภาพ: โดยกระทรวงสาธารณสุข: 2559
*บางส่วนของมาตรฐานที่ได้รับการรับรอง
รางวัลด้านการพัฒนาความยั่งยืนขององค์กร
- รางวัลการพัฒนาความยั่งยืน การได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI)
ระดับโลก (World):
จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI), RobecoSAM AG, Switzerland: 2560, 2561 - รางวัลการพัฒนาความยั่งยืน การได้รับคัดเลือกให้เป็นสมาชิกในดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (DJSI)
ระดับตลาดเกิดใหม่ (Emerging Markets):
จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI), RobecoSAM AG, Switzerland: 2559, 2560, 2561 - RobecoSAM Silver Class และ RobecoSAM Industry Mover:
จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI), RobecoSAM AG, Switzerland: 2561 - RobecoSAM Bronze Class และ RobecoSAM Industry Mover:
จากดัชนีความยั่งยืนดาวโจนส์ (Dow Jones Sustainability Indices หรือ DJSI), RobecoSAM AG, Switzerland: 2560
มุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืน
นอกจากความมุ่งมั่นเพื่อสร้างสรรค์นวัตกรรม
พร้อมขยายเครือข่ายแห่งความเชื่อมโยงในทุกมิติ อันจะนำไปสู่
ความมั่นคงและยั่งยืนให้กับธุรกิจและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกภาคส่วน ที่จะตอบสนองความต้องการในทุกช่วงเวลาของผู้บริโภค ไทยเบฟยังคงมีความมุ่งมั่นพร้อมลงมือทำ เพื่อแบ่งปันสิ่งดี ๆ ที่จะช่วยสร้างคุณประโยชน์อย่างสูงสุดให้กับสังคมและประเทศชาติ ด้วยความภาคภูมิใจอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา 15 ปี |
วิสัยทัศน์ 2020
คือแผนการดำเนินธุรกิจของกลุ่มไทยเบฟ เพื่อตอกย้ำความมุ่งมั่นของบริษัทที่จะขยายต่อ ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องในหลายปีที่ผ่านมา แผนนี้ประกอบด้วยกลยุทธ์หลัก 5 ประการ ที่จะนำไปสู่ ผลิตภัณฑ์ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกสำหรับผู้บริโภค การสร้างคุณค่าที่สูงและผลตอบแทนที่ยั่งยืนให้กับผู้ถือหุ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสในการเติบโตให้กับพนักงาน
การเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ
ไทยเบฟวางเป้าหมายที่จะก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครื่องดื่มที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มั่นคงและยั่งยืน และสร้างผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้น
ความหลากหลายของตลาด
และผลิตภัณฑ์
ไทยเบฟวางแผนที่จะกระจายรายได้เพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยการเพิ่มสัดส่วนรายได้จากการขายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ และรายได้จากการขายสินค้าในต่างประเทศ
ตราสินค้าที่โดนใจ
ธุรกิจหลักของไทยเบฟแบ่งเป็น 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์ คือ สุรา เบียร์ และเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์ ในแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์จะมีการกำหนดผลิตภัณฑ์หลัก รวมถึงตลาดหลักและตลาดรองที่มีศักยภาพในการเติบโตสูง โดยยึดหลักผู้บริโภคและการตลาดเป็นตัวขับเคลื่อน
ในการขยายธุรกิจ
การขายและกระจายสินค้าที่แข็งแกร่ง
นอกจากตราสินค้าที่โดนใจ การกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและทั่วถึงถือเป็นสิ่งสำคัญ ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะพัฒนาเครือข่ายกระจายสินค้าที่มีอยู่ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น ผ่านการจัดการซัพพลายเชน
ที่เป็นเลิศของบริษัท และสร้างเครือข่ายกระจายสินค้าเพิ่มขึ้น รวมถึงการหาพันธมิตรเพื่อร่วมกัน
กระจายสินค้า
ความเป็นมืออาชีพ
ไทยเบฟมุ่งมั่นที่จะสร้างทีมงานที่มีความหลากหลายและมีประสิทธิภาพสูง ทีมงานของแต่ละกลุ่มผลิตภัณฑ์สามารถทำงานร่วมกันได้อย่างราบรื่น และยังสามารถ
ใช้ประโยชน์จากการทำงานร่วมกันระหว่างกลุ่มผลิตภัณฑ์
อย่างเหมาะสม อีกทั้งเสริมสร้างศักยภาพของกลุ่ม
ในระยะยาว
ห่วงโซ่คุณค่าของไทยเบฟ
www.sustainability.thaibev.com
การก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำในธุรกิจเครื่องดื่มได้อย่างแข็งแกร่งอย่างทุกวันนี้ แต่ละหน่วยงานของไทยเบฟคือฟันเฟืองที่ขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ ตั้งแต่ เริ่มต้นจัดหาวัตถุดิบ สู่ผลิตภัณฑ์คุณภาพ ตลอดจน การจัดการบรรจุภัณฑ์หลังสิ้นสุดการใช้งาน ผ่านแนวทางการพัฒนาห่วงโซ่คุณค่าที่คำนึงถึงผู้ค้าและ ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียเพื่อการเติบโตร่วมกันอย่างยั่งยืน
การจัดซื้อจัดหา
บริษัทให้ความสำคัญกับกระบวนการจัดซื้อจัดหาเป็นอย่างยิ่ง โดยกำหนดกระบวนการทำงานที่มีประสิทธิภาพ มีความโปร่งใส และมีความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม เพื่อรักษาคุณภาพของสินค้าและบริการ โดยมีการคัดสรรวัตถุดิบและคู่ค้า
ที่เป็นระบบและมีมาตรฐาน พร้อมกับการพิจารณา
ความเสี่ยงด้านปริมาณของสินค้า ราคาสินค้า
และความเสี่ยงของคู่ค้า ทั้งในด้านความต่อเนื่อง
ในการดำเนินธุรกิจ (Business Continuity) และด้าน
ความยั่งยืน โดยคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เหล่านี้อย่าง
ละเอียดถี่ถ้วนสำหรับประกอบการตัดสินใจเลือกซื้อสินค้า
เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าและบริการที่ส่งถึงมือผู้บริโภคนั้น
มีคุณภาพ ปลอดภัย และผ่านกระบวนการจัดหา
ที่คำนึงถึงผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราทุกขั้นตอน
การผลิต
เราใส่ใจในทุกขั้นตอนของกระบวนการผลิต ทั้งในเรื่องการควบคุมคุณภาพของสินค้าให้ได้มาตรฐาน
ความปลอดภัยในการผลิต การใช้ทรัพยากรต่าง ๆ เช่น ทรัพยากรน้ำและพลังงานให้คุ้มค่าและเกิดประโยชน์สูงสุดโดยไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม การปฏิบัติให้ถูกต้องตามข้อกำหนดทางกฎหมายและมาตรฐานการจัดการต่าง ๆ ตามหลักสากล เช่นมาตรฐาน ISO 9000 GMP HACCP ISO 14000 เครื่องหมายรับรองคุณภาพของน้ำดื่ม National Sanitation Foundation: NSF อีกทั้งยังมีการพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของกลุ่มไทยเบฟเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและมาตรฐานสูงสุด ที่สำคัญยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและไม่ส่งผลกระทบต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียขององค์กร
การกระจายสินค้า
การบริหารจัดการและการวางแผนการกระจายสินค้าที่มีประสิทธิภาพด้วยช่องทางการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งและครอบคลุม ทำให้กระบวนการจัดส่งสินค้าจากแหล่งผลิตไปถึงจุดหมายปลายทางถึงผู้บริโภค
ได้ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยสามารถรักษาคุณภาพ
ของสินค้าพร้อมกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างคู่ค้า
กับกลุ่มบริษัทไทยเบฟได้เป็นอย่างดี
นอกจากนี้ บริษัทยังได้ตระหนักถึงผลกระทบที่อาจ
เกิดจากระบบการขนส่ง จึงนำเทคโนโลยีที่ทันสมัย
เข้ามามีส่วนร่วมในการบริหารจัดการและการวางแผน
การกระจายสินค้า เช่น การควบคุมวินัยในการขับขี่อย่างปลอดภัยให้แก่พนักงานขับรถ การบริหาร
การใช้พลังงานเชื้อเพลิงอย่างมีประสิทธิภาพ
ซึ่งประโยชน์ที่ได้รับคือ กลุ่มบริษัทไทยเบฟสามารถควบคุมและจัดการผลกระทบด้านต่าง ๆ
ต่อผู้มีส่วนได้ส่วนเสียได้เป็นอย่างดี
การตลาดและการขาย
ไทยเบฟส่งมอบผลิตภัณฑ์ให้กับผู้บริโภคผ่านช่องทาง
การจัดจำหน่ายที่มีประสิทธิภาพโดยการสร้างเครือข่ายที่แข็งแกร่งและมุ่งเน้นการสร้างสัมพันธภาพที่ดีกับคู่ค้า
ผ่านโครงการหลากหลายโครงการ เช่น โครงการ
The Agent “Next Gen” ซึ่งเป็นหนึ่งในกลยุทธ์
ตามวิสัยทัศน์ 2020 รวมถึงใช้การสื่อสารประชาสัมพันธ์
ที่แสดงออกถึงความรับผิดชอบต่อผู้บริโภคและสังคม ไม่ว่าจะเป็นการใช้ฉลากผลิตภัณฑ์ที่ระบุรายละเอียด
ทางโภชนาการ หรือการจัดโครงการอบรมการเสิร์ฟอย่างรับผิดชอบ และการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย
เพื่อสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค ขณะเดียวกัน
ไทยเบฟพร้อมรับฟังความคิดเห็นจากผู้บริโภคผ่านช่องทางติดต่อสื่อสารต่าง ๆ เพื่อนำมาพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค
ให้มากที่สุด
การบริหารจัดการบรรจุภัณฑ์
หลังการบริโภค
ด้วยความเชื่อที่ว่าบรรจุภัณฑ์ที่ดีนอกจากจะทำหน้าที่ปกป้องผลิตภัณฑ์และมีรูปลักษณ์สวยงามแล้ว ยังต้องสามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ เราจึงให้ความสำคัญและพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ทำจากวัสดุที่สามารถหมุนเวียน
ใช้ซ้ำ นำกลับมาใช้ใหม่ และสามารถเก็บกลับคืนมา
ใช้ในกระบวนการได้อีก เพื่อลดของเสียที่เกิดขึ้น
หลังการบริโภค มีการใช้วัสดุหรือบรรจุภัณฑ์สินค้า
ประเภทต่าง ๆ เช่น กล่องกระดาษ ไส้กล่อง ขวดแก้ว
ลังพลาสติก มาใช้ในกระบวนการต่าง ๆ
เพราะ “การใช้ครั้งเดียว” ก่อให้เกิดขยะมากเกินจำเป็น
และสูญเสียทรัพยากรธรรมชาติในการผลิตอีกด้วย
ไทยเบฟ กับชุมชน
เพราะเราเชื่อมั่นในการสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตให้เกิดประโยชน์ต่อทุกภาคส่วนในสังคม โดยเฉพาะการสร้าง ความยั่งยืนสู่ชุมชน ทำให้โครงการพัฒนาชุมชนหลากหลายด้าน เกิดขึ้นและดำเนินมาอย่างต่อเนื่องมาตลอด 15 ปี ภายใต้โครงการ “ไทยเบฟร่วมสร้างชุมชนดีมีรอยยิ้ม”
โดยมุ่งหวังที่จะส่งเสริมให้เกิดความเข้มแข็งจากภายในชุมชน และพัฒนาต่อเนื่องให้เกิดเศรษฐกิจชุมชนที่มั่นคง สร้างความสุข และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นโดยไม่เบียดเบียนตนเอง ผู้อื่น และสิ่งแวดล้อม มุ่งสร้างความยั่งยืนในทุกมิติ ด้วยการร่วมคิด ร่วมพัฒนา ให้เกิดการเรียนรู้ไปพร้อมกับชุมชน สร้างพื้นที่ต้นแบบที่มีการสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างชุมชนที่เข้มแข็งกับภาคธุรกิจ เพื่อการพัฒนาตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ
ต้นน้ำ: การสร้างเครือข่ายชุมชนที่เข้มแข็ง ผลักดันให้เกิดการบริหารจัดการตนเองตามบริบทของท้องถิ่น สร้างผู้นำชุมชน ที่สามารถเชื่อมโยงสมาชิกให้เกิดการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ พร้อมทั้งนำต้นทุนชุมชนในด้านต่าง ๆ มาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยมีพื้นฐานจากความต้องการและศักยภาพภายในชุมชนเอง
กลางน้ำ: การเชื่อมโยงองค์ความรู้จากองค์กรและหน่วยงานพันธมิตร สู่การเสริมศักยภาพของชุมชนในด้านการพัฒนาผลผลิต สินค้า และบริการ เพื่อก่อให้เกิดมูลค่าเพิ่ม ในขณะเดียวกันก็ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วนในท้องถิ่น โดยบูรณาการความร่วมมือในรูปแบบ “สานพลังประชารัฐ”
ปลายน้ำ: การเผยแพร่คุณค่าของชุมชนในรูปแบบสินค้าและบริการออกสู่ตลาดผ่านความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพื่อสร้างรายได้หมุนเวียนที่เพิ่มขึ้นและส่งเสริมให้เกิดการกระจายรายได้ภายในชุมชนอย่างทั่วถึง พร้อมทั้งส่งเสริมให้ชุมชนที่เข้มแข็งสามารถแบ่งปันคุณค่าจากการเติบโตไปสู่ชุมชนใกล้เคียง นำไปสู่การพัฒนาระบบเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนในระดับประเทศต่อไป
โครงการภายใต้แนวคิด ไทยเบฟร่วมสร้างชุมชนดีมีรอยยิ้ม
โครงการร่วมสร้างต้นแบบตำบลสัมมาชีพ
1 บริษัท 1 ตำบล ตำบลบัวใหญ่ จังหวัดน่าน
ด้วยปัญหาสุขภาพของคนในชุมชนตำบลบัวใหญ่ จังหวัดน่าน
เกิดจากการใช้สารเคมีในการทำเกษตร ส่งผลกระทบเป็นลูกโซ่
ต่อเนื่องมายาวนาน ไทยเบฟและมูลนิธิสัมมาชีพเล็งเห็นร่วมกัน
ถึงความสำคัญที่จะแก้ปัญหาโดยย้อนกลับไปมองถึงต้นน้ำ
ก่อเกิดแนวคิดส่งเสริม 1 ไร่ เกษตรอินทรีย์
ด้วยสภาพภูมิประเทศที่เป็นภูเขาสูง การส่งน้ำจากที่ราบขึ้นไป เพื่อการเกษตรถือเป็นหัวใจหลักของการทำเกษตรอินทรีย์ แบบผสมผสาน จึงมีการใช้นวัตกรรมร่วมกับภูมิปัญญาท้องถิ่นอย่าง “ตะบันน้ำ” มาใช้แก้ไขปัญหา และกลายเป็นกุญแจสำคัญ สู่การปรับเปลี่ยนวิถีการเกษตร ควบคู่ไปกับการฟื้นฟูป่าต้นน้ำน่าน และสร้างผลผลิตอินทรีย์ที่มีคุณภาพ กระทั่งสามารถวางจำหน่ายยังห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่และต่อยอดไปสู่แนวคิดการแปรรูปผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชนอย่างยั่งยืน
โครงการชุมชนดีมีรอยยิ้มการพัฒนาชุมชนที่ยั่งยืนโดยเริ่มต้นจากการพัฒนาศักยภาพของ “คน” โดยมีกลุ่มเยาวชนและโรงเรียนเป็นจุดศูนย์กลาง และนำพันธมิตรเข้าไปเติมเต็มทักษะ ความรู้ความสามารถ ให้กับเยาวชนในชุมชนที่ ขาดโอกาสและขาดแคลนบุคลากรในสายอาชีพต่าง ๆ โดยมุ่งเน้นที่ชุมชนโดยรอบโรงงานในเครือไทยเบฟ เป็นสำคัญ ผ่านการส่งเสริมด้านดนตรี กีฬา และศิลปะ ประดิษฐ์ มุ่งหวังให้เยาวชนได้จุดประกายแรงบันดาลใจ ในการพัฒนาความสามารถ เพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศ ในอนาคต พร้อมทั้งส่งเสริมการมีส่วนร่วมของโรงงาน และบริษัทในเครือ โดยการเพิ่มเติมกิจกรรมอันเป็นประโยชน์เพื่อความสัมพันธ์อันดีระหว่างองค์กรกับชุมชนใกล้เคียง
โครงการพัฒนาน้ำ พัฒนาชีวิต
พัฒนาคุณภาพชีวิต
ไทยเบฟร่วมมือกับมูลนิธิอุทกพัฒน์
ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการอนุรักษ์ทรัพยากรน้ำและป่าต้นน้ำไปพร้อมกับการพัฒนาด้านเศรษฐกิจชุมชน
ผ่านกระบวนการเข้าใจ เข้าถึง พัฒนา ซึ่งในปัจจุบัน
ได้ดำเนินการไปแล้วใน 2 พื้นที่
ชุมชนบ้านปากซวด ตำบลพะแสง
อำเภอบ้านตาขุน จังหวัดสุราษฎร์ธานี
ดำเนินงานฟื้นฟูป่าต้นน้ำ โดยสร้าง
ฝายแกนดิน หิน พร้อมขุดลอกหน้าฝาย
จนทำให้สามารถเพิ่มปริมาณน้ำสำรอง
เพื่อใช้ในการเกษตรฤดูแล้ง และบรรเทา
น้ำหลากท่วมหมู่บ้าน เกิดประโยชน์ต่อ
ประชาชนราว 600 คนหรือ 120 ครัวเรือน
และพื้นที่เกษตรกว่า 350 ไร่
ชุมชนบ้านวังศรีไพร ตำบลดงเดือย
อำเภอกงไกรลาศ จังหวัดสุโขทัย ดำเนินงาน
ฟื้นฟูพื้นที่อนุรักษ์วังปลา โดยขุดลอกคลองกล่ำ
ระยะทางรวม 680 เมตร และดำเนินงาน
ตามแนวทฤษฎีใหม่ พัฒนาระบบกระจายน้ำ
แบบใช้น้ำน้อย ทำให้ปริมาณน้ำเพิ่มขึ้นและเป็น
แหล่งเพาะพันธุ์ปลาในฤดูแล้ง ถือเป็นตัวอย่าง
การบริหารจัดการพื้นที่เกษตรตามแนวทาง
ทฤษฎีใหม่แก่ชุมชนอื่นในตำบลดงเดือย
โครงการไทยเบฟ...รวมใจต้านภัยหนาว
เป็นระยะเวลา 19 ปี ที่เราดำเนินโครงการนี้ขึ้น
เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนของพี่น้องชาวไทยในภาคเหนือ
และอีสาน จากจุดเริ่มต้นด้วยปณิธานแห่งการ “ให้”
ก่อเกิดแรงผลักดันที่ทำให้หน่วยงานพันธมิตรทั้งภาครัฐ
และภาคเอกชน เข้ามามีส่วนร่วมในการส่งต่อความอบอุ่น
กับโครงการฯ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ ณ วันนี้
ผ้าห่มจำนวน 3,800,000 ผืน ได้กระจายไปสู่
ผู้ประสบภัย พร้อมกับโอกาสในการเข้าถึงความช่วยเหลือ
ในด้านต่าง ๆ ทั้งการศึกษาและสาธารณสุข
นอกจากนั้นยังส่งเสริมให้พนักงานในองค์กรได้เป็น
ส่วนหนึ่งในการแบ่งปันความอบอุ่นผ่านโครงการ
1 ปัน 1 อุ่น โดยมุ่งหวังให้เกิดพลังความร่วมมือของ
ทุกภาคส่วนในการสร้างสังคมแห่งการให้ที่ยั่งยืน
โครงการภายใต้แนวคิด ไทยเบฟส่งเสริมการพึ่งพาตนเอง
โครงการความร่วมมือศูนย์ศึกษาการพัฒนา
ห้วยฮ่องไคร้อันเนื่องมาจากพระราชดำริ
ไทยเบฟร่วมกับศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด
จังหวัดเชียงใหม่ สนับสนุนให้ชาวชุมชนจากจังหวัดน่าน
กว่า 300 คน มาเข้าอบรมเรียนรู้และรับมอบ
วัตถุดิบต่าง ๆ ในการเลี้ยงสัตว์และพืชเพื่อบริโภค
ในชีวิตประจำวัน อาทิ การเลี้ยงสุกร ปลาดุก กบนา
ไก่ไข่ หรือเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏาน เพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่าย
ในครัวเรือนเบื้องต้น และเมื่อดำเนินการเลี้ยงไปได้
ระยะหนึ่งแล้วเหลือจากการบริโภค ยังสามารถรวมกลุ่ม
เกษตรกรเพื่อจำหน่ายเป็นสินค้าที่มีมาตรฐานและ
ความเหมาะสมต่อไป เพื่อมุ่งหวังการปลูกจิตสำนึก
ให้ชุมชนรักและหวงแหนธรรมชาติ นำไปสู่การฟื้นฟู
ป่าต้นน้ำไปพร้อมกับพัฒนาคุณภาพชีวิตให้พึ่งพา
ตนเองได้อย่างยั่งยืน
โครงการอนุรักษ์ผืนป่าตะวันตกและต้นน้ำปิง
เป็นการสนับสนุนและส่งเสริมภารกิจต่าง ๆ ของสถานี
พัฒนาการเกษตรที่สูงตามพระราชดำริบ้านป่าคา อำเภอคลองลาน จังหวัดกำแพงเพชร นำไปสู่เป้าหมาย
สูงสุดตามพระราชเสาวนีย์ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์
พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ที่มีพระราชประสงค์แก้ปัญหาสำคัญของพื้นที่ ด้านการฟื้นฟูป่าอนุรักษ์ธรรมชาติและการแก้ปัญหาที่เกิดจากยาเสพติด
ให้ได้อย่างยั่งยืน และด้วยพื้นที่ดังกล่าวยังเป็นพื้นที่ใกล้เคียงกับโรงงานผลิตของบริษัท เราจึงเข้ามามี
ส่วนร่วมรับผิดชอบต่อการสร้างความสมดุลทางธรรมชาติ
ในโอกาสนี้ จึงมีการลงนามในบันทึกข้อตกลงร่วมกับ
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช เป็นระยะเวลา
3 ปี ในการขอใช้พื้นที่ 7 ไร่ในบริเวณสถานีพัฒนา
การเกษตรที่สูงตามพระราชดำริ ซึ่งมีชาวไทยภูเขา
อาศัยอยู่เป็นส่วนใหญ่ โดยส่งพนักงานไทยเบฟ
ไปประจำตำแหน่งเจ้าหน้าที่โครงการฯ จำนวน 6 คน
เพื่อสาธิตการทำเกษตรแบบผสมผสานแก่ชาวไทยภูเขา
จำนวนกว่า 160 คน อาทิ นำพืชที่มีฤดูการเก็บเกี่ยวและสามารถใช้ประโยชน์ในระยะสั้น (30 วัน) ระยะกลาง
(60 - 90 วัน) ระยะยาว (4 ปีขึ้นไป) มาปรับใช้ให้เหมาะสม
และยังสาธิตให้เห็นว่าพื้นที่เพียงแค่ 7 ไร่
ต่อหนึ่งครัวเรือนนั้นเพียงพอต่อการดำรงชีวิตหากใช้พืช
และสัตว์ที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่และภูมิอากาศ
มุ่งเน้นให้ชุมชนชาวไทยภูเขาปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์
เพื่อการบริโภคในชีวิตประจำวัน ทั้งนี้ยังเปิดโอกาส
ให้ชุมชนเข้ามาเรียนรู้กับโครงการฯ และสนับสนุน
งบประมาณในการจัดหาวัตถุดิบ พันธุ์พืช และพันธุ์สัตว์
ให้ผู้เข้ารับการอบรมได้นำไปต่อยอด เพื่อลดค่าใช้จ่าย
พื้นฐานในครัวเรือน และหากเหลือจากการบริโภค
อาจนำออกขายเพิ่มรายได้ ถือเป็นการแก้ปัญหา
ในขั้นพื้นฐานและยับยั้งการบุกรุกป่าได้ทางหนึ่ง
จากการดำเนินโครงการฯ ทำให้ยุติการบุกรุกป่าได้ มากขึ้นในปัจจุบัน และเกิดการขยายผลสู่ชุมชนโดย สนับสนุนโครงการเพาะเห็ดนางฟ้าภูฏานและการเลี้ยงกบ สู่เกษตรกรในพื้นที่เป้าหมาย ขณะเดียวกันทำให้ชุมชนได้ยินยอมคืนพื้นที่รวม 205 ไร่ ใน พ.ศ. 2557 และประมาณ 800 ไร่ ใน พ.ศ. 2558
ไทยเบฟ กับการศึกษา
เพราะเชื่อว่าสังคมแห่งการเรียนรู้จะนำไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืน ไทยเบฟจึงเข้ามา เป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนและส่งเสริมด้านการศึกษา โดยเริ่มต้นพัฒนาความรู้ และเพิ่มขีดความสามารถจากครอบครัวพนักงานไปสู่เยาวชนไทยในทุกระดับการศึกษา เพื่อให้พวกเขาเติบโตขึ้นมาเป็นกำลังสำคัญของประเทศและร่วมกันพัฒนาชาติ ให้เจริญก้าวหน้า โดยผ่านทางโครงการต่าง ๆ ได้แก่(Beta Young Entrepreneur) เป็นความร่วมมือกันระหว่างสภาหอการค้าไทย มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และมูลนิธิสิริวัฒนภักดี มีวัตถุประสงค์เพื่อร่วมพัฒนานักศึกษารุ่นใหม่ สู่เส้นทางของผู้ประกอบการที่มีศักยภาพ คุณธรรม จริยธรรม และมีความรับผิดชอบต่อสังคม โดยให้องค์ความรู้ในระหว่าง ที่ศึกษาผ่านกิจกรรมเชิงธุรกิจและกิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility) ปัจจุบันโครงการฯ ได้ผลิตผู้ประกอบการรุ่นใหม่ออกไปสู่สังคมแล้วกว่า 120 คน
เริ่มขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2553 สำหรับส่งเสริมและสนับสนุนความก้าวหน้าทางการศึกษาให้แก่บุตรของพนักงานที่มี ผลการเรียนดี อีกทั้งช่วยเหลือและแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายของ ผู้ปกครอง โดยบริษัทได้กำหนดการพิจารณาทุนการศึกษาออกเป็นทุนการศึกษากรณีทั่วไป ในระดับประถมศึกษา ถึงประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูงและทุนระดับอุดมศึกษา รวมถึงทุนการศึกษากรณีพิเศษ (โครงการช้างเผือก) สำหรับนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีเป็นพิเศษ อีกทั้งยังเปิดโอกาสในการพิจารณารับเข้าทำงานกับ ทางบริษัทและบริษัทในเครือเป็นกรณีพิเศษอีกด้วย
EISA เป็นแพลตฟอร์มที่จัดทำขึ้นมาเพื่อสนับสนุนกิจกรรมต่าง ๆ ของสถาบันการศึกษา แรกเริ่มนั้น มีความตั้งใจที่จะพัฒนากีฬาในระดับอุดมศึกษา เพื่อให้นักกีฬามีทางเลือกที่จะเรียนและเล่นกีฬาอาชีพอย่างมีประสิทธิภาพ และด้วยความสัมพันธ์ที่เพิ่ม มากขึ้น จึงขยายผลไปสู่ความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ผ่านแกนหลัก 4 ด้านด้วยกัน ได้แก่
- 1. ด้านกีฬา จัดแมตช์การแข่งขันในรูปแบบ U League,
- 2. ด้านการขาย เปิดโอกาสให้บริษัทมีช่องทาง ในการจำหน่ายเครื่องดื่มไม่มีแอลกอฮอล์มากขึ้น,
- 3. ด้านการสร้าง Top of Mind ในกลุ่มของนักศึกษา นำความรู้ในการประกอบธุรกิจมาถ่ายทอดให้กับ นักศึกษา โดยมีผู้บริหารเข้าไปเป็นวิทยากรพิเศษ ในชั้นเรียน และ
- 4. ด้าน Connectivity ทำหน้าที่ เป็นทางเชื่อมเพื่อเปิดโอกาสให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ของบริษัท เข้าไปเชื่อมโยงกับมหาวิทยาลัยได้ง่ายขึ้น
นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดก็คือการสร้างรากฐานที่มั่นคง แข็งแรง นั่นก็คือการทำให้ EISA คงอยู่บนความยั่งยืน เป็นเส้นทางสู่ความสำเร็จที่พร้อมจะเปิดรับทุกความร่วมมือ กับสถาบันการศึกษาตลอดไป
ไทยเบฟ กับการพัฒนา ด้านสาธารณสุข
ด้วยปณิธานอันแน่วแน่ที่จะสร้างสรรค์และแบ่งปันคุณค่า จากการเติบโตขององค์กร เพื่อให้เกิดประโยชน์อย่าง ยั่งยืนสูงสุดต่อสังคมไทยในมิติต่าง ๆ ตลอดระยะเวลา 15 ปี บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ยังตระหนักถึงความสำคัญและให้การสนับสนุนงานด้านสาธารณสุขต่าง ๆ เพื่อส่งเสริมสุขภาพอนามัยของทุกคนในสังคมไทย เพราะเราเชื่อมั่นว่าการมี “สุขภาพดี” คือต้นทุนที่ดีที่สุด ที่จะส่งผลให้ทุก ๆ คนสามารถสร้างสรรค์สิ่งดี ๆ อันเป็นประโยชน์ต่อทั้งตนเอง สังคม และประเทศชาติ ไปพร้อมกับการดำเนินชีวิตอย่างเป็นสุขสอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (UN) ในเรื่องการส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนที่ไทยเบฟ ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง เช่น โรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ ที่ก่อตั้งขึ้นใน พ.ศ. 2550 เนื่องในโอกาสอันเป็นมหามงคลยิ่งที่ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงครอง สิริราชสมบัติครบ 60 ปี ตามความประสงค์ที่จะสร้างสิ่งที่ดีและเป็นประโยชน์ต่อประชาชนทั่วไปของคุณเจริญและคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี และครอบครัวสิริวัฒนภักดี อีกทั้งยังเป็นการถวายเป็นพระราชกุศล และเทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ในโอกาสดังกล่าว โดยกองทัพบกได้ยินดีมอบสิทธิ การใช้ที่ดินราชพัสดุ กรมธนารักษ์ จำนวน 13 ไร่ ของกรมแพทย์ทหารบก เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติในครั้งนั้นด้วย และยังได้รับพระมหากรุณาธิคุณจาก พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช พระราชทานชื่อ สถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ โดยมีสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ทรงเป็นประธานมูลนิธิสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ ที่มีพระนามของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ อยู่ด้วย เนื่องด้วยพระองค์ได้ทรงมี พระกรุณาธิคุณอันใหญ่หลวงต่อผู้ป่วยโรคไตมาช้านาน
นอกจากนี้ โรงพยาบาลสถาบันโรคไตภูมิราชนครินทร์ สถาบันทางการแพทย์เฉพาะทางชั้นนำระดับเอเชียที่มีความเชี่ยวชาญในการดูแลรักษาผู้ป่วยโรคไตอย่างครบวงจร ยังได้มีการร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่น ๆ อย่างต่อเนื่อง เพื่อสาธารณประโยชน์อันปราศจากความเกี่ยวข้องกับการเมือง สำหรับงานด้านสาธารณสุขอื่น ๆ ไทยเบฟยังคงให้การสนับสนุนในนามของ มูลนิธิสิริวัฒนภักดี โดยคุณเจริญและคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี อีกมากมาย อาทิ
“ช้างคลินิกเวชกรรม” ที่ก่อตั้งขึ้นมากว่า 12 ปี ด้วยวัตถุประสงค์เพื่อให้การช่วยเหลือและเป็นส่วนหนึ่งในการส่งเสริมคุณภาพชีวิตที่ดีในด้านสาธารณสุขให้แก่สมาชิกในชุมชนรอบโรงงานที่จังหวัดกำแพงเพชรและจังหวัดใกล้เคียง ให้มีโอกาสเข้าถึงการรักษาและได้รับการดูแลจากสถานพยาบาลที่มีประสิทธิภาพ ภายใต้ปณิธานของคุณเจริญและคุณหญิงวรรณา สิริวัฒนภักดี ประธานและ รองประธานกรรมการบริษัท ที่ดำริไว้ตั้งแต่เมื่อครั้งก่อตั้งว่า “คนไทยให้กันได้” อีกทั้งยังจัดให้มีทีมแพทย์เคลื่อนที่เพื่อช่วยเหลือและให้บริการตรวจรักษาฟรี แก่ประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุก ๆ ปี
นอกจากนี้ ไทยเบฟยังให้การสนับสนุนการจัดสร้างอาคารรักษาผู้ป่วย พร้อมด้วยเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ รวมถึงโครงการส่งเสริมสุขภาพ เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชนในด้านสาธารณสุขต่าง ๆ อีกมากมาย อาทิ
- มอบอาคารสิริวัฒนภักดี 1-2 ให้แก่โรงพยาบาลวัดญาณสังวราราม จังหวัดชลบุรี พร้อมมอบเงินบริจาคให้แก่โรงพยาบาลศรีสังวรสุโขทัย จังหวัดสุโขทัย จำนวน 5,700,000 บาท
- มอบเครื่องมือแพทย์ให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข จำนวน 52,768,694 บาท
- มอบเงินสนับสนุนให้กับโรงพยาบาลพรหมบุรี จังหวัดสิงห์บุรี จำนวน 10,000,000 บาท พร้อมจัดพิธีเปิดอาคาร 99 ปี พระธรรมปัญญาบดี (ถาวร เจริญพานิช) อย่างเป็นทางการ เพื่อไว้ใช้ในกิจกรรมต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับผู้ป่วยและประชาชนทั่วไป
- มอบอุปกรณ์เครื่องมือแพทย์ให้แก่คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย อาทิ ชุดเครื่องประมวลภาพ MRI และภาพอัลตราซาวนด์เพื่อการเจาะชิ้นเนื้อต่อมลูกหมาก ชุด Cystoscope และชุดเครื่องมือ ส่องกล้องตรวจและผ่าตัดทางเดินปัสสาวะ จำนวน 35,020,916.70 บาท
- อบเตียงไฟฟ้าผู้ป่วยจำนวน 100 เตียง ให้แก่โรงพยาบาลกำแพงเพชร จังหวัดกำแพงเพชร จำนวน 7,500,000 บาท
- สนับสนุนโครงการผ่าตัดสัญจร โดยสาขาประสาทศัลยศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย ซึ่งจัดขึ้นอย่างต่อเนื่องมาตั้งแต่ พ.ศ. 2551 เพื่อให้ความรู้และคำปรึกษาแก่ประสาทศัลยแพทย์ประจำโรงพยาบาลต่าง ๆ อาทิ โรงพยาบาลมหาราชนครศรีธรรมราช จังหวัดนครศรีธรรมราช โรงพยาบาลพุทธชินราช พิษณุโลก จังหวัดพิษณุโลก
- สนับสนุนโครงการปรับปรุงคลินิกทันตกรรมผู้สูงอายุ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในโอกาสการสถาปนา คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ครบรอบ 50 ปี จำนวน 15,000,000 บาท
- จัดทำโครงการตรวจสุขภาพนักเรียนและครูโรงเรียนวัดหอมเกร็ด ที่ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี
- สนับสนุนการดำเนินงานและประชาสัมพันธ์โครงการฝึกอบรม การช่วยชีวิตขั้นพื้นฐาน หรือการทำ CPR ที่จัดขึ้นโดยมูลนิธิหัวใจ แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อเผยแพร่ให้ประชาชน ได้รับรู้วิธีอย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ
ไทยเบฟ กับการพัฒนา ด้านกีฬา
ไทยเบฟได้ให้ความสำคัญกับการมีส่วนร่วมสนับสนุนพัฒนาวงการกีฬามาอย่างยาวนาน เพราะเชื่อว่ากีฬาสร้างคนให้มีคุณภาพ มีวินัยและ มีคุณธรรม จริยธรรม อีกทั้งยังช่วยให้มีสุขภาพ ที่แข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจซึ่งเป็นไปในแนวทาง เดียวกับการดำเนินธุรกิจของบริษัท จึงนำไปสู่ การสร้างสรรค์โครงการกีฬาต่าง ๆ ที่เปิดโอกาส ในการเรียนรู้และสร้างแรงบันดาลใจให้กับเยาวชน โดยเชื่อมั่นว่าการส่งเสริมทางด้านกีฬาคือปัจจัยหนึ่ง ในการพัฒนาสังคมอย่างยั่งยืน จนเกิดเป็นนโยบาย ในการสนับสนุนกีฬาหลากหลายประเภท รวมถึง การดำเนินงานอย่างจริงจังในโครงการพัฒนากีฬา ในระดับเยาวชน
กีฬาฟุตบอล
กว่า 20 ปี ที่ไทยเบฟได้ให้การสนับสนุนกีฬาฟุตบอล เราได้ก่อตั้งหน่วยงาน “ไทยเบฟ ไทยทาเลนท์” เพื่อรับผิดชอบทางด้านกีฬาโดยตรง โดยมีเป้าหมายในการพัฒนากีฬาอย่างยั่งยืน ตั้งแต่ระดับเยาวชนจนถึงระดับชาติ ด้วยรูปแบบ และแนวทางดำเนินงานที่มุ่งเน้นการสร้างสรรค์ แบ่งปันโอกาสด้วยใจ และร่วมสร้างแนวคิดด้วยสปิริตนักกีฬาใน 3 ระดับ คือ ระดับเยาวชน เพื่อสร้างรากฐานที่แข็งแรงทั้งกายและใจ รวมถึงความมีน้ำใจนักกีฬา สร้างโอกาส สร้างแรงบันดาลใจ และสร้างอาชีพ อาทิ โครงการ Chang Junior Football Project / Chang Mobile Football Unit / Chang Football Community อันเป็นโครงการที่ผสานความร่วมมือกันระหว่างไทยเบฟ กับชุมชนต่าง ๆ ในทั่วทุกภูมิภาค โดยร่วมระดมพันธมิตรในวงการฟุตบอลเข้าไปสร้างบรรยากาศที่ดี รวมถึงสอนทักษะการเล่นฟุตบอล พร้อมทั้งพูดคุยแลกเปลี่ยนเรื่องการดำเนินชีวิตกับนักฟุตบอลอาชีพที่มีชื่อเสียง เพื่อสร้างแรงบันดาลใจ ปรับวิธีคิด และเสริมสร้างทัศนคติในการดำเนินชีวิตที่ดีให้กับเยาวชน โดยมุ่งหวังให้เยาวชนได้มีโอกาสทำตามความฝันและสร้างเส้นทาง ในการพัฒนาตนเองไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ พร้อมทั้งได้รับการยอมรับจากสังคมอย่างแท้จริง ระดับประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างมิตรภาพด้วยหัวใจ กับการสนับสนุนการแข่งขันฟุตบอลในทุกระดับที่หลากหลาย เพื่อสร้าง ความสุขให้กับประชาชนทั่วไป และใน ระดับอาชีพ / ระดับชาติ กับการสนับสนุน สโมสรฟุตบอลอาชีพในทุกระดับชั้น รวมถึงให้การสนับสนุนสมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ มาอย่างยาวนาน เพื่อมุ่งเน้น การสร้างบุคลากรและอาชีพที่ยั่งยืนให้กับวงการกีฬาฟุตบอลของไทย
การแข่งขันเรือยาวถือเป็นมรดกทางวัฒนธรรมแห่งสายน้ำ และเป็นกีฬา ชาวบ้านที่สะท้อนถึงวิถีชีวิตอันดีงามที่แสดงถึงความผูกพันของคนไทยกับสายน้ำมาตั้งแต่ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยา สอดคล้องกับวิถีทางธุรกิจของไทยเบฟที่แนบแน่นอยู่กับสายน้ำเช่นกัน จึงเป็นที่มาของการสนับสนุนกีฬาประเพณีไทยชนิดนี้มาอย่างยาวนานกว่า 30 ปีของไทยเบฟ ทั้งสนับสนุน การจัดการแข่งขันเรือยาวและทีมเรือยาว “แม่โขงเอกนาวา” ฯลฯ ซึ่งเป็นทีม ในพื้นที่ที่ตั้งโรงงานของบริษัท รวมถึงการดำเนินโครงการนักพากย์เรือยาว รุ่นจิ๋ว ที่ก้าวเข้าสู่ปีที่ 5 ด้วยความสำคัญของอาชีพนักพากย์เรือที่คอยช่วยสร้างสีสันและอรรถรสให้กับผู้ชมบนสองฝั่งลำน้ำ ซึ่งเป็นเสน่ห์ของการแข่งขันเรือยาว และยังควรค่าแก่การอนุรักษ์เพื่อสืบทอดสู่คนรุ่นหลัง อีกทั้งยังช่วยสร้าง เยาวชนคนรุ่นใหม่ให้สืบทอดการพากย์เรือยาวสู่คนรุ่นหลัง โดยมีเยาวชนไทย กว่า 10 คน ได้รับเลือกจากการแข่งขันของโครงการฯ เพื่อเตรียมตัวก้าวสู่ การเป็นนักพากย์เรือยาวอาชีพต่อไป
เป็นเวลากว่า 30 ปีที่ไทยเบฟเป็น ผู้สนับสนุนของสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย และเป็นกำลังสำคัญ ที่ทำให้สมาคมฯ สามารถกำหนดแผน การพัฒนากีฬาวอลเลย์บอลอย่างเป็นระบบ จนประสบความสำเร็จในเวทีระดับสากล และระดับโลกอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ ยังสามารถครองใจประชาชน และผลักดันเยาวชนรุ่นใหม่ให้ก้าวขึ้นมาเป็นนักกีฬาวอลเลย์บอลอาชีพได้อย่างภาคภูมิ
นอกเหนือจากโครงการกีฬาที่กล่าวมา ข้างต้น ไทยเบฟยังให้การสนับสนุน และดำเนินโครงการกีฬาต่าง ๆ อีกมากมาย หลากหลายประเภทอย่างจริงจัง เช่น กีฬากอล์ฟ มวยไทย มวยสากล สนุกเกอร์ บาสเกตบอล เทนนิส แบดมินตัน ฯลฯ โดยมุ่งหวังที่จะเป็น หนึ่งในผู้ร่วมสร้างความฝันและเส้นทาง สู่การเป็นนักกีฬาอาชีพที่มีคุณภาพ ให้กับเยาวชน เพื่อเป็นกำลังสำคัญ ของประเทศไทยในอนาคต
ไทยเบฟ กับการพัฒนา ด้านศิลปวัฒนธรรม
ด้านหนึ่งของเรา โดยร่วมกับองค์กรภาคีต่าง ๆ เพื่อให้ศิลปวัฒนธรรมไทยและสากลได้รับการเชิดชู อนุรักษ์ พัฒนา และสนับสนุนการดำเนินโครงการ หรือกิจกรรมที่เป็นมาตรฐานสากล ผสานแนวการทำงาน เชิงวิชาการ ผ่านการพัฒนา เรียนรู้ และรับรู้ ให้สังคมตระหนักถึงคุณค่าด้านศิลปวัฒนธรรมจนเกิด ความรักชาติและมรดกทางวัฒนธรรม ซึ่งสะท้อน ผ่านการได้รับรางวัลเกียรติยศ ดังนี้
วันที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2556 ได้รับพระบรมราชโองการ ตั้งให้บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจลงทุนในกิจการผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่ม เป็นบริษัทในพระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2561 รับพระราชทาน เข็มเกียรติคุณผู้ทำคุณประโยชน์ด้านวัฒนธรรม เนื่องในวันอนุรักษ์มรดกไทย ประจำปี พ.ศ. 2561 จาก สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี วันที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2558 รับรางวัลผู้ทำคุณประโยชน์ต่อกระทรวงวัฒนธรรม ประเภทองค์กร ประจำปี พ.ศ. 2558 จากรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม
ทั้งนี้ ได้ดำเนินงานผ่านการขับเคลื่อนตามปณิธานภายใต้กลยุทธ์ 3 ประการ ได้แก่
รักษา
1. งานเชิดชู ส่งเสริม อนุรักษ์ เผยแพร่เนื้อหา และบุคลากร ด้านศิลปวัฒนธรรม เพื่อรักษาจารีตและความเป็นสากล
โครงการเพื่อเทิดพระเกียรติสถาบันพระมหากษัตริย์ เนื่องด้วยสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ ที่สร้างความเข้มแข็งสามัคคีให้กับประเทศไทย ในฐานะพสกนิกรชาวไทย ไทยเบฟจึงดำเนินโครงการต่าง ๆ มาตั้งแต่เริ่มต้นก่อตั้งบริษัท เพื่อเทิดพระเกียรติและแสดงออกถึงความจงรักภักดี
นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ พระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทาน พระราชานุญาตให้สมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เชิญภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ จำนวน 200 ภาพ ไปจัดแสดงยังหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร พร้อมพระราชทานพระราชานุญาต ในการจัดพิมพ์หนังสือภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ซึ่งสนับสนุนการจัดพิมพ์โดยมูลนิธิสิริวัฒนภักดี และบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเทพรัตน ราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี ซึ่งจัดอย่างต่อเนื่อง มาตั้งแต่ พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา ณ หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร โดยใน พ.ศ. 2560 จัดขึ้น ในชื่อ นิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ “กาวยประภา” (กา-วะ-ยะ-ประ-ภา)
โครงการจัดทำการบันทึกเสียงการขับร้องเพลงประสานเสียง บทเพลงพระราชนิพนธ์พระบาทสมเด็จพระปรมินทร มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เพื่อเผยแพร่แก่สาธารณชนโดยไม่มีการจำหน่าย พร้อมกับสนับสนุนทุนสำหรับการทำวิจัยโน้ตเพลงสำหรับการขับร้องประสานเสียงแบบสมบูรณ์ครบถ้วนทั้ง 47 เพลง รวมถึงจัดการแสดงการขับร้องประสานเสียงบทเพลงพระราชนิพนธ์ “น้อมรำลึกด้วยเสียงเพลง” ณ โรงพยาบาลสถาบันโรคไต ภูมิราชนครินทร์
โครงการบันทึกเสียงการขับร้องและบรรเลงกีตาร์คลาสสิกเพลงพระราชนิพนธ์ “ในดวงใจนิรันดร์” โดยนายเอกชัย เจียรกุล นักกีตาร์คลาสสิกในโครงการ Thai Talent ของไทยเบฟ ซึ่งจัดทำครบถ้วนทั้ง 49 เพลง พร้อมจัดการแสดง คอนเสิร์ต “Still on My Mind” The Acoustic Night (Tribute to the Great King) ขึ้น ณ โรงละครอักษรา คิง เพาเวอร์
โครงการจัดทำหนังสือ “ศิลป์สิรินธร์ ศิลปินสยาม” เนื่องในโอกาสที่สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา ฯ สยามบรมราชกุมารี เจริญพระชนมายุครบ 60 พรรษา เมื่อ พ.ศ. 2558
โครงการจัดทำหนังสือเชิงประวัติศาสตร์ วิชาการ ด้านศิลปวัฒนธรรม- หนังสือที่ระลึกเนื่องในโอกาสประดิษฐานตรา “พระครุฑพ่าห์” ณ อาคารบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน)
- หนังสือ “ครุฑสยาม”
- หนังสือเนื่องในงานกฐินพระราชทานวัดประยุรวงศาวาส วรวิหาร
- หนังสือเนื่องในงานกฐินพระราชทานวัดสัมพันธวงศารามวรวิหาร
- หนังสือเนื่องในงานกฐินพระราชทานวัดอุโปสถาราม
- หนังสือเนื่องในงานกฐินพระราชทานวัดพระธาตุเชิงชุมวรวิหาร
- หนังสือเนื่องในงานกฐินพระราชทานวัดสามพระยาวรวิหาร
- หนังสือเนื่องในงานกฐินพระราชทานวัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร
- หนังสือที่ระลึกเนื่องในงานกฐินวัดโพธิ์ศรีใน
งานด้านการสนับสนุนการเผยแผ่ศาสนา
- ร่วมคณะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรม-คณะสงฆ์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เข้าเฝ้าถวายคัมภีร์พระมาลัยอักษรขอม (บาลี-ไทยโบราณ) ที่ปริวรรตเสร็จสมบูรณ์ แด่สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส พระประมุขสูงสุดแห่งคริสตจักรโรมันคาทอลิก องค์ที่ 266 สนับสนุนการสร้างอาคาร “ญาณสังวร อนุสรณ์ไทย-ญี่ปุ่น” พร้อมอัญเชิญพระรูปเหมือนสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ไปประดิษฐาน ณ วัดป่าพุทธรังษี กรุงโตเกียว สนับสนุนการสร้างอาคารปฏิบัติธรรม “สิริภักดีธรรม” ณ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร
- สนับสนุนการจัดงาน “สมโภชวัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร” ตลอด 4 ครั้งที่ผ่านมา ภายใต้แนวคิด “Play + Learn = เพลิน” โดยใช้รูปแบบความบันเทิงสอดแทรกสาระความรู้ (Edutainment) มาสร้างความเพลิดเพลินแก่ผู้เข้าร่วม ชมงาน
- สนับสนุนการอนุรักษ์ฟื้นฟูชุมชนกุฎีจีน-คลองสานและ พื้นที่ใกล้เคียง อาทิ วัดประยุรวงศาวาสวรวิหาร ทั้งในเชิง ของการส่งเสริมพระพุทธศาสนาและการสร้างชุมชน ให้เข้มแข็ง เพื่อเป็นแหล่งเรียนรู้และท่องเที่ยว นำมาซึ่ง ความเจริญในท้องถิ่นและสร้างความตระหนักในคุณค่า ของแหล่งประวัติศาสตร์เดิมแก่คนรุ่นใหม่
- สนับสนุนการจัดงาน “วิสาขบูชาโลก...เชิดชูกษัตริย์ นักพัฒนา” ในฐานะที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพในการ จัดงานเฉลิมฉลองวันวิสาขบูชาโลก ครั้งที่ 15 พร้อมสนับสนุนการแสดงทางศิลปวัฒนธรรม “คิดบวกศิลป์” ที่บอกเล่าเรื่องราวเมืองหลวงของไทย ผสมผสานความงามของศิลปวัฒนธรรมและสถานที่สำคัญต่าง ๆ เชื่อมโยง สู่สถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นศูนย์รวมใจของชาวไทย และเผยถึงความอุดมสมบูรณ์ของผืนแผ่นดินไทย
2. ริเริ่มโครงการและกิจกรรมด้านวัฒนธรรมอย่างเป็นระบบ เพื่อให้เกิดการขยายผลสู่กระบวนการศึกษาเรียนรู้เพิ่มเติม ในประเด็นด้านวิถีชีวิต ศิลปะ วัฒนธรรม เพื่อบอกเล่าความเป็นไทยไปทั่วโลก
Water Festival เทศกาลวิถีน้ำ วิถีไทย เพื่อตอกย้ำแนวคิดการท่องเที่ยววิถีไทยให้คนรุ่นใหม่ได้ร่วมเรียนรู้ สืบสาน และบอกเล่าประเพณีสงกรานต์อันเป็นเอกลักษณ์ความเป็นไทยที่ร่วมสมัย ไปพร้อมกับกลิ่นอายของวิถีชุมชนที่โอบล้อม ด้วยมรดกทางวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า
River Festival เทศกาลสายน้ำแห่งวัฒนธรรมไทย เพื่อร่วมอนุรักษ์การท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ที่แสดงถึงวิถีชีวิต คนไทย พร้อมด้วยมหกรรมลอยกระทงบนโค้งน้ำที่ยาวที่สุดของแม่น้ำเจ้าพระยา ที่ช่วยผลักดันการท่องเที่ยวไทย ให้โดดเด่นในด้านศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอันเป็นเอกลักษณ์ความเป็นไทย ให้เป็นที่รู้จักแก่นักท่องเที่ยวทั่วโลก พร้อมด้วยโครงการคลีนคลอง เพื่อฟื้นฟูทัศนียภาพของแม่น้ำลำคลองในช่วงหลังเทศกาลลอยกระทง และสร้างภูมิทัศน์ โดยรอบชุมชนให้สะอาดและมีความน่าอยู่อย่างยั่งยืน รวมถึงโครงการเยาวชนเจ้าบ้าน สืบสานวัฒนธรรม เพื่อเผยแพร่ ศิลปวัฒนธรรมอันดีงามของไทยผ่านเยาวชนในชุมชนริมน้ำ ที่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการท่องเที่ยวและยังช่วยปลูกฝังให้ เยาวชนคนรุ่นใหม่มีความรัก ความหวงแหน และภาคภูมิใจในวัฒนธรรมไทยสืบไป
C asean Consonant วงดนตรีพื้นบ้านแห่งภูมิภาคอาเซียนที่รวมเยาวชนและครูเพลงจาก 10 ชาติอาเซียน มาหลอมรวมวัฒนธรรมและความงามของเสียงดนตรีแห่งภูมิภาคอาเซียนเป็นหนึ่งเดียว ซึ่งได้รับเกียรติให้เป็นวงดนตรี ที่แสดงในการฉลองวาระครบรอบ 50 ปีอาเซียน ณ สำนักงานเลขาธิการอาเซียน กรุงจาการ์ตา และเป็นวงดนตรี ตัวแทนแห่งภูมิภาคเพียงวงเดียวในการฉลองครบรอบ 40 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างภูมิภาคอาเซียนกับ สหภาพยุโรป (40th Anniversary of ASEAN-EU Dialogue Relations)
ร่วมมือ
1. งานสนับสนุนโครงการตามพระราชดำริและพระราชประสงค์ในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและพระบรมวงศานุวงศ์
กิจกรรมอุ่นไอรัก คลายความหนาว ซึ่งจัดขึ้นตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะให้ประชาชน ได้มีความสุข ความรื่นเริง และรำลึกถึงวิถีชีวิตที่ผ่านมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 11 มีนาคม พ.ศ. 2561 ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า โดยได้ร่วมเป็น ส่วนหนึ่งของงานที่ได้ออกร้านจำหน่ายสินค้าในโครงการประชารัฐ และเปิดให้บริการห้องภาพ “ฉายานิติกร”
กิจกรรมเถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตำนานไทย ซึ่งจัดขึ้นตามที่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้จัดงานเถลิงศกสุขสันต์ มหาสงกรานต์ ตำนานไทย เพื่อร่วมกันปลูกฝังความ กตัญญูกตเวทีต่อผู้มีพระคุณและอดีตพระมหาราช ส่งเสริม สืบสานศิลปวัฒนธรรมและประเพณีอันดีงาม ของชาติ ระหว่างวันที่ 6 - 8 เมษายน พ.ศ. 2561 ณ พระลานพระราชวังดุสิต และสนามเสือป่า โดยได้ร่วมเป็น ส่วนหนึ่งของงานด้วยการเปิดให้บริการห้องภาพ “ฉายานิติกร”
สนับสนุนการอนุรักษ์แผ่นเสียงและเครื่องเล่นแผ่นเสียงโบราณ ร่วมกับมูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และโน้มนำให้เยาวชนหันมาสนใจดนตรีไทยอันเป็นเอกลักษณ์สำคัญของชาติ และยังเป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันควรค่าแก่การธำรงรักษาไว้สืบไป ผ่านโครงการประกวดบรรเลงดนตรีไทยศรทอง ชิงถ้วยพระราชทาน
สนับสนุนการจัดนิทรรศการ “วังน่านิมิต” ในโครงการศึกษาพระราชวังบวรสถานมงคล และสื่อความหมาย ด้วยเทคโนโลยี โดยกรมศิลปากรผสานความร่วมมือกับ สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ และมูลนิธิพระราชนิเวศน์ มฤคทายวัน ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าภคินีเธอ เจ้าฟ้าเพชรรัตนราชสุดา สิริโสภาพัณณวดี ระหว่างวันที่ 10 - 27 มิถุนายน พ.ศ. 2561 ณ หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อฟื้นฟูประวัติศาสตร์ของ “พระราชวังบวรสถานมงคล: วังหน้า” ผ่านงานสถาปัตยกรรมและการใช้เทคโนโลยี เพื่อสร้างความรู้ เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ไทยสมัยรัตนโกสินทร์ในมุมที่ เกี่ยวเนื่องกับพระราชวังบวรสถานมงคล (วังหน้า) ซึ่งเป็น ที่ประทับของกรมพระราชวังบวรสถานมงคล ผู้ทรงเป็น กำลังสำคัญในการสร้างบ้านเมืองให้เป็นปึกแผ่นเมื่อครั้งอดีต
สร้างเสริม
เพิ่มมูลค่าให้งานและบุคลากรที่ทำงานด้านศิลปวัฒนธรรม เพื่อให้เกิดมูลค่าเพิ่มทางวัฒนธรรม ศิลปิน และเศรษฐกิจสร้างสรรค์1. การริเริ่มกิจกรรมในเชิงเศรษฐกิจสร้างสรรค์
ฉายานิติกร เริ่มต้นมาจาก “งานอุ่นไอรัก คลายความหนาว” ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 8 กุมภาพันธ์ - 11 มีนาคม พ.ศ. 2561 เป็นสตูดิโอถ่ายภาพย้อนยุคลักษณะเฉพาะกิจ โดยจะเน้นให้บริการประชาชน ให้ได้รับความสุขจากการได้มีโอกาสถ่ายภาพย้อนยุคในราคา 99 บาท และมุ่งเน้นในการมอบ รายได้ทั้งหมด เพื่อนำไปสร้างประโยชน์แก่สาธารณกุศล ทำให้หลังจบ “งานอุ่นไอรัก คลายความหนาว” ห้องภาพ “ฉายานิติกร” ในนามการสนับสนุนจาก “ไทยเบฟ” ได้มีโอกาสร่วมมือกับพันธมิตรมากมาย ในการให้บริการห้องภาพนี้ ทั้งนี้ในทุกวาระที่เปิดบริการ ล้วนได้รับความสนใจและเป็นที่นิยมจากประชาชน มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง เกิดเป็นกระแสไทยนิยมที่หันมานิยมการแต่งกายไทย เกิดกระแสเงินหมุนเวียน ในวงการธุรกิจชุดไทยและเครื่องประดับอัญมณีต่าง ๆ ด้วย เกิดเป็นการสร้างเศรษฐกิจจาก งานสร้างสรรค์ขึ้นได้ในเวลาอันรวดเร็ว
2. งานเสริมสร้างและเพิ่มคุณค่าให้ศิลปวัฒนธรรม การจัดนิทรรศการด้านศิลปวัฒนธรรมต่าง ๆ
เทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ (Bangkok Art Biennale: BAB) คือเทศกาลศิลปะร่วมสมัยระดับนานาชาติที่มีมาอย่างยาวนาน คำว่า เบียนนาเล่ (Biennale) หมายถึง สองปีครั้ง จัดขึ้นในหลายเมืองทั่วโลก ใน พ.ศ. 2561 นี้ จะจัดขึ้นในกรุงเทพฯ เนื่องด้วยกรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ได้รับ การยอมรับว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจที่สุดแห่งหนึ่งของโลกที่มีความ หลากหลายในด้านศาสนา ชาติพันธุ์ และวิถีชีวิตชุมชนที่งดงาม อีกทั้งยังเป็น เมืองแห่งศิลปะและวัฒนธรรมอันทรงคุณค่าที่สะท้อนอัตลักษณ์ความเป็นไทยได้อย่างแท้จริง จนได้รับการขนานนามว่า กรุงเทพฯ คือเวนิสแห่งตะวันออก จึงเป็นอีกหนึ่งที่มาของแรงบันดาลใจในการจัดงานบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018 ที่จะมีศิลปินชั้นนำของโลกมาร่วมแสดงผลงานศิลปะร่วมสมัยมากมาย โดยได้นำมารวมกันไว้ที่กรุงเทพฯ ภายใต้แนวความคิด “สุขสะพรั่งพลังอาร์ต” (Beyond Bliss) ทั้งหมดนี้ถือเป็นนิมิตหมายอันดีที่จะช่วยส่งเสริมภาพลักษณ์ ด้านการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรมของประเทศไทย ที่จะทำให้บรรดาศิลปิน และนักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลกต้องกำหนดเส้นทางให้กรุงเทพฯ เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายในการเดินทางมาเที่ยวชม และในเวลาเดียวกันถือเป็น การเปิดโอกาสให้ศิลปินไทยรุ่นใหม่ได้แสดงฝีมือ และยังเป็นการช่วยพัฒนา ทรัพยากรมนุษย์ทางด้านความคิดสร้างสรรค์ได้อย่างดีบนพื้นที่สำคัญ 20 จุด งานบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ครั้งที่ 1 จะมีระยะเวลาในการจัดงานตั้งแต่วันที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2561 - 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562 เอกลักษณ์ของเทศกาล คือการนำเสนองานศิลปะร่วมสมัยหลากหลายแขนงบนพื้นที่สำคัญ อาทิ อาคารประวัติศาสตร์ พื้นที่สำคัญริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา หอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร โครงการอสังหาริมทรัพย์แห่งอนาคต วัน แบงค็อก ฯลฯ งานบางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2018 มีศิลปินนานาชาติเข้าร่วมทั้งสิ้น 75 ท่าน จาก 33 ประเทศ ทั้งเดี่ยว คู่ และกลุ่มที่ได้รับคัดเลือกจากทีมภัณฑารักษ์นานาชาติ ซึ่งมีชิ้นงานร่วมแสดงมากกว่า 200 ชิ้นงานจัดโครงการประกวดศิลปกรรมช้างเผือก เพื่อส่งเสริมแนวทางศิลปะ ในเชิงเสมือนจริงและศิลปะรูปลักษณ์ และให้การสนับสนุนศิลปิน ในแนวทางดังกล่าวได้มีเวทีในการแสดงความสามารถเป็นการเฉพาะ ซึ่งเงินชนะเลิศรางวัลศิลปกรรมช้างเผือกสูงถึง 1 ล้านบาท โดยใน พ.ศ. 2561 ได้ดำเนินการโครงการต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 8 ภายใต้แนวคิด “รื่นเริง เถลิงศก” ร่วมกับสมาคมถ่ายภาพแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ เริ่มดำเนินโครงการภาพถ่ายแห่งแผ่นดิน (การประกวดภาพถ่าย ทั่วประเทศ ชิงถ้วยพระราชทาน) มาตั้งแต่ พ.ศ. 2550
โครงการประกวด Chang International Fine Art Photo Contest สนับสนุนการจัดนิทรรศการภาพถ่ายต่าง ๆ แก่สมาคมถ่ายภาพ แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์
โครงการประกวดภาพถ่ายนานาชาติ เนื่องในงานวันนริศ และ ภาพยนตร์สั้นวันศิลป์ พีระศรี ซึ่งสนับสนุนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน
ชื่อภาพ “เพียงพอก็พอเพียง” สถานที่ถ่ายภาพ: จังหวัดเชียงใหม่
ถ่ายโดย นายคันธ์ชิต สิทธิผล
โครงการสนับสนุนหน่วยงาน ศิลปิน และให้ทุนการศึกษา เพื่อเพิ่มโอกาส ในการเรียนรู้ พัฒนาศักยภาพ อันจะส่งเสริม สนับสนุนการเพิ่มโอกาส ในทางเศรษฐกิจสร้างสรรค์
สนับสนุนสถาบันดนตรีกัลยาณิวัฒนาด้านดนตรีคลาสสิก โดยให้โอกาส แสดงในกิจกรรมต่าง ๆ หรือร่วมมือกันจัดโครงการพิเศษในวาระต่าง ๆ
สนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานของมูลนิธิหลวงประดิษฐไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) และขยายผลสู่โครงการเพื่อนดนตรี เพื่อสร้างเครือข่าย บุคลากรในวงการดนตรีไทย ให้ได้ร่วมสร้างสรรค์กิจกรรมสู่ชุมชน ได้ขยายวงกว้างมากขึ้น
สนับสนุนวงดนตรี Thailand Philharmonic Orchestra (TPO) และทุนการศึกษาแก่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล อย่างต่อเนื่องตั้งแต่ พ.ศ. 2553
สนับสนุนงบประมาณการดำเนินงานหอศิลปวัฒนธรรม แห่งกรุงเทพมหานคร ตั้งแต่ พ.ศ. 2551
สนับสนุนทุนดำเนินกิจกรรมให้คณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู เป็นประจำทุกปี
“สานพลัง”แห่งความร่วมมือ
จากนโยบาย “สานพลังประชารัฐ” ของรัฐบาล ที่มุ่งหวังให้เกิดการประสาน
ความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการร่วมกันแก้ปัญหาและคิดหาทาง
สร้างอนาคตให้ประเทศไทยบริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เข้าเป็นหัวหน้าคณะทำงานภาคเอกชนในคณะทำงานการพัฒนา เศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ซึ่งมีเป้าหมายหลักในการสร้างรายได้ ให้ชุมชน ประชาชนมีความสุข |
บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) มีความภาคภูมิใจ เป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับกระทรวงมหาดไทยริเริ่มงานพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ให้เป็นไปตามนโยบาย “สานพลังประชารัฐ” ของรัฐบาลภายใต้การนำของ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อให้เกิดการสร้างรายได้ในชุมชน และให้ประชาชนมีความสุข อันจะนำไปสู่เป้าหมายสูงสุดคือ การขับเคลื่อนและพัฒนาประเทศไปสู่ความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ตั้งแต่ พ.ศ. 2559 เป็นต้นมา
โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย พลเอก อนุพงษ์ เผ่าจินดา เป็นหัวหน้าคณะทำงานภาครัฐ และคุณฐาปน สิริวัฒนภักดี กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) เป็นหัวหน้าคณะทำงานภาคเอกชน สร้างความ ร่วมมือและการมีส่วนร่วมเพื่อเชื่อมโยงการทำงานผ่านกลไก ประชารัฐที่มีการผสานพลังกันใน 5 ภาคส่วน คือ ภาครัฐ ภาคเอกชน ภาคประชาสังคม ภาควิชาการ และภาคประชาชน เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนและทุ่มเทสรรพกำลังในการสร้างองค์ความรู้ในมิติใหม่ ๆ ในการพัฒนาเศรษฐกิจชุมชนทั้งระบบ ตั้งแต่ต้นทาง กลางทาง และปลายทาง ใน 3 กลุ่มงาน คือ เกษตร แปรรูป และท่องเที่ยวโดยชุมชน พร้อมทั้งยังสร้างความเชื่อมโยงการทำงาน ของเครือข่าย บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี ทั่วประเทศ ด้วยความตั้งใจอันดี เพื่อลดความเหลื่อมล้ำ เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันและพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐได้น้อมนำ หลักการพัฒนาตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จ พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร “เข้าใจ เข้าถึง พัฒนา” เพื่อมุ่งเข้าใจและเข้าถึงความต้องการของประชาชน ในพื้นที่ เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการแก้ปัญหาและนำไปสู่ การพัฒนาที่ตรงกับความต้องการ มีรายได้ที่พอเพียงต่อการ ดำรงชีวิต ขณะเดียวกันยังสามารถเสียสละช่วยเหลือสังคมได้ อย่างยั่งยืนต่อไป
โดยใช้แนวทางการทำงานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง (Sufficiency Economy Principle: SEP) มาผสานกับกลไกประชารัฐของเครือข่ายความร่วมมือจากทุกภาคส่วน เพื่อนำไปสู่ เป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (Sustainable Development Goals: SDGs) ทั้ง 17 ข้อ ได้อย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งช่วยผลักดันการพัฒนาประเทศไทย ไปสู่ไทยแลนด์ 4.0 อีกด้วย
เพื่อให้การขับเคลื่อนงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มีผลเป็นรูปธรรม และมีความต่อเนื่องในระยะยาว คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐจึงได้ผลักดันให้มีการจัดตั้ง “วิสาหกิจเพื่อสังคม” ภายใต้ชื่อ “ประชารัฐรักสามัคคี” ขึ้น ในทุกจังหวัด และดำเนินการจัดตั้งบริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด เพื่อเป็นหน่วยงานกลาง ในการประสานความเชื่อมโยงระหว่างภาคส่วนต่าง ๆ ทั้ง 76 จังหวัด ทั่วประเทศไทยเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ กระทรวงมหาดไทยยังจัดให้มีคณะกรรมการประสาน และขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจำจังหวัด (คสป.) ทำหน้าที่ขับเคลื่อนและสนับสนุนการทำงานของโครงการร่วมกับ ทุกภาคส่วนในพื้นที่ โดยมีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นแกนหลัก และมีผู้แทนจากหน่วยราชการต่าง ๆ เช่น พัฒนาการจังหวัด เกษตรจังหวัด พาณิชย์จังหวัด ท่องเที่ยวจังหวัด และอื่น ๆ ร่วมกับ ภาคเอกชน ภาควิชาการ ภาคประชาสังคม และภาคประชาชน ในจังหวัด โดยมีบริษัทประชารัฐรักสามัคคีจังหวัดคอยช่วยเสริมความเข้มแข็งและสนับสนุนเชิงธุรกิจในชุมชนเป้าหมาย
การดำเนินงานยังได้ริเริ่มโครงการสานพลังเพื่อบ้านเกิด ซึ่งจัดขึ้นเพื่อสร้างผู้นำการพัฒนาชุมชนรุ่นใหม่ในแต่ละจังหวัด ที่สามารถทำงานร่วมกับทุกภาคส่วนได้ ผ่านการถ่ายทอด องค์ความรู้ โดยการอบรมและการทำงานจริงในพื้นที่ เพื่อเสริมสร้างทักษะการพัฒนาชุมชนแบบใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง โดยนักพัฒนาธุรกิจชุมชนที่ได้รับการคัดเลือกจะผ่านการอบรมเป็นเวลา 2 เดือน ทั้งในเรื่องการบริหารธุรกิจ การทำงานร่วมกับชุมชน การบริหารงานบริษัท และการประสานงาน ก่อนลงพื้นที่ปฏิบัติงานจริง
ในฐานะภาคเอกชน บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ได้เข้ามา เป็นหัวหน้าคณะทำงานภาคเอกชนในการดำเนินงานพัฒนา ระบบเศรษฐกิจฐานราก เพื่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของประชาชนอย่างต่อเนื่องเป็นระยะเวลากว่า 3 ปีที่เกิดผลสำเร็จอย่างเป็น รูปธรรม อีกทั้งยังมีการร่วมพัฒนาแนวคิดในเรื่อง “วิสาหกิจเพื่อสังคม” หรือ Social Enterprise เพื่อให้เป็นเวทีสำหรับการระดมความร่วมมือจากทุกภาคส่วนในการพัฒนาเศรษฐกิจฐานราก ให้เกิดขึ้นอย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ คุณฐาปน สิริวัฒนภักดี หัวหน้าทีมภาคเอกชน คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ยังได้เข้าร่วมการประชุม High-level Political Forum on Sustainable Development in 2017 (HLPF) เพื่อร่วมนำเสนอ Voluntary National Reviews ในการดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐ ตามนโยบายสานพลังประชารัฐ ที่องค์การสหประชาชาติ นครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เพื่อเผยความคืบหน้าในการดำเนินงาน ของประเทศไทยสู่การบรรลุเป้าหมายความยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) อีกด้วย
ในระยะเริ่มต้นเครือข่ายประชารัฐรักสามัคคีได้ริเริ่มโครงการสับปะรดภูเก็ต ภูเก็ตล็อบสเตอร์ สบู่นมแพะ ขนมหม้อแกงฟักทองอินทรีย์ กระตุ้นให้เกิดการรวมตัวเพื่อพัฒนาสินค้าชุมชน ต่อมา บริษัท ประชารัฐรักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ได้ดำเนินการโครงการผ้าขาวม้าท้องถิ่นหัตถศิลป์ไทย มุ่งเน้น การสร้างมูลค่าเพิ่มของผ้าขาวม้าทอมือที่มีอัตลักษณ์ของแต่ละชุมชนผ่าน 4 มิติ ได้แก่ การสร้างความตระหนักรู้และความสนใจในผ้าขาวม้าทอมือในกลุ่มผู้บริโภคทั้งในและต่างประเทศ การสร้างนวัตกรรมการผลิตและแปรรูปสินค้าจากผ้าขาวม้าทอมือ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในการใช้งาน การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ ระหว่างชุมชนกับผู้เชี่ยวชาญในด้านต่าง ๆ รวมทั้งการผลักดัน ให้เกิดการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญาของชุมชน ทั้งในด้านลิขสิทธิ์ลายผ้า เครื่องหมายการค้า และสิทธิบัตร มาตั้งแต่ พ.ศ. 2559 ต่อเนื่องมาถึง พ.ศ. 2561
หนังสือสานพลังประชารัฐ เล่ม 1 - 4 พ.ศ. 2559 - 2560
โครงการผ้าบาติก พัฒนาสินค้าบาติกให้ตรงกับความต้องการ ของตลาดผ้าบาติกจังหวัดภูเก็ต และ 10 จังหวัดภาคใต้ ด้วยการนำผ้าบาติกไปเสริมกับองค์ประกอบอื่น เช่น กระเป๋า และพัฒนาลวดลายให้ตรงกับความต้องการของตลาด รวมทั้ง เชื่อมโยงและแบ่งปันองค์ความรู้ระหว่างกลุ่มผ้าบาติก 10 จังหวัด ภาคใต้ ด้วยการจัดงาน Batik Design Week 2016 กระทั่งได้มี การเชื่อมโยงกลุ่มผู้ผลิตผ้าบาติกจากทั่วประเทศเพิ่มขึ้นอีกกว่า 31 ชุมชน ใน พ.ศ. 2560 รวมถึงการเชื่อมโยงสมาคมโรงแรม สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว เพื่อเสนอขายสินค้าให้แก่ชุมชน
โครงการสะพายสายแนว อนุรักษ์ย่ามทำมือ และลายดั้งเดิม โดยคัดเลือกชุมชนที่มีฝีมือ และได้รับความร่วมมือจากสถาบันพัฒนา อุตสาหกรรมสิ่งทอเพื่อพัฒนาศักยภาพชุมชน โดยส่งดีไซเนอร์ ระดับประเทศลงพื้นที่เพื่อร่วมพัฒนาสินค้ากับชุมชน และส่ง นักเทคนิคเพื่อช่วยแก้ปัญหา เกิดการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่สินค้า ท้องถิ่นด้วยการออกแบบและแปรรูปย่ามทำมือให้มีดีไซน์ทันสมัย สร้างจุดขายที่น่าสนใจ พร้อมทั้งช่วยหาช่องทางการตลาด หากลุ่มเป้าหมายใหม่ที่น่าสนใจ และเน้น Networking กับเอกชนอื่น ๆ เพื่อต่อยอดโอกาสในการขายให้กับชุมชน
ชุมชนขนมแปลก ริมคลองหนองบัว จังหวัดจันทบุรี สนับสนุน และผลักดันโครงการจัดแสดงและจำหน่ายตลาดนัดชุมชน ไทยช่วยไทย คนไทยยิ้มได้ เพื่อยกระดับมาตรฐานเป็นตลาดนัดชุมชนต้นแบบที่น่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจจากประชาชน สร้างโอกาสให้ผู้ผลิตและเกษตรกรรายย่อย ตลอดจน เพิ่มช่องทางการตลาดให้มากขึ้น สำหรับชุมชนขนมแปลก ริมคลอง หนองบัว เป็นชุมชนเก่าแก่ที่คงเอกลักษณ์ดั้งเดิมมากว่า 100 ปี ภายในชุมชนประกอบด้วยบ้านเรือนเก่าแก่ตลอดสองฝั่งถนน มีการจำหน่ายอาหารพื้นบ้านและขนมโบราณรสเลิศ ที่หารับประทานได้ยากในปัจจุบัน สร้างความน่าสนใจแก่ นักท่องเที่ยว อาทิ ขนมติดคอ ขนมหัวล้าน เป็นต้น
ธนาคารปูม้า ชุมชนแหลมผักเบี้ย จังหวัดเพชรบุรี นอกจากการ ทำประมงอย่างยั่งยืนแล้ว ยังมีการสร้างแลนด์มาร์กที่ชุมชนแหลมผักเบี้ย ให้น่าสนใจ จัดอบรมอาสาสมัครนำเที่ยวท้องถิ่นชุมชน รวมถึง การประชาสัมพันธ์เส้นทางการท่องเที่ยวและจัดกิจกรรม CSR เพื่อสร้างรายได้ให้ชุมชน ทำให้กลุ่มวิสาหกิจแพปลาของที่นี่มีรายได้ ต่อเดือนเพิ่มขึ้นถึงร้อยละ 133 ต่อเดือน จากเดิม 120,000 บาท เป็น 280,000 บาท จำนวนสมาชิกจาก 37 ครัวเรือน เป็น 120 ครัวเรือน มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 30,000 บาท เป็น 50,000 บาทต่อเดือน
โครงการเครื่องสีข้าวขนาดครัวเรือน เป็นการเพิ่มมูลค่า ผ่านนวัตกรรมใหม่ที่จะเปลี่ยนวิถีการบริโภคข้าวของคนไทย สร้างความเชื่อมโยงระหว่างชาวนากับผู้บริโภคโดยตรง รวมไปถึงให้ความรู้เรื่อง 90 สายพันธุ์ข้าวในประเทศไทยและประโยชน์ ด้านคุณค่าทางอาหารและรสชาติที่แตกต่างกันของแต่ละสายพันธุ์ โดยมีการค้นคว้าและรวบรวมข้อมูลของพันธุ์ข้าวที่มี เอกลักษณ์เฉพาะตัว
โครงการโรงพยาบาลอาหารปลอดภัย โดยบริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำผักผลไม้ปลอดสารพิษส่งให้กับโรงพยาบาลในสังกัดกระทรวงสาธารณสุข ผ่านความร่วมมือกับกระทรวงสาธารณสุข กระทรวงมหาดไทย กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) เพื่อส่งเสริมให้เกิดความปลอดภัยในโรงครัวและร้านอาหารในโรงพยาบาล เพื่อสุขภาพที่ดีของผู้ป่วย และประชาชน สร้างรายได้ให้เกษตรกร เริ่มต้นจากโรงพยาบาลศูนย์ และโรงพยาบาลทั่วไป 116 แห่งใน พ.ศ. 2560 กระทั่งขยายไปยังโรงพยาบาลชุมชนจนครบ 780 แห่งใน พ.ศ. 2561
คณะทำงานการพัฒนาเศรษฐกิจฐานรากและประชารัฐร่วมกับกระทรวงมหาดไทย ขับเคลื่อนกิจกรรมทางเศรษฐกิจในระดับชุมชน ผ่านคณะกรรมการประสานและขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐ ประจำจังหวัด (คสป.) กรมการพัฒนาชุมชน และบริษัท ประชารัฐ รักสามัคคี วิสาหกิจเพื่อสังคม จำกัด ในแต่ละจังหวัด สร้างความเติบโต ทางเศรษฐกิจในระดับฐานรากอย่างต่อเนื่อง เห็นได้จากการเติบโต ของสินค้าระดับชุมชนอย่างสินค้าโอทอป ใน พ.ศ. 2558 - 2559 มียอดขายเพิ่มขึ้นร้อยละ 14.8 จาก 109,000 ล้านบาท เป็น 125,208 ล้านบาท และใน พ.ศ. 2559 - 2560 เติบโตอีกร้อยละ 23 เป็น 154,000 ล้านบาท รวมถึงการขยายตัวของชุมชนที่เข้าร่วม ในเครือข่ายเพิ่มขึ้นราว 60,000 กลุ่ม และผลิตภัณฑ์สินค้าชุมชน ประมาณ 120,000 ชิ้น (ตัวเลข ณ เดือนธันวาคม พ.ศ. 2560) ทั้งนี้มีกลุ่มเป้าหมายที่เข้าร่วมงานกับคณะกรรมการประสานและ ขับเคลื่อนนโยบายสานพลังประชารัฐประจำจังหวัด (คสป.) จำนวน 4,027 กลุ่ม มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเงิน 2,363.88 ล้านบาท รายได้เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3,840 บาทต่อคน มีประชาชนได้รับประโยชน์ จำนวน 445,280 คน ในกลุ่มเกษตรได้รับการขับเคลื่อนให้เกิด เกษตรปลอดภัยและเกษตรอินทรีย์ กลุ่มแปรรูปมีการพัฒนาคุณภาพ มาตรฐานและบรรจุภัณฑ์ ส่วนกลุ่มท่องเที่ยวโดยชุมชนสามารถ ยกระดับเรื่องความสะอาดและความปลอดภัยจนได้มาตรฐาน
นอกจากนี้ยังร่วมขับเคลื่อนนโยบายตลาดประชารัฐ ดำเนินงานพัฒนา ตลาดใหม่ ขยายตลาดเดิมในพื้นที่ที่เป็นตลาดธรรมชาติที่ประชาชนนิยม อยู่ก่อนแล้ว รวมถึงดำเนินการตลาดประชารัฐ Modern Trade โดยมีบริษัท ประชารัฐรักสามัคคีจังหวัด (วิสาหกิจเพื่อสังคม) จำกัด ร่วมกับสำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดและสำนักงานพาณิชย์จังหวัด สร้างโอกาสให้ ผู้ประกอบการได้จำหน่ายสินค้าในห้างสรรพสินค้าโดยยกเว้นค่าสถานที่ อย่างน้อยจังหวัดละ 1 แห่ง เพื่อสร้างรายได้ให้กับชุมชนอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกันยังได้ก่อตั้งมูลนิธิสถาบันพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคม แห่งประเทศไทยขึ้น เพื่อส่งเสริมการพัฒนาวิสาหกิจเพื่อสังคมทั่วประเทศ พร้อมทั้งสร้างความเข้าใจอันเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินกิจการและสนับสนุน การพัฒนา การวิจัย การให้ความรู้ด้วยธรรมาภิบาล กฎหมาย ระเบียบ และข้อปฏิบัติ เพื่อให้วิสาหกิจเพื่อสังคมทั่วประเทศดำเนินงานได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ บริษัท ไทยเบฟเวอเรจ จำกัด (มหาชน) ตระหนักถึงความสำคัญของ การศึกษา ซึ่งถือเป็นรากฐานไปสู่การพัฒนาประเทศอย่างยั่งยืน และเป็น ผู้สนับสนุนหลักในโครงการสานพลังประชารัฐด้านการศึกษาพื้นฐาน และการพัฒนาผู้นำ พัฒนาศักยภาพเด็กนักเรียนกว่า 76,325 คน จาก 292 โรงเรียน ใน 47 จังหวัดทั่วประเทศ ให้เรียนรู้ในเรื่องการค้าขาย การบริหารธุรกิจและการเงินเบื้องต้นจากประสบการณ์ตรง ผ่านรูปแบบการเรียนรู้ที่มีเด็กเป็นศูนย์กลาง และส่งเสริมการนำความรู้ไปต่อยอดผ่านการทำโครงการธุรกิจจำนวน 592 โครงการ และริเริ่มโครงการ OTOP Junior ร่วมกับกรมการพัฒนาชุมชน เปิดพื้นที่ให้นักเรียนได้ส่งผลงานเข้าประกวด เพื่อเรียนรู้เส้นทาง การทำธุรกิจและพัฒนาต่อไปเป็นผู้ประกอบการได้ ขณะเดียวกันยังช่วยให้เด็ก ๆ เหล่านี้ได้รู้จัก “คุณค่า ของเงิน” ให้สามารถพึ่งพาตนเองและดูแลครอบครัวได้ นอกจากนี้ บริษัทยังส่งเสริมการมีส่วนร่วมของพนักงานที่มีจิตอาสาจำนวน 20 คน เข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง เพื่อสร้างความเปลี่ยนแปลงให้แก่การศึกษาไทย ในบทบาท School Sponsor ภายใต้แนวคิด “พี่ช่วยน้อง” โดยช่วยคิดแผนและโครงการพัฒนาเด็กนักเรียนกับผู้บริหารโรงเรียน เพื่อให้พวกเขา เหล่านี้มีทักษะและความพร้อมในการดำเนินชีวิต อย่างมีคุณภาพ และเติบโตเป็นพลเมืองที่มีคุณค่า ต่อสังคม นอกจากนี้มีโครงการ “Partnership School” (โรงเรียนร่วมพัฒนา) ภาคส่วนต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการ สถานศึกษา ส่งเสริมนวัตกรรมด้านการศึกษาให้สามารถยกระดับ ผลสัมฤทธิ์ทางการเรียน ส่งเสริมให้สถานศึกษา เป็นแหล่งเรียนรู้ตลอดชีวิตของทุกคนในชุมชน อันจะนำไปสู่การลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างยั่งยืนต่อไป
อยู่กับคุณทุกช่วงเวลา
ไทยเบฟ กลุ่มบริษัทเครื่องดื่มครบวงจรระดับภูมิภาค
มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ความยั่งยืนให้แก่ธุรกิจและ
ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียของเราอย่างต่อเนื่อง โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์อันยอดเยี่ยม เพื่อตอบสนองความต้องการ
ทุกช่วงเวลาอันมีค่าของผู้บริโภค รวมทั้งสร้างความพึงพอใจ
อันสูงสุดผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายอันหลากหลาย
|
เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณทุกช่วงเวลา
ไทยเบฟมีผลิตภัณฑ์
เครื่องดื่มครอบคลุมหลากหลายประเภท ตั้งแต่นมถั่วเหลือง
จนถึงสุราซิงเกิ้ลมอลต์ เราทราบดีว่า การตอบสนอง
ความต้องการของผู้บริโภคและการก้าวเข้าไปเป็นส่วนหนึ่ง
ที่สำคัญในชีวิตเป็นงานที่ท้าทาย ดังนั้นเราจึงนำเสนอเครื่องดื่มสำหรับผู้บริโภคทุกเพศทุกวัย อาทิ สุราขาว สุราสี เบียร์ น้ำดื่ม
ชาเขียวพร้อมดื่ม เครื่องดื่มอัดลม เครื่องดื่มเกลือแร่ น้ำผลไม้
นมพาสเจอไรซ์ ผลิตภัณฑ์อาหารญี่ปุ่นแบบแช่เย็นและแช่แข็ง
ไอศกรีม รวมถึงร้านอาหารประเภทอาหารญี่ปุ่น อาหารไทย-อาเซียน อาหารจีน อาหารตะวันตก รวมไปถึงเบเกอรี่ต่าง ๆ
ในรูปแบบร้านอาหารทั่วไปในชีวิตประจำวันซึ่งผู้บริโภคคุ้นเคย จนถึงร้านอาหารที่เน้นบรรยากาศและการบริการชั้นเยี่ยม
เราพร้อมที่จะอยู่เคียงข้างคุณในทุกๆ ที่
ไทยเบฟมีเครือข่าย
การกระจายสินค้าที่ครอบคลุมพื้นที่มากที่สุดในประเทศไทย
โดยมีทีมขาย 1,100 ทีม รถบรรทุก 7,700 คันที่เข้าถึง
ตู้แช่สินค้า 110,000 ตู้ และจุดขาย 400,000 จุดทั่วประเทศ นอกจากนี้ เรายังมีเครือข่ายการกระจายสินค้าที่กว้างขวาง
ในประเทศสิงคโปร์ มาเลเซีย เมียนมา และเวียดนาม
และมีผลิตภัณฑ์วางจำหน่ายในกว่า 90 ประเทศทั่วโลก
ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล ไทยเบฟมุ่งมั่นทำงาน ด้วยความทุ่มเทตลอดระยะเวลาอันยาวนาน สั่งสม ความเชี่ยวชาญและสร้างทีมงานที่มีประสิทธิภาพ วันนี้...เรามีความภาคภูมิใจที่บริษัทของเราได้รับ ความไว้วางใจจากผู้บริโภค และก้าวสู่การเป็น หนึ่งในผู้นำของผู้ผลิตและจำหน่ายเครื่องดื่ม ครบวงจรของเอเชีย
ตลอด 15 ปีที่ผ่านมา ไทยเบฟมีความผูกพันกับลูกค้า คู่ค้า ผู้ถือหุ้น พนักงานในองค์กรและสังคม ด้วยความเข้าใจถึงความต้องการของแต่ละฝ่าย เรามุ่งมั่นที่จะส่งต่อความไว้วางใจนี้ต่อไป ปีต่อปี รุ่นต่อรุ่น อย่างมั่นคงและยั่งยืนตลอดไป
ก้าวต่อไปอย่างมั่นคง
“ถ้าพวกเราทุกคนเทใจรวมกันเป็นหนึ่ง
อะไรก็สำเร็จได้”
|
จากประสบการณ์ 15 ปีที่ผ่านมา กลุ่มไทยเบฟของเราได้วางรากฐานที่แข็งแกร่งและมั่นคง พร้อมที่จะเผชิญโอกาสและความท้าทายที่น่าตื่นเต้นในอนาคต เรากำลังเดินสู่เป้าหมาย ที่ชัดเจนในการก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำบริษัทเครื่องดื่มครบวงจรในภูมิภาคอาเซียนอย่างมั่นคง และยั่งยืน ไทยเบฟเรามีคำมั่นสัญญาที่จะตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค ที่เปลี่ยนแปลงไปในทุกยุค ทุกสมัย ทุกเพศ ทุกวัย และที่สำคัญคือ การเติมเต็มความสุข ในทุกช่วงเวลาของชีวิตด้วยเครื่องดื่มคุณภาพ ภายใต้คำกล่าวที่ว่า “ไทยเบฟ...อยู่กับคุณ ทุกช่วงเวลา”
การมองไปข้างหน้าในอนาคตนั้นคงไม่มีใครที่สามารถจะหยั่งรู้ได้ แต่สิ่งที่องค์กรของเรา ให้ความสำคัญเสมอมาคือ การเตรียมความพร้อมที่จะต้องรับมือได้กับทุกสถานการณ์ นั่นคือการสร้างภูมิคุ้มกันให้กับตัวเอง การสร้างวินัยในการทำงาน และพร้อมที่จะเรียนรู้ ปรับตัวอยู่เสมอ เรามองถึงโอกาสที่ไร้ขีดจำกัด ที่พวกเราในองค์กรทุกคนสามารถจะพัฒนา ศักยภาพ โดยใช้รากฐานที่แข็งแกร่งขององค์กร เครือข่าย องค์ความรู้ ข้อมูล นวัตกรรมด้านเทคโนโลยี การสานพลังของเพื่อนพนักงาน และพันธมิตรคู่ค้าทุกภาคส่วน ได้ร่วมกันสร้างคุณค่าและแบ่งปันคุณค่าที่ได้มาจากการเติบโต เพื่อธุรกิจของเราและสังคมโดยรวมอย่างยั่งยืน
ผมมั่นใจตลอดมาถึงศักยภาพและการรวมพลังของพวกเราทุกคน ดังที่ท่านประธานเจริญ สิริวัฒนภักดี ได้กล่าวไว้อย่างเรียบง่ายในการประชุมสัมมนาประจำปีครั้งหนึ่งว่า “ถ้าพวกเรา ทุกคนเทใจรวมกันเป็นหนึ่ง อะไรก็สำเร็จได้” วรรคทองนี้จึงเป็นที่มาที่ทำให้ทีมงานรุ่นใหม่ทุกคน ต้องคำนึงถึงในการดึงศักยภาพร่วมของพวกเราออกมาให้ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งเราต้องสามารถ สื่อสาร ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน เอาใจเขาใส่ใจเรา ให้เกียรติกัน เคารพในความคิด ของทุกฝ่าย สิ่งเหล่านี้สะท้อนออกมาเป็นศักยภาพที่แท้จริงขององค์กรไทยเบฟของเรา มาจนถึงทุกวันนี้
การเติบโตที่ยั่งยืนนั้น เราต้องเข้าใจถึงบริบทของโอกาสและแรงปะทะที่มาจากภายนอก รวมถึงเราต้องสามารถบริหารจัดการศักยภาพและข้อจำกัดภายในองค์กรของเรา เราเน้น ในการสร้างขีดความสามารถขององค์กร เราไม่หยุดยั้งที่จะแสวงหาโอกาสที่จะสร้างการเติบโต อย่างมั่นคงและยั่งยืนของธุรกิจ การเดินทางสู่อนาคตของไทยเบฟเป็นโอกาสของ การร่วมกันสร้างความแตกต่าง สร้างสรรค์นวัตกรรมเพื่อสิ่งที่ดียิ่งกว่าสำหรับผู้บริโภค สานพลังขับเคลื่อนในการสร้างประโยชน์ให้ภูมิภาคอาเซียนสู่ความร่วมมือและการเติบโต ในเอเชีย การผนึกกำลังของทุกฝ่ายที่มุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ และแบ่งปันคุณค่าจาก การเติบโตของธุรกิจของเรา จะทำให้เราก้าวไปข้างหน้าด้วยกันอย่างมีพลัง
ความเชื่อมั่นและกำลังใจที่มอบให้แก่กัน คือแรงบันดาลใจที่สร้างโอกาสและความสำเร็จ
ให้พวกเราทุกคน เพื่อไทยเบฟที่มั่นคงและยั่งยืนตลอดไป